วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
ชลบุรี
เมื่อปี 2519 นายแพทย์ขจร และคุณหญิงนิธีวดี อันตระการ พร้อมด้วยบุตรธิดา ได้ถวายที่ดินแด่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 ครั้งเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่เศษ ต่อมา คณะผู้ริเริ่มสร้างวัดได้ร่วมกันจัดซื้อที่ดินที่ติดต่อเขตวัดถวายเพิ่มเติมอีกประมาณ 60 ไร่เศษ รวมเป็นเนื้อที่ดินทั้งหมด 366 ไร่ 2 งาน 11 ตารางวา เพื่อขอให้สร้างวัด และขอใช้ชื่อว่า "วัดญาณสังวราราม" สมเด็จพระญาณสังวรได้รับถวายที่ดินแล้ว ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดมาโดยลำดับวัดญาณสังวราราม ได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ญาณสังวรารามเมื่อปี พ.ศ. 2520 เป็นวัดญาณสังวรารามโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา โดยพระราชกฤษฎีกา ลงวันที่ 25 มีนาคม 2525 (พระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 99 ตอนที่ 43) ในปี พ.ศ. 2529
วัดญาณสังวราราม มีเนื้อที่รวมทั้งหมด 366 ไร่ 2 งาน 11 ตารางวาไม่รวมถึงพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประมาณ 2,500 ไร่ มีพระภิกษุจำพรรษา 47 รูป สามเณร 10 รูป อุบาสกอุบาสิกา 15 คน โดยมี พระอรรถกิจโกศล (อภิพล อภิพโล) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเจ้าอาวาสและมีพระครูนิเทศธรรมจักษ์ (ทอง จาครโต) ฐานานุกรมในสมเด็จพระญาณสังวรเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีหม่อมราชวงศ์จำลอง นพวงศ์ เป็นไวยาวัจกร การสร้างวัดญาณสังวราราม มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ คือ เน้นทางด้านสมถะและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นที่ประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ในทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัย รวมทั้ง เพื่อให้เป็นที่ยังประโยชน์ในการบำเพ็ญอเนกกุศลต่างๆ ด้วยการวางผังแผนที่และรูปแบบในการสร้างวัดนั้นได้กำหนดพื้นที่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแบ่งออกเป็น 4 เขต คือ
เขตที่ 1 เขตพุทธาวาส เป็นสถานที่ตั้งปูชนียสถานโบราณวัตถุ มีอุโบสถพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ มหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก. ศาลาอเนกกุศล สว.กว. และมวก.สธ. เป็นต้น
เขตที่ 2 เขตสังฆาวาส แบ่งเป็นสองพื้นที่ คือพื้นที่ส่วนล่างและพื้นที่ส่วนบน ประกอบด้วยพื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์ และทั้ง 2 พื้นที่ ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างเสนาสนะกุฏิน้อยใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ สงฆ์ สามเณร เป็นต้น
เขตที่ 3 เขตราชาวาส เป็นสถานที่โครงการพระราชดำริ มี เรือนรับรอง อ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรกรรมโรงพยาบาล ศูนย์การฝึกอบรมพิเศษ วนอุทยาน บริเวณอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ เป็นต้น
เขตที่ 4 เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส เป็นสถานที่ตั้งศาลาโรงธรรม ที่พักอาศัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน ผู้มาอยู่ประพฤติธรรม รักษาศีลฟังธรรม ปฏิบัติจิตภาวนาเป็นต้น
เนื่องจากวัดญาณสังวราราม สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ อันเป็นสมัยที่ยอมรับทั่วไปว่า ความร่มเย็นเป็นสุขของไทย เกิดแต่พระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จพระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยแท้และสืบเนื่องต่อขึ้นไปถึงพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ สมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้าอีกสองพระองค์ พระผู้ทรงไทยให้กลับเป็นไท สมัยที่เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมหาราช ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งสามพระองค์ ตลอดทั้งสมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้า แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกองค์ คณะผู้สร้างวัดญาณสังวราราม ในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวรจึงร่วมกับประชาชนชาวไทยสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนีย์ที่สำคัญที่สุดของวัดญาณสังวราราม ขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนเพิ่มพูนพระราชกุศลราศีและเพื่อน้อมเกล้าฯ เทิดพระเกียรติ ดังนี้
1. อุโบสถ
2. พระพุทธปฏิมาประธานประจำอุโบสถ ได้รับการถวายพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์"
3. พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์
4. พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก.
5. ศาลาอเนกกุศล สว.กว. สร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว กว้าง 17.00 เมตร ยาว 31.00 เมตร น้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และสมเด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2526 ใช้เป็นศาลาฉัน
6. พระพุทธปฏิมา อปร.มอ. ประจำศาลาอเนกกุศล สว.กว. สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ "อปร." ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระนามภิไธยย่อ "มอ." ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกนาถประดิษฐานที่ผ้าทิตย์ "อปร.มอ." เป็นพระปางสมาธิแบบพระ ภปร. หน้าพระเพลา 5 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2526 ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร
7. ศาลาอเนกกุศล มวก.สธ. มีขนาดกว้าง 17.40 เมตร ยาว 21.00 เมตรเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นชั้นล่างแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 จัดเป็นห้องเก็บวัสดุ ตอนที่ 2 ซึ่งอยู่ใต้ฐานรุกซีพระพุทธไพรีพินาศ จัดเป็นถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค ตอนที่ 3 จัดเป็นห้องเรียนพระปริยัติธรรมและห้องสมุดวัด ชั้นบนพื้นปูหินอ่อนไทย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไพรีพินาศใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ อบรมกัมมัฎฐานเจริญจิตภาวนา เป็นต้นสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อ 7 พฤษาคม 2527
8. พระพุทธไพรีพินาศ น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร ประจำศาลาอเนกกุศล มวก.สธ. หน้าพระเพลา 4 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว เป็นพระจำลองแบบพระพุทธไพรีพินาศ ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ชั้นสามพระเจดีย์ไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2527 ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร และต่อมาได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเททองหล่อพระพุทธรูปปางรำพึง มวก. และพระพุทธรูปปางนาคปรก สธ.ประดิษฐานไว้ที่ฐานชุกชีพระพุทธไพรีพินาศ ด้านขวา-ซ้าย ที่ศาลาอเนกกุศลด้วย
9. ศาลาท่านท้าวริรุฬหรมหาราชพุทธบัณฑิต กว้าง 14.00 เมตร ยาว 24.00 เมตร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น สำหรับเป็นที่พักอาศัยของพุทธศาสนิกชน ผู้มาประพฤติปฏิบัติรักษาศีลฟังธรรมและเจริญจิตภาวนาระยะสั้น 3 - 7 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางพระสุหร่าย ทรงเจิมพระรูปท่านท้าววิรุฬหรมหาราชทั้งสองพระรูป แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันทั้งสองข้าง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527 สร้างถวายกุศลท่านท้าววิรุฬหกมหาราชโลกบาล ผู้รักษาโลกทิศเบื้องใต้อันมีสยามประเทศรวมอยู่ด้วยนอกจากงานสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนีย์ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนอันเพิ่มพูนพระราชกุศลราศีและเป็นราชสักการะเทิดพระเกียรติดังกล่าว ยังได้ดำเนินการสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นสถานที่บริการป้องกันโรค รวมทั้งการรักษาพยาบาล และเพิ่มพูนความรู้ทางการศึกษาของพระภิกษุสามเณร และประชาชนในบริเวณใกล้เคียง เช่น
1. สร้างโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม เป็นโรงพยาบาลขนาด 10 เตียงแบบชั้นเดียว ประกอบด้วยบ้านพักนายแพทย์และพยาบาล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ รวม 4 หลัง และมีผู้มารับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาด นับตั้งแต่วันที่เสด็จพระราชดำเนินทางเปิดโรงพยาบาลเป็นต้นมา
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลารากฐานสร้างโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2526 ซึ่งเป็นวโรกาศที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุขึ้นปีที่ 84 ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527
2. สร้างอาคาร ญส. 72 (ญส. สมเด็จพระญาณสังวร) ขึ้นในโอกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร เจริญชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2528 เป็นอาคารคอนกรีตสองชั้น 20 ห้อง สำหรับอาศัยอยู่เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมของฝ่ายอุบาสิกา และต่อมาได้ จัดสร้างอาคาร ญส. ตึกชาย ลักษณะเช่นเดียวกัน ขนาด 20 ห้อง เพื่ออยู่อาศัยประพฤติปฏิบัติธรรมฝ่ายอุบาสกขึ้นอีก 1 หลัง ที่เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส สมเด็จพระญาณสังวร ประกอบพิธีเปิดอาคาร ญส. ตึกหญิง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2529 และในโอกาสเดียวกันนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างอาคาร ญส. ตึกชาย เวลา 10.09 น. ด้วย
3. ศาลานานาชาติ หรือศาลามังกรเล่นน้ำ สร้างโดยพระราชปรารภของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยการบริจาคของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มุ่งเทิดทูลพระบุญญาธิการแห่งสมเด็จพระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับทั้งเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพรต่อไปศาลานานาชาติ เป็นศาลาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมประจำชาติของแต่ละชาติ ซึ่งต่างได้จัดสรรงบประมาณมาก่อสร้างศาลานานาชาติ และอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า "ศาลามังกรเล่นน้ำ" ศาลาดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบ้านอำเภอ มีรูปมังกรเล่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ประจำศาลาแต่ละชาติ ซึ่งมีความหมายว่าน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วย พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ศาลามังกรเล่นน้ำทั้งหมด 6 ชาติ รวม 7 ศาลา คือ
- ศาลาไทยล้านนา และศาลาไทยภาคกลางของชาติไทย
- ศาลาจีนนอก ของชาติสิงคโปร์
- ศาลาจีนใน ของพสกนิกรชาติไทย
- ศาลาญี่ปุ่น ของชาติญี่ปุ่น
- ศาลาฝรั่ง ของชาติสวิตเซอร์แลนด์
- ศาลาอินเดีย ของชาติอินเดีย
การก่อสร้างศาลานานาชาติ สมเด็จพระญาณสังวรได้วางศิลาฤกษ์สร้างศาลาไทยล้านนาเป็นหลังแรกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2529 และคาดว่าศาลามังกรเล่นน้ำทั้ง 7 หลัง จะแล้วเสร็จภายในปี 2530
4. สร้างศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เป็นโครงการอันสืบเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนหนึ่ง ในจำนวนหลายโครงการของวัดญาณสังวราราม ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจะใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม และให้การศึกษาด้านการเกษตรกรรมแก่เยาวชนผู้ยากไร้ โครงการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนฝึกอบรม คณะกรรมการสนองงานตามโครงการพระราชดำริ (กปร.) ก็ได้จัดให้มีการฝึกอบรมเยาวชนดังกล่าว จำนวน 7 คน ตามพระราชดำริที่ทรงปรารภไว้ โดยขอใช้สถานีวิจัยศรีราชาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ในความดูแลฝึกอบรมของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการศึกษานอกโรงเรียนและ กปร. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2529 แล้ว
5. แกะสลักพระพุทธรูปที่เขาชีจรรย์ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยรอบวัดญาณสังวราราม เป็นภูเขาสูงหลายลูกเช่น เขาชีโอน เขาชีจรรย์ เขาดิน เป็นต้นโดยเฉพาะเขาชีจรรย์ มีความสูงเด่นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ได้มีการขอสัมปทานทำการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างมาแล้วช้านาน ในปัจจุบันเขาดังกล่าว ได้เสียสภาพความเป็นธรรมชาติไป เนื่องจากระเบิด เสียงระเบิดทำให้เสียบรรยากาศในการปฏิบัติสมาธิ แม้กระทั่งสัตว์ป่าต่าง ๆ และนกซึ่งเดิมมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างก็หลบหนีลี้ภัยไปอยู่ ณ ที่อื่น จึงได้มีพระราชดำริว่าควรจะหาทางระงับการระเบิดที่เขาชีจรรย์ และโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักภูเขาด้านที่ถูกระเบิดเป็นพระพุทธรูปแทนเนื่องในวโรกาสที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 ทางวัดญาณสังวรารามมหาวรวิหาร ในสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลสหาสังฆปรินายก ทรงพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมที่จะสร้าง พระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในมหามงคลวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีนี้อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาและยังเป็นการอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงอยู่ในสภาพที่ควรเป็น
เขาชีจรรย์นี้ มีความสูงประมาณ 169 เมตร มีฐานกว้าง 255 เมตร อยู่ห่างจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร สภาพของเขาชีจรรย์เดิมทีมีการขอสัมปทานทำการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้งานก่อสร้างมาแล้วช้านาน และส่วนที่เหลือจึงกลายเป็นหน้าผาหินสูงชันหลังจากที่วัดญาณสังวรารามฯ และคณะกรรมการโครงการจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ได้พิจารณาหาข้อมูลและนำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักพระพุทธรูปที่หน้าผาเขาชีจรรย์เป็นแบบลายเส้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารได้เสร็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธี บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธ์ก่อนเริ่มโครงการจัดการสร้างพระพุทธรูป ณ. เขาชีจรรย์เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2538 พระพุทธรูปที่มีชื่อเรียกขานว่า "พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดความสูง 150 เมตร หน้าตักกว้าง 100 เมตร สามารถมองเห็นชัดแต่ไกลและมีความสวยงามกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีและนอกจากนี้ วัดญาณสังวราราม โดยสมเด็จพระญาณสังวร ผู้อุปถัมภ์การสร้าง ได้ทำหนังสือขออนุญาตอธิบดีกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ เพื่อขอใช้พื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริ ปลูกเสนาสนะกุฎิที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่ง โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ คือ จักไม่ตัดไม้ทำลายป่า และอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้เป็นไปตามธรรมชาติเดิมทุกประการ
.........................................................
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่มา: วารสารการท่องเที่ยวและกีฬา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2552
พิกัด GPS วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี:
12.789754,100.959974
กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ