เมื่อปี 2519 นายแพทย์ขจร และคุณหญิงนิธีวดี อันตระการ พร้อมด้วยบุตรธิดา ได้ถวายที่ดินแด่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 ครั้งเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่เศษ ต่อมา คณะผู้ริเริ่มสร้างวัดได้ร่วมกันจัดซื้อที่ดินที่ติดต่อเขตวัดถวายเพิ่มเติมอีกประมาณ 60 ไร่เศษ รวมเป็นเนื้อที่ดินทั้งหมด 366 ไร่ 2 งาน 11 ตารางวา เพื่อขอให้สร้างวัด และขอใช้ชื่อว่า "วัดญาณสังวราราม" สมเด็จพระญาณสังวรได้รับถวายที่ดินแล้ว ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดมาโดยลำดับวัดญาณสังวราราม ได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ญาณสังวรารามเมื่อปี พ.ศ. 2520 เป็นวัดญาณสังวรารามโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา โดยพระราชกฤษฎีกา ลงวันที่ 25 มีนาคม 2525 (พระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 99 ตอนที่ 43) ในปี พ.ศ. 2529
วัดญาณสังวราราม มีเนื้อที่รวมทั้งหมด 366 ไร่ 2 งาน 11 ตารางวาไม่รวมถึงพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประมาณ 2,500 ไร่ มีพระภิกษุจำพรรษา 47 รูป สามเณร 10 รูป อุบาสกอุบาสิกา 15 คน โดยมี พระอรรถกิจโกศล (อภิพล อภิพโล) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเจ้าอาวาสและมีพระครูนิเทศธรรมจักษ์ (ทอง จาครโต) ฐานานุกรมในสมเด็จพระญาณสังวรเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีหม่อมราชวงศ์จำลอง นพวงศ์ เป็นไวยาวัจกร การสร้างวัดญาณสังวราราม มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ คือ เน้นทางด้านสมถะและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นที่ประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ในทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัย รวมทั้ง เพื่อให้เป็นที่ยังประโยชน์ในการบำเพ็ญอเนกกุศลต่างๆ ด้วยการวางผังแผนที่และรูปแบบในการสร้างวัดนั้นได้กำหนดพื้นที่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแบ่งออกเป็น 4 เขต คือ
เขตที่ 1 เขตพุทธาวาส เป็นสถานที่ตั้งปูชนียสถานโบราณวัตถุ มีอุโบสถพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ มหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก. ศาลาอเนกกุศล สว.กว. และมวก.สธ. เป็นต้น
เขตที่ 2 เขตสังฆาวาส แบ่งเป็นสองพื้นที่ คือพื้นที่ส่วนล่างและพื้นที่ส่วนบน ประกอบด้วยพื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์ และทั้ง 2 พื้นที่ ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างเสนาสนะกุฏิน้อยใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ สงฆ์ สามเณร เป็นต้น
เขตที่ 3 เขตราชาวาส เป็นสถานที่โครงการพระราชดำริ มี เรือนรับรอง อ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรกรรมโรงพยาบาล ศูนย์การฝึกอบรมพิเศษ วนอุทยาน บริเวณอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ เป็นต้น
เขตที่ 4 เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส เป็นสถานที่ตั้งศาลาโรงธรรม ที่พักอาศัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน ผู้มาอยู่ประพฤติธรรม รักษาศีลฟังธรรม ปฏิบัติจิตภาวนาเป็นต้น
เนื่องจากวัดญาณสังวราราม สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ อันเป็นสมัยที่ยอมรับทั่วไปว่า ความร่มเย็นเป็นสุขของไทย เกิดแต่พระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จพระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยแท้และสืบเนื่องต่อขึ้นไปถึงพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ สมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้าอีกสองพระองค์ พระผู้ทรงไทยให้กลับเป็นไท สมัยที่เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมหาราช ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งสามพระองค์ ตลอดทั้งสมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้า แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกองค์ คณะผู้สร้างวัดญาณสังวราราม ในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวรจึงร่วมกับประชาชนชาวไทยสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนีย์ที่สำคัญที่สุดของวัดญาณสังวราราม ขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนเพิ่มพูนพระราชกุศลราศีและเพื่อน้อมเกล้าฯ เทิดพระเกียรติ ดังนี้
1. อุโบสถ
2. พระพุทธปฏิมาประธานประจำอุโบสถ ได้รับการถวายพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์"
3. พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์
4. พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก.
5. ศาลาอเนกกุศล สว.กว. สร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว กว้าง 17.00 เมตร ยาว 31.00 เมตร น้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และสมเด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2526 ใช้เป็นศาลาฉัน
6. พระพุทธปฏิมา อปร.มอ. ประจำศาลาอเนกกุศล สว.กว. สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ "อปร." ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระนามภิไธยย่อ "มอ." ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกนาถประดิษฐานที่ผ้าทิตย์ "อปร.มอ." เป็นพระปางสมาธิแบบพระ ภปร. หน้าพระเพลา 5 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2526 ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร
7. ศาลาอเนกกุศล มวก.สธ. มีขนาดกว้าง 17.40 เมตร ยาว 21.00 เมตรเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นชั้นล่างแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 จัดเป็นห้องเก็บวัสดุ ตอนที่ 2 ซึ่งอยู่ใต้ฐานรุกซีพระพุทธไพรีพินาศ จัดเป็นถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค ตอนที่ 3 จัดเป็นห้องเรียนพระปริยัติธรรมและห้องสมุดวัด ชั้นบนพื้นปูหินอ่อนไทย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไพรีพินาศใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ อบรมกัมมัฎฐานเจริญจิตภาวนา เป็นต้นสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อ 7 พฤษาคม 2527
8. พระพุทธไพรีพินาศ น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร ประจำศาลาอเนกกุศล มวก.สธ. หน้าพระเพลา 4 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว เป็นพระจำลองแบบพระพุทธไพรีพินาศ ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ชั้นสามพระเจดีย์ไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2527 ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร และต่อมาได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเททองหล่อพระพุทธรูปปางรำพึง มวก. และพระพุทธรูปปางนาคปรก สธ.ประดิษฐานไว้ที่ฐานชุกชีพระพุทธไพรีพินาศ ด้านขวา-ซ้าย ที่ศาลาอเนกกุศลด้วย
9. ศาลาท่านท้าวริรุฬหรมหาราชพุทธบัณฑิต กว้าง 14.00 เมตร ยาว 24.00 เมตร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น สำหรับเป็นที่พักอาศัยของพุทธศาสนิกชน ผู้มาประพฤติปฏิบัติรักษาศีลฟังธรรมและเจริญจิตภาวนาระยะสั้น 3 - 7 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางพระสุหร่าย ทรงเจิมพระรูปท่านท้าววิรุฬหรมหาราชทั้งสองพระรูป แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันทั้งสองข้าง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527 สร้างถวายกุศลท่านท้าววิรุฬหกมหาราชโลกบาล ผู้รักษาโลกทิศเบื้องใต้อันมีสยามประเทศรวมอยู่ด้วยนอกจากงานสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนีย์ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนอันเพิ่มพูนพระราชกุศลราศีและเป็นราชสักการะเทิดพระเกียรติดังกล่าว ยังได้ดำเนินการสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นสถานที่บริการป้องกันโรค รวมทั้งการรักษาพยาบาล และเพิ่มพูนความรู้ทางการศึกษาของพระภิกษุสามเณร และประชาชนในบริเวณใกล้เคียง เช่น
1. สร้างโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม เป็นโรงพยาบาลขนาด 10 เตียงแบบชั้นเดียว ประกอบด้วยบ้านพักนายแพทย์และพยาบาล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ รวม 4 หลัง และมีผู้มารับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาด นับตั้งแต่วันที่เสด็จพระราชดำเนินทางเปิดโรงพยาบาลเป็นต้นมา
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลารากฐานสร้างโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2526 ซึ่งเป็นวโรกาศที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุขึ้นปีที่ 84 ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527
2. สร้างอาคาร ญส. 72 (ญส. สมเด็จพระญาณสังวร) ขึ้นในโอกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร เจริญชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2528 เป็นอาคารคอนกรีตสองชั้น 20 ห้อง สำหรับอาศัยอยู่เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมของฝ่ายอุบาสิกา และต่อมาได้ จัดสร้างอาคาร ญส. ตึกชาย ลักษณะเช่นเดียวกัน ขนาด 20 ห้อง เพื่ออยู่อาศัยประพฤติปฏิบัติธรรมฝ่ายอุบาสกขึ้นอีก 1 หลัง ที่เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส สมเด็จพระญาณสังวร ประกอบพิธีเปิดอาคาร ญส. ตึกหญิง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2529 และในโอกาสเดียวกันนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างอาคาร ญส. ตึกชาย เวลา 10.09 น. ด้วย
3. ศาลานานาชาติ หรือศาลามังกรเล่นน้ำ สร้างโดยพระราชปรารภของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยการบริจาคของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มุ่งเทิดทูลพระบุญญาธิการแห่งสมเด็จพระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับทั้งเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพรต่อไปศาลานานาชาติ เป็นศาลาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมประจำชาติของแต่ละชาติ ซึ่งต่างได้จัดสรรงบประมาณมาก่อสร้างศาลานานาชาติ และอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า "ศาลามังกรเล่นน้ำ" ศาลาดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบ้านอำเภอ มีรูปมังกรเล่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ประจำศาลาแต่ละชาติ ซึ่งมีความหมายว่าน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วย พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ศาลามังกรเล่นน้ำทั้งหมด 6 ชาติ รวม 7 ศาลา คือ
- ศาลาไทยล้านนา และศาลาไทยภาคกลางของชาติไทย
- ศาลาจีนนอก ของชาติสิงคโปร์
- ศาลาจีนใน ของพสกนิกรชาติไทย
- ศาลาญี่ปุ่น ของชาติญี่ปุ่น
- ศาลาฝรั่ง ของชาติสวิตเซอร์แลนด์
- ศาลาอินเดีย ของชาติอินเดีย
การก่อสร้างศาลานานาชาติ สมเด็จพระญาณสังวรได้วางศิลาฤกษ์สร้างศาลาไทยล้านนาเป็นหลังแรกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2529 และคาดว่าศาลามังกรเล่นน้ำทั้ง 7 หลัง จะแล้วเสร็จภายในปี 2530
4. สร้างศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เป็นโครงการอันสืบเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนหนึ่ง ในจำนวนหลายโครงการของวัดญาณสังวราราม ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจะใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม และให้การศึกษาด้านการเกษตรกรรมแก่เยาวชนผู้ยากไร้ โครงการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนฝึกอบรม คณะกรรมการสนองงานตามโครงการพระราชดำริ (กปร.) ก็ได้จัดให้มีการฝึกอบรมเยาวชนดังกล่าว จำนวน 7 คน ตามพระราชดำริที่ทรงปรารภไว้ โดยขอใช้สถานีวิจัยศรีราชาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ในความดูแลฝึกอบรมของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการศึกษานอกโรงเรียนและ กปร. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2529 แล้ว
5. แกะสลักพระพุทธรูปที่เขาชีจรรย์ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยรอบวัดญาณสังวราราม เป็นภูเขาสูงหลายลูกเช่น เขาชีโอน เขาชีจรรย์ เขาดิน เป็นต้นโดยเฉพาะเขาชีจรรย์ มีความสูงเด่นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ได้มีการขอสัมปทานทำการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างมาแล้วช้านาน ในปัจจุบันเขาดังกล่าว ได้เสียสภาพความเป็นธรรมชาติไป เนื่องจากระเบิด เสียงระเบิดทำให้เสียบรรยากาศในการปฏิบัติสมาธิ แม้กระทั่งสัตว์ป่าต่าง ๆ และนกซึ่งเดิมมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างก็หลบหนีลี้ภัยไปอยู่ ณ ที่อื่น จึงได้มีพระราชดำริว่าควรจะหาทางระงับการระเบิดที่เขาชีจรรย์ และโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักภูเขาด้านที่ถูกระเบิดเป็นพระพุทธรูปแทนเนื่องในวโรกาสที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 ทางวัดญาณสังวรารามมหาวรวิหาร ในสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลสหาสังฆปรินายก ทรงพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมที่จะสร้าง พระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในมหามงคลวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีนี้อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาและยังเป็นการอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงอยู่ในสภาพที่ควรเป็น
เขาชีจรรย์นี้ มีความสูงประมาณ 169 เมตร มีฐานกว้าง 255 เมตร อยู่ห่างจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร สภาพของเขาชีจรรย์เดิมทีมีการขอสัมปทานทำการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้งานก่อสร้างมาแล้วช้านาน และส่วนที่เหลือจึงกลายเป็นหน้าผาหินสูงชันหลังจากที่วัดญาณสังวรารามฯ และคณะกรรมการโครงการจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ได้พิจารณาหาข้อมูลและนำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักพระพุทธรูปที่หน้าผาเขาชีจรรย์เป็นแบบลายเส้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารได้เสร็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธี บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธ์ก่อนเริ่มโครงการจัดการสร้างพระพุทธรูป ณ. เขาชีจรรย์เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2538 พระพุทธรูปที่มีชื่อเรียกขานว่า "พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดความสูง 150 เมตร หน้าตักกว้าง 100 เมตร สามารถมองเห็นชัดแต่ไกลและมีความสวยงามกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีและนอกจากนี้ วัดญาณสังวราราม โดยสมเด็จพระญาณสังวร ผู้อุปถัมภ์การสร้าง ได้ทำหนังสือขออนุญาตอธิบดีกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ เพื่อขอใช้พื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริ ปลูกเสนาสนะกุฎิที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่ง โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ คือ จักไม่ตัดไม้ทำลายป่า และอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้เป็นไปตามธรรมชาติเดิมทุกประการ
.........................................................
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่มา: วารสารการท่องเที่ยวและกีฬา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2552
ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. พัทยา โทร. 0 3842 7667, 0 3842 8750 Call Center 1337
http://www.tourismthailand.org/pattaya
แก้ไขล่าสุด 2016-04-20 21:08:56 ผู้ชม 34991
การเดินทาง
แผนที่
ที่เที่ยว/ที่พัก
กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ
ทางแยกเข้าวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ขับตามทางหลวงชนบท ชบ 3002 เข้ามาประมาณ 3 กิโลเมตรจะมีทางแยกไปเขาชีจรรย์และวิหารเซียน ซ้ายมือ สำหรับวัดญาณสังวรารามได้แก่พระอุโบสถ มณฑปพระพุทธบาท ให้เลี้ยวขวา
วิหารพระศรีอริยเมตไตรยวัดญาณสังวราราม เป็นวิหารอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ทางเข้ามีเสาธงชาติและธงธรรมจักรขนาดใหญ่
พระศรีอริยเมตไตรยในวิหาร
พานดอกไม้บูชาหน้าประตู ที่ประตูทางเข้าวิหารพระศรีอริยเมตไตรย วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารมีการจัดพานดอกไม้ตั้งเรียงไว้หลายพาน
ศาลาสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ เป็นศาลาสีฟ้าตลอดทั้งหลังขนาดใหญ่สะดุดตาตรงหน้าศาลามีลานจอดรถหลักของวัดรองรับรถได้หลายคัน รวมที่รถบัสนำเที่ยวขนาดใหญ่ปัจจุบันจะเห็นนักเรียนเข้ามาใช้ศาลานี้ ด้านขวามือของภาพนี้เป็นอุทยานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็นพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี มีทางเดินเข้าชมเจดีย์พุทธคยาจำลอง
เจดีย์พุทธคยาจำลอง เป็นปูชนียสถานที่มีความสวยงามมากแห่งหนึ่งของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จะพบเห็นรูปของเจดีย์แห่งนี้อยู่ในเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย
เจดีย์พุทธคยาจำลอง ปกติไม่ได้เปิดให้เข้าชมภายใน เจดีย์องค์นี้อยู่ด้านหลังเยื้องๆ กันกับศาลาสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ มองจากยอดเขามณฑปพระพุทธบาทจะเห็นเจดีย์องค์นี้อยู่ริมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
อุทยานพระราชานุสาวรีย์ อุทยานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระ บรมราชชนนี ทางขึ้นลานถวายสักการะเป็นแนวเดียวกันกับเจดีย์พุทธคยาด้านหลังพอดี
อุทยานพระราชานุสาวรีย์
พระพุทธรูปบนน้ำพุ เป็นพระพุทธรูปขนาดไม่ใหญ่นักประดิษฐานบนอ่างน้ำพุ 4 ชั้น สูงกว่าแนวสะพานเล็กน้อย สะพานแห่งนี้ข้ามอ่างเก็บน้ำ มีป้ายข้อความข้างสะพานว่า
น้ำอ่างนี้อยู่ที่เบื้องพระพักตร์
พระพุทธองค์สูงส่งนักจัดศักดิ์สิทธิ์
จัดเป็นทิพย์วารีที่มีฤทธิ์
พึงพร้อมจิตรักษาไว้ให้จงดี
ศาลพระพรหม จากลานจอดรถหน้าศาลาสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ข้ามสะพานมาอีกฟากหนึ่งมีศาลพระพรหม สร้างด้วยสีฟ้าแบบเดียวกันกับศาลาสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ
สวนหย่อมสำหรับพักผ่อนในวัดญาณสังวราราม ภายในบริเวณวัดที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มีความร่มรื่นคลายร้อนให้กับผู้คนที่เดินทางเข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมาพักผ่อนหย่อนใจ
ลานน้ำพุใกล้พระอุโบสถ ระหว่างทางที่เดินจากศาลาสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ หรือศาลพระพรหม หรืออุทยานพระราชานุสาวรีย์มายังพระอุโบสถจะมีลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพจากตรงนี้กันมาก
พระอุโบสถวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ขนาดกว้าง 13.30 เมตร ยาว 21.00 เมตร สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมหาราช โดยดัดแปลงจากแบบพระอุโบสถเก่าคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2523 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระมหากรุณารับคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปทรงตัดลูกนิมิตอุโบสถ ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงวางศิลาพระฤกษ์พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ ในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2525 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ทรงมีพระมหากรุณาล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เช่น ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายวัดญาณสังวราราม การที่ ทรงพระราชทานที่ยิ่งใหญ่เกินค่าของทรัพย์สินอันหาค่ามิได้ทั้งหลายทั้งปวง
พระพุทธปฏิมาประธานประจำอุโบสถ ได้รับการถวายพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์” สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีขนาดประมาณองค์พระพุทธชินสีห์ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร หน้าพระเพลา 5 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2523 ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถเก่าคณะรังษี วัดบวรวิหาร
(ภายในห้ามบันทึกภาพ)
พระปกเกล้าอริยเขต พระปกเกล้าอริยเขต เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งมีทางเดินเข้าไปยังลานพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับนั่ง (ทางเดินเข้านี้เป็นทางแยกอยู่ใกล้กับพระอุโบสถ) อาคารด้านขวามือของภาพนี้คืออริยาคาร
ลานพระบรมรูปพระปกเกล้าอริยเขต
พระบรมรูปสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
อริยาคาร วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อริยาคาร อาคารที่สร้างเป็นลักษณะโค้งมีกระจกเปิดให้แสงสว่างเข้าไปด้านในได้มาก กระจกที่ใช้ยังมีการเขียนลวดลายสีสันสวยงาม เป็นที่แสดงหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนของ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เป็นที่เคารพบูชาและศรัทธาของคนไทยทุกคน ตั้งแต่สมัยในอดีต เช่น หลวงพ่อโต, อาจารย์มั่น, หรือหลวงปู่แหวน อยู่ในท่านั่งวิปัสนากัมฐาน เมื่อเข้าไปอยู่ภายในให้ความรู้สึกสงบ
ภายในอาคารไม่อนุญาตให้ทำการบันทึกภาพ
พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระบรมราชวงศ์จักรี มีฐานกว้าง 39.00 เมตร สูง 39.00 เมตร และได้เริ่มดำเนินการสร้างมาตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2524
ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ เพื่อการบำเพ็ญกุศลต่างๆ ชั้นที่สองประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีชนวนจากพื้นปฐพีถึงที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ด้านนอกชั้นที่สามมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ คือ พระภปร.ด้านหน้า พระไพรีพินาศ (ด้านขวาของพระภปร.) และพระชินราชสีหศาสดา (ด้านซ้ายของพระ ภปร.) ส่วนชั้นที่ 2 เป็นซุ้มตราพระมหาจักรีซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอันเชิญขึ้นประดิษฐานเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ ์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2525พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ มีความหมายว่า “พระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเพื่อความพิพัฒนาสถาพรแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์” น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบรมราชวงศ์จักรี มีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นองค์ปฐม และสมเด็จพระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤาดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถพิตร รัชกาลที่ 9 เป็นองค์ปัจจุบัน
*ปูชนียสถานภายในวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ทั้งหมดไม่อนุญาตผู้แต่งกายไม่สุภาพ กางเกงสั้นเหนือเข่าเข้าไป และห้ามบันทึกภาพภายในทั้งหมด
พระอุโบสถวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร หากเดินมายังพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ มองกลับหลังจะเห็นพระอุโบสถ มีทางเชื่อมต่อถึงกันอยู่ในแนวเดียวกันพอดี
ทางขึ้นมณฑปพระพุทธบาท บริเวณด้านหน้าของทางขึ้นเป็นลานจอดรถนักท่องเที่ยวสามารถจัดหาดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชาพระพุทธบาทได้ที่เชิงทางขึ้น (ถัดจากศาลา 2 หลังนี้ไป) ช่วงล่างของบันไดพญานาคสร้างศาลาทรงไทย 2 หลัง เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญองค์ใหญ่ 2 องค์
ราวบันไดพญานาคพระมหามณฑปพุทธบาท ราวบันไดพญานาคขึ้นลงมณฑปประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเกล็ดพญานาคสีขาว ชั้นบันได 200 ชั้นปูด้วยหินแกรนิตไทย พื้นที่จากเชิงเขาถึงบริเวณสร้างมณฑปพระพุทธบาท มีประมาณ 35 ไร่เศษ โปรดเกล้าฯ ให้อนุรักษ์ธรรมชาติเดิมไว้ และโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกต้นไม้สำคัญทางพระพุทธศาสนาให้เต็มพื้นที่จากส่วนที่มีอยู่แล้วและรอบบริเวณเขาชั้นล่าง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนลาดยาง พร้อมน้ำฝนให้ไหลลงสู่บ่อพักน้ำทั้งหมดส่วนน้ำที่ล้นไหลไปจากบ่อที่เก็บไว้ก็จะเป็นเหตุทำให้พื้นที่ชุ่มชื้นด้วยน้ำ ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็จะเจริญงอกงามตามธรรมชาติ
พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก.
ทิวทัศน์วัดญาณสังวรารามฯ จากพระมหามณฑปพุทธบาท เมื่อเดินถึงยอดเขาแล้วสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งวัดได้สวยงาม โครงการในพระราชดำริเกี่ยวกับการเก็บน้ำไว้ใช้เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
สามเณรทัศนศึกษาวัดญาณสังวราราม นอกจากจะเป็นศาสนสถานที่สำคัญมีความสวยงามมีนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเดินทางมาเยี่ยมชมและพักผ่อนที่วัด วัดญาณสังวรารามยังเป็นศาสนสถานที่พระภิกษุสามเณรเดินทางมาเยี่ยมชมศึกษา สามเณรกลุ่มนี้เดินทางมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเลยทีเดียว
ยักษ์ทวารบาลพระมหามณฑปพุทธบาท หันหน้าเข้าหาพระมณฑป เช่นเดียวกันกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้วมรกต)
พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก. มีขนาดกว้าง 9.00 เมตร สูง 33.00 เมตร ปรารภสร้างด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถซึ่งยิ่งใหญ่พ้นพรรณา เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ได้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อันเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ สก. ประดิษฐานที่องค์พระมหามณฑป ทั้งยังได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี เป็นผู้ออกแบบพระมหามณฑปพุทธบาทนี้ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างบนพื้นที่ยอดเขา (เขาดินเดิม) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ทรงมณฑป ชั้นล่างแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 เป็นที่อยู่อาศัยของสงฆ์ ตอนที่ 2 เป็นถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค ชั้นบนเป็นส่วนของอาคารที่จะประดิษฐานรอบพระพุทธบาทคู่ องค์พระมณฑปประดับด้วยโมเสสสีทองจรดยอด ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุารี พระราชทานโมเสสสีทอง ซึ่งรื้อมาจากการบูรณะปฏิสังขรณ์ พระเจดีย์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม บริเวณพื้นองค์มณฑปปูด้วย หินแกรนิตไทย กำแพงแก้วทำหินล้างสีขาว ศิลาที่สลักรอบพระพุทธบาทนี้เป็นหินแกรนิต มีขนาดกว้าง 1.70 เมตร ยาว 2.00 เมตร หนา 2.90 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 35 ตัน ได้นำมาจากป่าสวนยาง ข้างวัดซากไทย จังหวัดจันทบุรี บริษัทวิศวโยธาฯ (เขาชีจรรย์) จำกัด จัดถวาย ได้รับความอนุเคราะห์การขนส่งจากผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบจากจังหวัดจันทบุรีมาถึงวัดญาณสังวราราม ส่วนการนำหินขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปพระพุทธบาทนั้น กรมชลประทานเป็นผู้ดำเนินการ เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร มอบหมายให้อาจารย์โหมด ว่องสวัสดิ์ ออกแบบแกะสลักและควบคุมการแกะสลักจนแล้วเสร็จเป็นรองพระพุทธบาทคู่ พร้อมทั้งพระสาวก 80 องค์ ลงปิดทองงามตระการตาอย่างยิ่งพลับพลารับเสด็จฯ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการใช้ต้นมะพร้าวเป็นเสา โครงหลังคาไม้มุงแฝก ให้เป็นพลับพลารับเสด็จชั่วคราว สมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์สร้างพระมหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก. และทรงปฏิบัติพระราชกิจตามโครงการพระราชดำริ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2527 ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของมณฑปชำรุดไปตามสภาพจึงสร้างศาลาทรงไทยแบบจตุรมุขไว้ ณ ที่พลับพลาเดิมเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงโปรดพระราชทานแก่วัดญาณสังวรารามสืบต่อไป พระมหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก. สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณล้นกระหม่อมต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยแท้
ราวบันไดพญานาคพระมหามณฑปพุทธบาท เป็นบันไดสำหรับขึ้นนมัสการพระพุทธบาทคู่ มีสามเศียร สร้างแบบเดียวกันทั้งสี่ทิศ
ประดับกระจกลวดลายสวยงาม มณฑปพระพุทธบาทเป็นสถานที่สำคัญที่ทางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายใน แต่มองจากภายนอกจะเห็นกระจกสีสวยงามประดับอยู่ทั้งสี่ด้าน โดยมีพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ สก. ประดิษฐานที่องค์พระมหามณฑปบริเวณกระจกเหล่านี้