ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานแพร่ 0 5452 1118-9, 0 5452 1127
http://www.tourismthailand.org/phrae
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
พระบรมธาตุทุ่งยั้ง ตั้งอยู่ที่ทุ่งยั้ง อำเภอลับแล แต่อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์แค่นิดเดียวจนรู้สึกเหมือนกับว่าพระธาตุองค์นี้ยังอยู่ในเขตอำเภอเมือง การเดินทางจากตัวเมืองไปทางอำเภอลับแลเพียง 5 กิโลเมตร เท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมเคยมาที่วัดพระบรมธาตุ(ทุ่งยั้ง) เพื่อเก็บภาพและรวบรวมข้อมูลเขียนรีวิวเรื่องวัดแห่งนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งตั้งใจจะมาร่วมงานอัฐมีบูชาและชมการแสดงแสงสีเสียง พิธีถวายพระเพลิงพระสรีระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ให้พุทธศาสนิกชนได้รำลึกถึงวันสำคัญทางศาสนาอีกวันหนึ่ง
วันจัดงานเป็นวันแรม 8 ค่ำ หลังจากวันวิสาขบูชา ก็คือ 8 วันหลังจากวันวิสาขบูชานั่นเอง ชาวพุทธหลายคนก็คงไปร่วมพิธีทางศาสนาในวันพระใหญ่วันเพ็ญเดือนหกกันมาก พอถึงวันอัฐมีบูชา คนก็เลยค่อนข้างเบาบาง พอดีปีนี้จัดขึ้นตรงกับวันเสาร์ ผมก็เลยออกจากบ้านตี 3 กะว่าจะให้ถึงอุตรดิตถ์ประมาณ 5 โมงเย็น โดยหาที่แวะไหว้พระทำบุญระหว่างทาง ตามถนนสายเอเซีย ได้แก่ วัดม่วงอ่างทอง วัดต้นสน วัดอัมพวัน วัดพระนอนจักรสีห์ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงพิษณุโลก ไหว้พระพุทธชินราช เที่ยวงานสี่แยกอินโดจีน ไปอุตรดิตถ์ มาถึงแบบเฉียดฉิวจริงๆ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี เหลือแสงสวยๆ ด้านหลังพระธาตุให้เก็บภาพได้
เมื่อมาถึงวัดเราก็ปรี่เข้าไปที่องค์พระธาตุเพื่อเก็บภาพแสงสวยๆ ยามเย็นก่อนที่จะมืดลง จากนั้นก็เดินมาที่บริเวณงานประเพณีวันอัฐมีบูชา ซึ่งหมายถึงการแสดงแสงสีเสียงการถวายพระเพลิงจำลอง มีการเตรียมพระจิตกาธานจำลอง สร้างไว้ที่เบื้องหน้าพระพุทธรูปปางปรินิพพาน เป็นพื้นที่สำหรับการแสดงที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในวัดวันนี้คึกคักมากพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายของตามลักษณะของงานวัดที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป รอบๆ พระจิตกาธานจำลองก็มีเก้าอี้จัดเตรียมไว้ให้ประชาชนได้นั่ง โซนหนึ่งทางด้านตะวันออกจัดไว้สำหรับนักปฏิบัติธรรมหรือผู้ถือศิลอุโบสถ แต่กายด้วยชุดขาว ส่วนด้านหนือส่วนหนึ่งสำหรับประธานพิธี และพระภิกษุ ที่เหลือเราก็เลือกนั่งได้เลยครับ ส่วนช่างภาพที่มาเก็บภาพงานในวันนี้ก็มากันเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่จะเดินไปเดินมาย้ายมุมกล้องมากกว่าการปักหลักอยู่กับที่
งานเริ่มต้นขึ้นเวลาประมาณ 19.00 น. ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน จากนั้นก็จะมีเรื่องราวปฐมบทของการจัดงานรวมทั้งพุทธประวัติตอนหลังวันปรินิพพาน ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ค่อยจะได้ยินที่ไหนบ่อยนัก การเรียนการสอนพระพุทธศาสนาก็มักจะกล่าวถึงวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่เรื่องราวหลังจากนั้นจะหาอ่านหาศึกษายากสักหน่อย แม้ว่าจะอ่านตำรากันมาบ้างแล้วก็นึกภาพไม่ค่อยออก วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งจึงจัดงานวันอัฐมีบูชาขึ้นมา มีการแสดงเรื่องราวเหตุการณ์นั้นให้เราได้เห็นภาพ
เริ่มเรื่องราวการย้อนเวลาไปในสมัยพุทธกาล ไม่ใช่ 2600 ปี ที่ผ่านมา แต่เรื่องราวที่ถูกยกมาเป็นการแสดงแสงสีเสียงของวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ย้อนเวลาถอยหลังไปถึงสมัยพระกุกกุสันโธพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าพระองค์แรก) ได้เสด็จอยู่ในเขาซอกนอกเมืองทุ่งยั้ง ทรงยกหัตถ์ลูบเศียรเกล้า พระเกศาหล่นลงมาเส้นหนึ่ง พระยาศรีโศกราชเจ้าบรรจุไว้ในถ้ำเมืองทุ่งยั้ง มีพยากรณ์ว่า ในกาลเบื้องหน้ามหากษัตริยาธิราชจักได้นำพระบรมธาตุแห่งพระพุทธกัสสปะ, พระโกนาคม, พระสมณโคดม และพระศรีอาริยะเมตไตย มาบรรจุไว้ดุจเดียวกัน สัมมาสัมพุทธัสสะ ในพุทธกาลแห่งสมณะโคดมพระศรีสุธรรมโศกราชเจ้าเสด็จมายังเมืองนี้ มีพระราชศรัทธาขุดแผ่นดินถ้ำเมืองทุ่งยั้งลึก 4 วา กว้าง 10 วา 3 ศอก บริจาคพระราชทรัพย์ หล่ออ่างทองบรรจุพระอุทกธาราใส ประดิษฐานสิงโตทองเด่นเป็นสง่า อัญเชิญพระนารายณ์รักษาพระบรมธาตุบรรจุในผอบแก้วใสในมณฑปทองคำ พระอิศวรถือจักรทองคำรักษาเบื้องหน้า พระวิรุฬหกถือพระขรรค์ทองคำรักษาดานทักษิณ
สรุปใจความประมาณได้ว่า พระบรมธาตุทุ่งยั้งไม่ใช่สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันพระองค์เดียว แต่ยังมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีต ก่อนหน้านี้มีลักษณะเป็นถ้ำก่อนที่จะถูกขุดออกแล้วสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นมา
ตำนานการสร้างพระเจดีย์ที่ทุ่งยั้ง เรื่องราวมาแต่กาลนานว่า ชายชาวไร่ไปไถไร่ทั้งในเพลาเช้า ถึงต้นเสิ่งเป็นกำหนดอัศจรรย์ พระบรมธาตุเปล่งรัศมีสีทองสว่าง จึงนำความไปบอกนายยอดทุ่งยั้งแห่งเมืองสังกะโลก
อคโขพระมหาเถลาทัยพร้อมชาวเมืองอธิษฐานแม้นเมื่อข้าพระพุทธเจ้าจักได้มีโอกาสอุปถัมภกยอยกพระศาสนาแล้วไซร้ ขอจงได้แสดงยมกปฏิหาริย์ด้วยเทอญ สิ้นคำอธิษฐาน พระบรมธาตุแตกเป็นพลุทั่วเท่าลูกมะพร้าวคนทั้งมวลได้ทำการสักการะนมัสการ ตัดเสียซึ่งต้นรังสร้างพระเจดีย์ครอบไว้เป็นสำคัญ
การแสดงยังคงดำเนินเรื่องราวสมัยพุทธกาลหลังจากที่ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของเมืองทุ่งยั้งที่มีความเกี่ยวข้องกับพระศาสนา ย้อนไปเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาละ วโนทยาน เมืองกุสินาราแคว้นมัลละ เมื่อปัจฉิมยาม ยามแห่งราตรีวิสาขบูชาขบูรณมี มหามงคลสมัย ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 โดยมีพระอานนท์ถวายการดูแลตามพระพุทธานมัติในพุทธฎีกาให้ปูพระแท่นประนิพพานไสยา ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ พระพุทธองค์เสด็จไสยาสน์ตะแคงขวา หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ตั้งพระบาทเหลื่อมด้วยพระบาท ตั้งพระทัยดำรงพระสติสัมปชัญญะ ประทับท่าสีหไสยาสน์ พระราชปัจฉิมโอวาสแก่หมู่สาวกซึ่งชุมนุมอยู่ ณ ที่ที่นั้นหลายพันคนว่า
"...ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่ตถาคตพึงจะบอกแก่ท่านทั้งหลาย ตถาคตได้บอกหมดแล้ว สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ท่านทั้งหลายจงพยายามเพื่อความหลุดพ้น ด้วยความไม่ประมาทเถิด..."
แล้วพระองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ยิ่ง ต้นสาละทั้งคู่นั้นผลิดอกบานสะพรั่ง ทั้งมิใช่ฤดูกาลที่จะออกดอก แล้วปลิดร่วงกรูลงบูชาพระพุทธองค์ดงพรมดอกไม้ คลุมทั่วพระพุทธสรีระ ตลอดจนดอกมณฑารพ ดอกไม้ทิพย์จากสรวงสวรรค์ ก็โปรยปรายลงมาจากนภากาศ ดนตรีสวรรค์บรรเลงเพลงอย่างเพราะพริ้วแว่วหวานเป็นพุทธบูชา
มัลลกษัตริย์ มีความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยิ่งนัก ได้ทำการสักการะบูชาพระพุทธสรีระ ด้วยการให้ฟ้อนรำ ประโคมดนตรี ดาดเพดานด้วยพวงดอกไม้ ประดับมาลัยสุคนชาติเป็นเอนกประการ เพื่อกระทำพุทธบูชาพระสรีระ ด้วยมโหฬารสักการะ
จนล่วงเวลาไป 6 วัน วันที่ 7 ก็อัญเชิญพระพุทธสรีระไปประดิษฐานเพื่อถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของพระนครกุสินารา โปรดให้ตกแต่งพระพุทธสรีระ ดังพระสรีระของจอมจักรพรรดิ โดยห่อยด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่แล้วซับ ใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า 500 คู่ แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์และของหอมทุกชนิด เพื่อเตรียมการถวายพระเพลิง ในวันแรม 7 ค่ำ เดือน 6
การแสดงที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งได้เตรียมมาเป็นอย่างดีก็คือจิตกาธานจำลอง พระพุทธสรีระจำลอง การอัญเชิญด้วยขบวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาสู่พระจิตกาธาน รอการถวายพระเพลิง มีเหล่าภิกษุ ประชาชนมากมายร่วมขบวน
ท้าวสหัมบดีมหาพรหม ผู้กล่าวอมตะวาจาในวันปรินิพพานว่า "สรรพสัตว์โลกย่อมต้องทอดทิ้งร่างกายทับถมแผ่นดิน แม้พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งของโลกยังต้องดับขันธ์ปรินิพพาน" ท้าวโกสีย์เทวราช ผู้กล่าวอมตะวาจาว่า "สังขารนี้ไม่จีรังยั่งยืนเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา การระงับสังขารได้เป็นความสุข"
ได้นำเทวดานางฟ้า คนธรรพ์ สาวสวรรค์ รุกขเทวดาและวัตถุเทวา จากทุกมณฑลในสากลจักรวาล พร้อมกันมาทำการสักการะบูชาพระพุทธสรีระ
พระภิกษุทั้งหลายอันเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ ซึ่งแยกย้ายกันไปเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ในแว่นแคว้นต่างๆ เมื่อทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ต่างก็รีบมาเพื่อถวายความเคารพพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย โดยกระทำอัญชลีและทักษิณาวัตร 1 รอบ แล้วจึงถวายอภิวาท ด้วยรำลึกถึงประโอวาทและพระปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ที่ว่า "หันททานิ ภิกขเว อามันตยามิโว วยธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ อะยัง ตถาคตัสสะ ปัจฉิมา วาจะ"
ข่าวการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ทราบไปถึงเมืองใด เหล่าฤๅษี ดาบส ผู้ทรงพรตและเหล่าพราหมณ์ ไปจนถึงอุบาสกอุบาสิกา ทั้งหลายก็ได้รอนแรมเดินทางมาให้ถึงโดยเร็ว เพื่อถวายเครื่องสักการะ น้อมรำลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้ว่าที่เห็นอยู่นี้จะเป็นการแสดง แต่ก็มีการนำเอาการบูชาเพื่อรำลึกถึงวันคล้ายวันอัฐมีบูชาในครั้งพุทธกาลเข้ามาด้วย เหล่าพระภิกษุและญาติธรรมผู้ถืออุโบสถศิล ประชาชนที่มาร่วมชมการแสดงทั้งหมดก็ได้นำเอาดอกไม้ธูปเทียนขึ้นไปสักการะพระพุทธสรีระจำลอง ผู้ชมจำนวนมากที่นั่งชมรอบบริเวณการแสดงก็ต่อคิวกันยาวเหยียดเดินขึ้นไปบนจิตกาธานแล้วก็ลงมาอีกด้านหนึ่งจนครบทุกคนแล้ว ก็วกกลับเข้ามาที่การแสดงต่อ
เมื่อครั้งพุทธกาล หลังจากที่ทุกผ่ายทุกคนที่เดินทางมาถวายสักการะพระพุทธสรีระแล้ว มัลลกษัตริย์และพระราชวงศ์ผู้จัดงานจนครบ 7 วัน แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็เต็มตื้นด้วยปิติศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จถวายเครื่องสักการะพระพุทธสรีระเป็นชุดสุดท้าย
ครั้นถวายเสร็จก็โปรดให้มัลละปาโมกข์ 4 องค์ นำเพลิงเข้าไปยังจิตกาธาน 4 ทิศ เพื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ แม้จะพยายามจุดอยู่หลายครั้งเพลิงก็ไม่ติด มัลลกษัตริย์จึงได้ทูลถามพระอนุรุทธเถระเจ้า ซึ่งเป็นพระประธานฝ่ายบรรชิต ถึงเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว
พระอนุรุทธได้อรรถาธิบายว่า เหล่าเทวดาที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้มีความประสงค์ หากพระมหากัสสปพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ 500 รูป ซึ่งกำลังเดินทางไกลจากเมืองปาวาย มาสู่เมืองกุสินารา ยังมาไม่ถึง เพลิงก็จะไม่สามารถติดขึ้นได้
พระมหากัสสปเถระ เดินทางมาถึงในยามบ่ายของวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ตรงไปยังมกุฏพันธนเจดีย์สถานที่ถวายพระเพลิง ก็วางเครื่องธุดงค์ลงในที่อันควร ดำเนินเข้าไปใกล้จิตกาธาน ทำอัญชลีนมัสการทำทักษิณาวัตรรอบจิตกาธาน แล้วถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยเศียรของตน พอพระมหากัสสปเถระเจ้า และหมู่สงฆ์ 500 รูปได้ถวายบังคมแล้ว พระบาทของพระพุทธสรีระก็ทะลุจากหีบ แล้วจิตกาธานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ลุกโชติช่วงขึ้นเองดังเพลิงทิพย์ด้วยเทวาฤทธานุภาพ
พระเพลิงเผาผลาญพระบรมศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ 7 วัน จนพระสรีระภายนอกอันตรธานเป็นอากาศธาตุไปสิ้น ไม่ปรากฏเถ้าหรือเขม่าแม้แต่น้อย ส่วนที่เหลือเป็นพระบรมสารีริกธาตุอันได้แก่ พระอัฐิ พระเกศา พระโลมา พระนขา และพระทันตะ กับผ้าขาวเป็นเครื่องห่อพระบรมสารีริกธาตุในจิตกาธาน
เมื่อพระสรีระแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าฌาปนกิจเสร็จแล้ว ก็บังเกิดอุทกธาราน้ำไหลหลั่งลงมาจากนภากาศ รวมทั้งชโลทกวารี พุพุ่งจากพฤกษาชาติ ดับจิตกาธาน ครั้นเสร็จแล้วจึงเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานในสัณฐาคารศาลาภายในกุสินรานคร ให้พิทักษ์ปกป้องด้วยผองทหารกล้า มิให้ผู้ใดเข้ามาแย่งชิงไป และทรงกระทำการสักการะบูชาด้วยฟ้อนรำดุริยะ สังคีตประโคมชัย ตกแต่งบุปผามาลัยสุคนธชาติเป็นอเนกนานาประการสมโภชเอิกเกริกจนสิ้นกาล 7 วัน
การแสดงและการถวายสักการะบูชาในวันอัฐมีบูชาที่ได้มีการนำเอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาพระพุทธสรีระจำลอง จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก หรืออาจจะรู้จักบ้างแต่ไม่รู่ว่าสำคัญอย่างไร และอีกเหตุหนึ่งคือเป็นวันที่ห่างจากวันวิสาขบูชาเพียง 8 วัน สถานที่หรือวัดที่จัดงานอัฐมีบูชาก็ไม่มาก จึงไม่ค่อยจะได้เห็นงานแบบนี้บ่อยนัก เฉพาะที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จังหวัดอุตรดิตถ์ จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นเสมือนการนำเอาประเพณีบูชาวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มาประกอบกับการแสดงให้เป็นเรื่องราวยาวต่อเนื่องกันไป ผู้มาชมก็เลยมีส่วนร่วมในการแสดงชุดนี้ไปด้วย แม้ว่าชาวพุทธในจังหวัดอื่นๆ จะไม่ค่อยมีโอกาส แต่ชาวอุตรดิตถ์จะมาร่วมงานนี้กันเป็นประจำทุกปี ได้ทั้งบุญ ทั้งยังได้ชมการแสดงที่สวยงามเช่นนี้แล้ว ปีหน้าอย่าลืมมาร่วมงานกันนะครับ
สำหรับเรื่องราวในพระพุทธประวัติเกี่ยวกับวันอัฐมีบูชา จะมีรายละเอียดมากกว่าที่ผมเล่ามานี้อีกมาก ที่ผมต้องขอตัดเอาบางส่วนออกไปเพื่อไม่ให้เนื้อหายาวเกินไป เอาเป็นว่าพอสังเขปครับ ถ้าสนใจลองค้นหาข้อมูลโดยละเอียดได้จาก Google นะครับ
วัดพระบรมธาตุ(ทุ่งยั้ง) นี่เป็นภาพพระวิหารหลวง ที่ประดิษฐานหลวงพ่อหลักเมือง องค์พระประธานประดิษฐานในพระวิหารหลวง สร้างใน พ.ศ. 2283 พระเจ้าบรมโกศทรงให้สร้างในคราวที่ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมธาตุเมืองทุ่งยั้ง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอู่ทองหน้าตักกว้าง 2 วา 11 นิ้ว สูง 3 วา 10 นิ้ว ชาวบ้านนิยมเรียกชื่อหลวงพ่อหลักเมืองว่าหลวงพ่อประธานเฒ่า หลวงพ่อหลักเมืองประธานเฒ่า และหลวงพ่อโต เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน เพราะได้รับสิ่งพึงปรารถนาตามอธิษฐาน
ส่วนด้านหลังของพระวิหารหลวงก็คือพระธาตุเจดีย์ ที่เรียกกันว่าพระธาตุทุ่งยั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงแสงสีเสียง วันอัฐมีบูชา เราก็เดินมาที่วิหารเพื่อเก็บภาพกลางคืนที่เปิดไฟสวยๆ หาดูได้ยากครับ
วิหารหลวงวัดพระธาตุทุ่งยั้ง ยืนอยู่ด้านหน้าของพระวิหารหลวง ก็มองเห็นหลวงพ่อหลักเมืององค์ใหญ่อยู่ด้านใน
ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านกัน นักท่องเที่ยวก็จะมากราบไหว้หลวงพ่อขอพรกันเยอะครับ
พระบรมธาตุทุ่งยั้ง จบการเดินทางร่วมบุญงานอัฐมีบูชาครั้งแรกในชีวิตเอาไว้เท่านี้ครับ มีข่าวคราวอัพเดตอะไรก็จะมาบอกเล่ากันในโอกาสหน้า แต่ขอบอกว่าเราชาวพุทธควรได้ร่วมงานนี้สักครั้ง เพราะไม่ได้มีจัดกันทั่วไป อย่างน้อย แรม 8 ค่ำ เดือน 6 คราวหน้า ออกมาไหว้พระ ตักบาตร ทำบุญกัน ครับ เพราะเป็นวันสำคัญทางศาสนาอีกวันหนึ่งเหมือนกัน
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ