ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. สำนักงานนครราชสีมา โทร.0 4421 3666, 0 4421 3030
http://www.tourismthailand.org/nakhonratchasima
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
การเดินทางสู่มอหินขาว ภาพล่าสุด ปี 2553 ทริปนี้เราให้ให้มอหินขาวเป็นพระเอก แล้วทุ่งดอกกระเจียวเป็นนางเอกเพราะเธอเป็นดอกไม้ โดยโปรแกรมที่วางแผนไว้คือตระเวนเที่ยวโดยใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพียง 2 วัน 1 คืน จึงเดินทางกันตั้งแต่คืนวันศุกร์ ไปถึงอช.ไทรทองเช้ามืด เพื่อเดินไปทุ่งดอกกระเจียวทั้ง 4 ทุ่ง ท่ามกลางไอหมอกยามเช้า แถมหน้าผาที่ให้ความเสียวๆ หดๆ เรียกกันว่าผาหำหด หลังจากนั้นก็ รีบบึ่งไปมอหินขาวกันเลย จอดกินข้าวร้านข้างทางระหว่างเดินทางกันไป ก่อนขึ้นมอหินขาวเห็นว่าเวลายังพอมีเหลือ บ่าย 3 โมงคงร้อนเกินไปที่จะเดินบนมอหินขาวจึงแวะน้ำตกตาดโตนซักหน่อย ที่น้ำตกคนเยอะมาก กระจายกันอยู่ทุกสายน้ำกันเลย คงเป็นเพราะแถวนี้มีน้ำตกที่เดียวทุกคนต่างก็มาเล่นน้ำที่นี่กัน เรานั่งเล่นกันสักพักก็อำลาน้ำตกตาดโตนแล้วมุ่งหน้าสู่มอหินขาวหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะไปให้ถึงสัก บ่าย 4 โมงเย็น จะได้ถ่ายภาพมีแดดสักนิด แล้วรอพระอาทิตย์ตกไปด้วยเลย จากนั้นเรากลับไปนอนที่รีสอร์ทที่เราจองไว้อยู่ทางขึ้นมอหินขาว พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรอพระอาทิตย์ขึ้น ณ เสาหิน สโตนเฮนจ์ พร้อมกับถ่ายภาพยามเช้ากับแสงสีทองไปจนสายๆ ตระเวนให้ทั่วมอหินขาวแล้วเราค่อยกลับ โปรแกรมนี้จะทำให้ได้ภาพหลากหลาย ยกเว้นไว้เพียงภาพเส้นดาวโคจร เพราะทีมเราไม่ได้นอนแค้มป์ที่ลานมอหินขาวด้วยความที่เรากลัวฝนตกซึ่งจะยุ่งยากมากและอุปกรณ์เราไม่อำนวยสำหรับป้องกันฝน แต่ไม่เป็นไรเพราะถึงอย่างไรต้องได้มานอนดูดาว ณ มอหินขาวกันสักคืนแน่นอน
มอหินขาว ไปทางเดียวกับน้ำตกตาดโตน จากตัวเมืองก็ใช้ทางหลวงหมายเลข 2051 สายชัยภูมิ-ตาดโตน ทางลาดยาง 18 กม. แต่จะถึงก่อนด่านอุทยานแห่งชาติตาดโตน สังเกตป้าย มอหินขาวอยู่ซ้ายมือ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน มุ่งหน้าสู่ ต.ท่าหินโงม ทางลาดยางเข้าไปประมาณ 12 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายไปบ้านวังคำแคน ถนนเป็นลูกรัง 6.5 กม.ดังภาพอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ อย่าเพิ่งตกใจว่าเข้าผิดทาง เพราะถนนที่ตัดขึ้นสู่มอหินขาวจะต้องผ่านหมู่บ้านและใช้เวลานานกันจนคิดว่าหลงซะแล้ว แต่จริงๆ แล้วไกลพอสมควรค่ะ เวลาขับรถกรุณาขับช้าๆ นะคะ เพราะเป็นถนนลูกรัง ทำให้ฝุ่นกระจาย ชาวบ้านเดือดร้อนมากค่ะ ฝาบ้านแดงกันเป็นแถวระหว่างทางก็มีป้ายบอกเป็นระยะ ขับไปเรื่อยๆ จากหมู่บ้านไปอีกประมาณ 3.5 กม. ถึงจะเป็นถนนลูกรังแต่ก็เรียบใช้ได้แล้วค่ะ สำหรับรถเก๋งไปได้สบายๆ แต่ถ้าช่วงฤดูฝนไม่แนะนำค่ะ แต่สามารถติดต่อเช่ารถขึ้นมอหินขาวที่ อบต.หมู่บ้านวังคำแคนได้ ชาวบ้านใจดีและยินดีให้บริการ และฝากอีกสักข้อนึงช่วยอุดหนุนร้านค้าและบริการของชาวบ้านด้วยนะคะนักท่องเที่ยวที่น่ารักต้องช่วยกันกระจายรายได้สู่ชุมชน
ถนนสู่มอหินขาว ถนนสู่มอหินขาวจะค่อยๆ ขึ้นเนินไปเรื่อย ระหว่างทางก็มีรถอีแต๋นของชาวบ้านผ่านไป-มาเป็นระยะ เป็นวิถีชีวิตที่จะเห็นได้โดยง่าย บางคนชอบภาพแนววิถี ก็จะดักถ่ายภาพกันไป โปรดระวังความปลอดภัยกันด้วยนะคะ ขอให้ขับรถกันช้าๆ เพราะชาวบ้านก็ขับช้าเช่นกัน
แต่บางทีกินเลนมาบ้างก็มี เพราะไม่มีเส้นแบ่งถนน ระหว่างทางขึ้น จะมีรีสอร์ทและบ้านพักอยู่ริมถนนอยู่เป็นระยะ แต่ก็ไม่มากนัก พอผ่านรีสอร์ทไปแล้ว ก็จะเห็นเสาหินอยู่ลิบๆ นั่นไง
ถึงแล้ว มอหินขาว สโตนเฮนจ์เมืองไทย เสาหินกลุ่มแรก คือเสาหิน 5 ต้น ตั้งสูงตะหง่านยิ่งใหญ่ท่ามกลางเนินราบเรียบน่าอัศจรรย์ ดังกับว่ามีคนเอาเสาหินมาตั้งไว้บนนี้
“มอหินขาว” ชื่อนี้แปลว่าอะไรกันนะ คำว่า “มอ” เป็นภาษาพื้นบ้านหรือภาษาอีสานที่แปลว่า “เนินเขาที่ไม่สูงมากนัก” ส่วน “หินขาว” ก็มีที่มาโดยชาวบ้านเล่าว่าทุกคืนวันพระ มองขึ้นมาบนเนินเขานี้ จะเห็นแสงสีขาวจ้าส่องขึ้นจากกลุ่มเสาหินสูงใหญ่เหล่านี้ชาวบ้านก็เล่าต่อกันไปปากต่อปาก ก็เริ่มมีผู้สนใจมากขึ้น ด้วยคิดว่าเป็นสิ่งแปลกที่จะมีแท่งหินอยู่บนเนินเขาที่เป็นดินทราย มีลักษณะเหมือนสโตนเฮนจ์ที่ประเทศอังกฤษ ก็พากันขึ้นมาดูจนมากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วมอหินขาวก็ได้รับเลือกเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen in Thailand โดยเมื่อปีที่พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย เป็นพีเซนเตอร์ของ ททท. ก็ได้มาถ่ายทำเพื่อโปรโมทมอหินขาวให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายได้รู้จักด้วย โฆษณาทางทีวีคงเคยได้เห็นกันบ่อยๆ
มอหินขาว กลับมาต่อกันในทริปนะคะ พวกเรามาถึงเสาหิน 5 ต้น เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ภาพแรกที่เห็นอยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ สวยงามอลังการกลางลานกว้าง นักท่องเที่ยวเดินวนไป-มากันมากพอสมควรทั้งๆ ที่เป็นช่วงเย็นแล้ว อาจเป็นเพราะใครๆ ที่มาดูทุ่งดอกกระเจียวก็จะต้องมาที่มอหินขาวเป็นที่เที่ยวต่อเนื่องด้วยเลย
ทัศนียภาพบนมอหินขาวด้านหลังกลุ่มเสาหินเป็นวิวกว้างสุดตาของทิวเขายาว มองไปไกลๆ จะเห็นอ่างเก็บน้ำลำปะทาว อากาศลมพัดเย็นสบาย
เสาหิน 5 แท่ง เสาหินทั้ง 5 ต้นนี้ แต่ละต้นก็มีเอกลักษณ์ความสวยงามและรูปทรงแปลกๆ แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเหมือนหน้าคน เสาหินต้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากับ 20 คนโอบ ความสูงจากพื้นดินประมาณ 12 เมตร ตั้งแต่ได้รับการโปรโมท เสาหินแต่ละต้นก็มีชื่อเรียกขึ้น ตามความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่
เสาหินหลวงปู่ฤาษี เสาต้นนี้ใหญ่ที่สุด มีชื่อว่า หลวงปู่ฤาษี เชื่อว่า ถ้าได้กราบไหว้ จะได้รับพรในด้านโชคลาภ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยจะหายเร็ววัน
เสาหินขุนศรีวิชัย เสาต้นนี้อยู่ห่างจากกลุ่ม มีชื่อว่า ขุนศรีวิชัย เชื่อว่า ถ้าได้กราบไหว้ จะได้รับพรในด้านชัยชนะ รูปร่างลักษณะเหมือนคนยืนยึดอก เงยหน้ามองฟ้า แต่ต้องมายืนมองมุมนี้นะคะถึงจะดูว่าเหมือน ถ้ามองมุมอื่นจะไม่เหมือน
เสาหินหลวงปู่ฤาษี เทียบขนาดความมหึมากับขนาดของคนดูเล็กๆ เท่ามดเลย ถ้าบรรดาตากล้องจะไปรอถ่ายภาพเสาหินล้วนๆ โดยที่ไม่มีคนละก็ เห็นทีคงต้องเตรียมเสื่อไปปูนั่งหรือนอนรอด้วยละกัน เพราะเสาไม่เคยแห้ง คงต้องทำใจกันหน่อยนะคะ ใครๆ ก็อยากถ่ายภาพกับเสาหินเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกกลับบ้านไปอวดกันทั่งนั้น แต่สำหรับฉันมีคนหรือไม่ก็ไม่แคร์สื่อค่ะ ถ่ายกันโลด ยิ่งเวลานี้ได้แสงตอนเย็นๆ ส่องเสาหินจนดูเป็นสีทองสวยจับใจ
ผาหัวนาค ที่มอหินขาว นอกจากไฮไลท์สโตนเฮนจ์เมืองไทยนี้แล้ว ยังมีกลุ่มหินอีก 2 กลุ่ม ซึ่งจะต้องนั่งรถขึ้นเนินไปอีก จากเสาหิน 5 แท่ง จะผ่านส่วนบริการนักท่องเที่ยวซึ่งใช้เป็นจุดกางเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักแรมดูดาว มาถึงหินกลุ่มที่ 2 เรียกว่า หินเจดีย์และ หินโขลงช้าง ต่อด้วยหินกลุ่มที่ 3 เรียกว่าหินต้นไทรตามลำดับ หินที่เหลือทั้ง 2 กลุ่มที่กล่าวมานี้จะขอผ่านไปก่อนเพื่อที่จะมาถ่ายภาพในวันพรุ่งนี้ เพราะจุดมุ่งหมายต่อไปในวันนี้คือ ผาหัวนาค ดวงอาทิตย์ค่อยๆ หนีเราไปเรื่อยๆ แล้ว โชเฟอร์ของพวกเรารีบขับรถไปจอดสุดทางจะมีลานจอดรถกว้างๆ แล้วพวกเราก็รีบลงจากรถแล้วเดินเท้าขึ้นเขาไปไม่ไกลก็จะถึงผาหัวนาค มีป้ายบอกว่า ผาหัวนาค เขียนด้วยตัวอักษรเหมือนเรื่องนางนาค น่ากลัวดีเนอะ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 905 ม.
ผาหัวนาค ต่างคนต่างมุ่งหน้าเดินผ่านป้ายเข้าไปยังหน้าผา จับจองที่นั่งกันไป ใครถึงก่อนก็นั่งก่อน พอได้นั่งแล้วแล้วก็จัดแจงเก็บภาพวิวที่อยู่ตรงหน้าใส่กล้องกันไประหว่างรอพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ตอนนี้แดดยังจ้าอยู่จนพระอาทิตย์ยังไม่เป็นดวงกลมๆเลย เราก็เลยเก็บภาพวิวรอบๆ มา ต้นไม้ต้นนี้จึงได้เป็นพระเอกไปโดยปริยาย แต่ก่อนที่จะนั่งลงนั้นช่วยกันมองซ้ายมองขวากันก่อนว่ามีน้องบุ้งอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่าตัวนุ่มๆ ขนฟูๆ น่ารักเชียว
ผาหัวนาค พวกเรานั่งปักหลักกันรออยู่ตรงหน้าผานี้ ณ จุดนี้ของผาหัวนาคเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยจุดหนึ่ง แต่นั่งกันดีๆ นะคะ ต้องระวังอันตรายด้วย เพราะหน้าผาตรงนี้ยังไม่มีราวกั้น
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนก.ย.-ต.ค. บริเวณผาหัวนาคแห่งนี้จะดาษดาไปด้วยกล้วยไม้ป่าและดอกไม้นานาชนิด ออกดอกบานท้าลมหนาวสีสันสดใสทั่วลานหิน เช่น กล้วยไม้เอื้องหมายนา เอื้องม้าวิ่ง และกระดุมเงิน เป็นต้น บางคนก็เรียกที่นี่ว่าผากล้วยไม้แต่เวลาเดินก็ช่วยกันระวังด้วยว่าเหยียบหรือเตะน้องกล้วยไม้เสียหาย
จากจุดนี้ เราสามารถมองเห็นผืนป่าและหนองน้ำเบื้องล่าง แต่สังเกตได้ว่าไม่แน่นหนาเหมือนประเทศลาว ถ้าใครเคยไปเที่ยวเขาที่ติดชายแดนลาวจะรู้ดีว่าต่างกันมากมาย
พระอาทิตย์ตกที่ผาหัวนาค พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ก่อนหน้านี้พระอาทิตย์ได้ลงหายไปกับก้อนเมฆมหึมา จนพวกเราคิดว่า วันนี้คงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ลับทิวเขาซะแล้วแต่ก็ยังนั่งรอเรื่อยไปด้วยความหวังนิดๆ โอ้โห.... ไม่น่าเชื่อเลยและแล้วเมฆก้อนนั้นก็แยกออกจากกันดังมีใครมาแหวกออกพอดีกับพระอาทิตย์กำลังลับทิวเขาเป็นดวงเลย เพื่อนๆ ตากล้องเรากดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง เฮ้อ...ดีใจที่ยังได้เห็น
ตอนเดินกลับ ยังหันไปเก็บภาพแสงสุดท้ายของวันเอาไว้ด้วย แล้วก็ขึ้นรถเดินทางลงเขากลับสู่รีสอร์ทเพื่อรับประทานอาหารเย็นที่รีสอร์ทจัดการให้ เพราะที่มอหินขาวยังเป็นที่ท่องเที่ยวใหม่จึงยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพอเพียง ทางรีสอร์ทจึงอำนวยความสะดวกเรื่องอาหารให้เราทุกมื้อเลย อิ่มอร่อยมากมาย พวกเรานั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวกันสักพัก ก็นัดแนะเวลาตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าประมาณตี 5 แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน
เช้าวันใหม่ที่มอหินขาว ในขณะที่พวกเราต่างนอนหลับสบายๆ อยู่นั้นก็มีเสียงผู้ชายมาเคาะประตูเรียกแล้วพูดว่า ตื่นได้แล้วครับพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว เราตกใจตื่นรีบล้างหน้า-แปรงฟัน ไปพร้อมกันที่รถแล้วรีบบึ่งขึ้นเขาไปกันเลย ระหว่างนั่งรถไปก็นั่งลุ้นกันไปว่าจะทันมั๊ยนะ อยากจะหยุดเวลาไว้ก่อนได้ไหม ทางด้านพี่โชเฟอร์ก็จัดเต็มเร่งสปีด ตามแสงสีส้มๆ ซึ่งค่อยๆ ขึ้นมาจับขอบฟ้ามาทีละนิด
พระอาทิตย์ขึ้นที่มอหินขาว พอถึงลานจอดรถก็เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวที่ตั้งแค้มป์อยู่ที่นี่ มานั่งรอกันอยู่หลายคน พอพวกเราลงจากรถรีบรีบเดินไปที่เสาหิน จัดแจงเดินหามุมว่าจะให้ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงช่องไหนดี พอได้มุมเหมาะแล้วก็ซ้อมมือไปเรื่อยๆ จนเห็นเป็นดวงกลมๆ ค่อยๆ ขึ้น ณ มอหินขาวเช้าวันนี้ช่างเป็นเช้าที่พระอาทิตย์สวยงามมาก
เคยมีบางคนพูดว่าที่หน้าบ้านเขาก็มีพระอาทิตย์ขึ้นไม่เห็นจะต้องไปดูที่ไหนเลย ไม่เคยเห็นกันหรือไง
แต่สำหรับพวกเรานั้นการที่ได้ตระเวนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกในแต่ละที่นั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปและไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน ถ้าจะให้พูดออกมาคงอธิบายยาก รู้แต่เพียงว่าดูได้ทุกที่ไม่มีเบื่อเลย ไปนอนที่ไหนก็อยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกที่นั่นทุกครั้ง
พระอาทิตย์ขึ้นที่มอหินขาว เวลาผ่านไปพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ สูงขึ้น เราก็ขยับมุมไปทีละช่อง ในมุมนี้ทำให้เสาหินแท่งขวามือนี้ดูคล้ายด้านข้างของหน้าคนนัยต์ตาเป็นประกาย มีชื่อว่า หลวงสมชาย ซึ่งอยู่ถัดจากหลวงปู่ฤาษี เชื่อว่า ถ้าได้กราบไหว้หลวงสมชายแล้ว จะได้รับพรในด้านความมีสง่าราศรี
ทุ่งหญ้ามอหินขาว บริเวณโดยรอบมอหินขาว มีทุ่งหญ้าชูช่อสูงประมาณเข่าพลิ้วไหวด้วยสายลมอ่อนๆ เราไม่รอช้าค่อยๆ นั่งลงแล้วเลื่อนกล้องลงต่ำ เพราะภาพทิวหญ้าที่นี่ยังไงก็สวยกว่าหญ้าที่บ้านเราแน่นอน ยามดอกหญ้าอาบด้วยแสงสีทอง อืม.....สวยมีเสน่ห์จริงๆ ไม่ใช่ล้อเล่น ต้องมาสัมผัสเองว่าถ้าได้มายืน ณ มอหินขาวท่ามกลางทุ่งหญ้าสีทองจะรู้สึกอย่างไร
พระอาทิตย์ขึ้นที่มอหินขาว พระอาทิตย์ขึ้นมาเกินครึ่งดวงแล้ว คงเหลือเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวภาพประทับใจได้อีกไม่นาน ดีจังที่สมาชิกที่ไปพบกันช่วยส่งภาพสวยๆมาแบ่งปันกันชม สมาชิกในกลุ่มเดินถ่ายภาพเสาหินแต่ละต้น มุมโน้นทีมุมนี้ทีไม่มีเบื่อ เพราะว่าลายของเสาหินแต่ละมุมก็แตกต่างกันออกไปตามจินตนาการ ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่มีใครเห็นเหมือนเราซะเลยก็ว่าได้
นอกจากที่มอหินขาวจะแปลกแล้วยังเป็นสถานที่ดูดาวที่สุดยอดอีกแห่งหนึ่ง ด้วยโลเคชั่นที่มีเสาหินตั้งตระหง่านท่ามกลางทุ่งกว้างไม่มีต้นไม้หรือตึกมาบดบังทัศนียภาพเลย ถ้าตั้งกล้องบันทึกภาพกลุ่มดาวกำลังเคลื่อนที่สัก 30 นาทีก็คงจะได้ภาพเส้นดาวโค้งอยู่เหนือเสาหิน เหมือนภาพที่ใช้โปรโมท มอหินขาวในโครงการ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน สวยๆ อย่างนั้นแหละอยากทำบ้างจัง
พระอาทิตย์ขึ้นที่มอหินขาว เลนส์ SIGMA 10-20 ออกมาใหม่ ถูกดึงออกมาจากกระเป๋ากล้องประกอบเข้าไปกับ body NIKON D80 บีบรูรับแสงแคบลงหน่อยแต่เอาแค่พอประมาณ ภาพที่ออกมาทำแสงอาทิตย์เป็นวงกลมสวย ทำเอากล้องตัวอื่นๆ อิจฉาไปเลยครับ
พระอาทิตย์ขึ้นที่มอหินขาว เวลาผ่านไปตอนนี้แดดเริ่มแรงจากแสงอาทิตย์ที่เคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ย้อมดอกหญ้าทั่วบริเวณมอหินขาวเป็นสีส้มสวย
ขุนศรีวิชัย เป็นเสาต้นเดียวที่แปลกอีกอย่างว่ามีต้นไม้ขึ้นอยู่ข้างบนด้วย ไม่รู้นะว่าขึ้นเองหรือว่าอาจจะมีคนเอาขึ้นไปปลูกเพราะลักษณะเสาหินมีทางให้ปีนขึ้นไปได้ บางทีนกอาจจะคาบเมล็ดมาทิ้งไว้
ป้ายบอกทางมอหินขาว หลังจากที่เราสนุกสนานเต็มที่กับเสาหินกลุ่มแรกแล้ว ก็มองหาพรรคพวกที่หลงออกไปจากกลุ่ม บางคนไปรอที่รถและบางคนยังคงเดินอยู่รอบๆสโตนเฮนจ์เมืองไทยอยู่เลย ในฐานะที่เราเป็นผู้จัดก็ตามหาสมาชิกมาจนครบ เพื่อจะได้ขยับไปที่หินกลุ่ม 2 ซึ่งห่างจากเสาหินสโตนเฮนจ์เมืองไทยขึ้นไปประมาณ 650 เมตร พอออกจากลานจอดรถก็จะเห็นป้ายบอกทาง ผ่านลานกางเต้นท์ขึ้นไปสักพักก็ถึงจุดจอดรถบริเวณหินกลุ่มที่ 2
การเดินทางในมอหินขาว เรานั่งรถขึ้นเนินไปตามถนนลูกรังเรียบๆ มองไปบนเนินจะเห็นกลุ่มหินอยู่ไกลๆ นั่นเอง
กลุ่มหินโขลงช้าง หินกลุ่มที่ 2 เรียกว่ากลุ่มหินเจดีย์และหินโขลงช้าง บริเวณโดยรอบเป็นทุ่งกว้างและมีก้อนหินกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปเปรียบได้เหมือนโขลงช้าง
มอหินขาว ทีแรกสมาชิกบางคนบอกว่าจะรอบนรถเพราะแดดเริ่มแรงขึ้นแล้วที่ลานหินมีแต่หญ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่คิดว่าคงร้อนน่าดูชม แต่พอสมาชิกลงไปสัก 3-4 คน ก็เลยตามลงไปกันหมด แล้วก็แยกแตกกระจายกันไปตามก้อนหินที่ตัวเองชอบ บางคนกระโดดบนหินเลยก็มี นอกจากหินจะแปลกแล้วเพิ่มความนุ่มสวยด้วยทุ่งหญ้าดอกสีม่วงช่วยให้หินที่ดูแข็งแรง โล้นๆ ให้ดูมีสเน่ห์ขึ้นมา
มอหินขาว สรุปได้ว่าหินกลุ่ม 2 มีจุดเด่นที่รูปร่างแปลกตา บางก้อนเหมือนกระดองเต่า เหมือนเจดีย์ กลุ่มนี้ดูเหมือนเห็ด
มอหินขาว หินแท่งนี้ถ้ามองมุมนี้จะเหมือนปากฉลาม และหินอีกหลายๆ ก้อนก็อาจจะเหมือนสัตว์ต่างๆ ขึ้นอยู่ที่จินตนาการและมุมกล้องของแต่ละคน เดินออกไปด้านหลังวิวตรงนี้ก็สวยดีเพราะเป็นเนินสูงขึ้นจากสโตนเฮนจ์มาอีกหน่อย และถ้ามองจากจุดนี้ก็สามารถเห็นสโตนเฮนจ์ได้
หินต้นไทร พอเริ่มรู้ตัวว่าร้อนได้ที่แล้วเราก็ขึ้นรถขยับไปที่หินกลุ่มที่ 3 เรียกว่าหินต้นไทร เป็นหินก้อนใหญ่กว่ากลุ่มหินโขลงช้าง ทางเข้ามีหินด้านละก้อน
หินต้นไทร หินกลุ่มนี้มีต้นไม้ร่มรื่นดีโดยเฉพาะต้นไทรที่อยู่ระหว่างซอกหินใหญ่ทั้ง 2 ก้อน แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมให้ร่มเงาจึงเป็นที่มาของชื่อหินต้นไทรนี่แหละ ส่วนลักษณะหินกลุ่มนี้ก็ไม่เหมือนกับกลุ่มหินโขลงช้าง หินก้อนนี้อยู่ทางเข้าด้ายซ้ายมือ ภาพเต็มๆ น่าจะดูเหมือนรองเท้าบูท
ลวดลายบนผิวหิน บางก้อนมีจุดเด่นที่ลายแปลกแตกต่างกันไป หินทั้ง 4 ภาพนี้อยู่ใกล้กันแค่เพียงกระโดดถึงกันได้แต่ลายไม่เหมือนกันสักก้อน ถ้าหินเหล่านี้ถูกกัดเซาะก็น่าจะมีลายไปในทางเดียวกันเนอะ ส่วนตัวชอบก้อนที่มีรอยแยกทั้งก้อนดูเหมือนไข่ไดโนเสาร์ที่กำลังจะแตกออก
ปิดท้ายมอหินขาว หลังจากที่เพลิดเพลินกับความแปลกของกลุ่มหินต้นไทรแล้วลองเดินลัดเลาะผ่านก้อนหินเข้าไปอีกก็จะพบกับจุดชมวิวกว้างๆ เพื่อนสมาชิกก็เบนความสนใจไปที่วิวกันต่อ พวกเราขลุกอยู่นานจนเริ่มหิวข้าวแล้วเลยนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสมาชิกบางคนรออยู่และยังไม่ได้กินอาหารเช้ากันเลย สมควรแก่เวลาก็พากันกลับรีสอร์ทเพื่อกินข้าวเช้ากัน เพื่อจะได้เดินทางไปชมทุ่งดอกกระเจียวและป่าหินแปลกๆกันอีก ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ของฝากจากใจ รายละเอียดการจัดทริปเที่ยวมอหินขาวของเรา หยิบหมอกหยอกดอกกระเจียวเที่ยว 4 อุทยานแห่งชาติ : อช.ไทรทอง-น้ำตกไทรทอง- มอหินขาว-น้ำตกตาดโตน-อช.ป่าหินงาม ประมาณนี้ ถ้ามีเวลาแวะตามป้าย 9 กค 53 22.30 น. พร้อมกัน ณ จุดนัดหมาย ออกเดินทาง ถ้าใครอยู่ระหว่างทางแวะรับได้ 10 กค 53 อช.ไทรทอง-อช.ตาดโตน-อช.ภูแลนคา 5.30 น. ถึงอช.ไทรทอง นั่งรถของอช. ขึ้นชมทุ่งดอกกระเจียว ทั้ง 4 ทุ่ง ถ้าเดินไหว ระหว่างทางมีผาพ่อเมือง และผาหำหด เดินต่อไปผาเพลินใจและทุ่งดอกกระเจียว 2 และต่อด้วยทุ่ง 1 ท่ามกลางหมอก (ส่วน ทุ่ง 4 เป็นกระเจียวขาว) 8.00 น. กินข้าวเช้าที่ร้านอาหารสวัสดิการของอุทยาน บริเวณลานกางเต็นท์จุดที่ 1 เดินกลับไปยังจุดจอดรถแวะถ่ายภาพขากลับยามมีแสงแดดในเวลาต่างกัน แล้วเดินทางลงแวะเข้าน้ำตกไทรทอง หามุมถ่ายภาพนิดหน่อย 13.00 น. กินข้าวกลางวันแล้วเดินทางไปที่อช.ภูแลนคา ก่อนเข้าภูแลนคาหาเครื่องดื่ม ขนม ไปกินตอนเย็นด้วย ที่มอหินขาวมีร้านอาหารขายถึง 3 ทุ่ม 15.00 น. ถึง อช.ภูแลนคา ชมสถาปัตยกรรมทางธรรมชาติ มอหินขาว หรือ สโตนเฮนจ์ เมืองไทย เดินถ่ายภาพกันไปพลาง รอถ่ายภาพยามอาทิตย์ตกที่ มอหินขาว แสงสวยๆ 11 กค 53 อช.ป่าหินงาม-กรุงเทพ 5.30 น. รับอรุณยามเช้า อาจจะได้สัมผัสบรรยากาศหมอกยามเช้า ถ่ายภาพทะเลหมอกท่ามกลางขุนเขา และมอหินขาว ยามเช้า 7.30 น. เก็บของเดินทางออกจาก อช.ภูแลนคา เข้าสู่ อช.ป่าหินงาม แวะเก็บภาพยามเช้าที่น้ำตกตาดโตน 10.30 น. ถึงอช.ป่าหินงาม นั่งรถบริการเวียน ไปชมวิวที่ จุดชมวิวสุดแผ่นดินทั้ง 3 ภาค ชมทุ่งดอกกระเจียว +ป่าหินแปลกตา 12.30 น. เดินทางออกจาก อช.ป่าหินงาม กินข้าวระหว่างทาง แวะเที่ยวตามรายทางขากลับถ้ามีเวลา 17.30 น. แวะสระบุรี เพื่อกินข้าว และซื้อของฝากก่อนกลับ 21.00 น. ถึง กทม. ส่ง ณ จุดนัดหมาย
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ