ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานกรุงเทพฯ http://www.tourismthailand.org/bangkok
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ภายในวิหารพระนอนหรือพระไสยาสน์ ทางเดินด้านหลังองค์พระนอนเป็นทางเดินตรงเหมือนด้านหน้าขององค์พระ ผนังด้านในของพระวิหารพระไสยาสน์มีภาพจิตรกรรมที่งดงามมากมาย สำหรับช่วงเทศกาลจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเยอะมากจนบางครั้งไม่สามารถจะหยุดเดิน หรือถ่ายรูปแบบใช้ขาตั้งได้ ก่อนสมัยรัชกาลที่ 3 นั้น พื้นที่บริเวณวิหารพระพุทธไสยาสน์ปัจจุบันยังมิได้อยู่ในเขตของวัด แต่เป็นวังที่ประทับของพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้ากุ หรือที่เรียกกันว่า เจ้าครอกวัดโพธิ์ (ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นกรมหลวงนรินทรเทวี) ต่อมาเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ลงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างวังใหม่ประทานแก่ลูกหลาน รวมพื้นที่ดังกล่าวเข้ากับวัดโพธิ์ แล้วสถาปนาวิหารพระพุทธไสยาสน์
มหัศจรรย์พระพุทธไสยาสน์ 9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์ อันดับที่ 1 มหัศจรรย์พระพุทธไสยาสน์ วิหารพระพุทธไสยาสน์สร้างขึ้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีการประดับมุกภาพมงคล 108 ประการที่บริเวณฝ่าพระบาท
หอระฆังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ตั้งอยู่ใกล้ๆ พระวิหารพระไสยาสน์ มีลักษณะการก่อสร้างที่สวยงามปราณีต ประดับด้วยกระเบื้องสีสันสวยงาม
ซุ้มประตูภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซุ้มประตูนี้เป็นทางเดินระหว่างวิหารพระไสยาสน์ไปยังพระอุโบสถ มียักษ์ยืนเฝ้าประตูที่เรียกว่ายักษ์ทวารบาล ด้านหนึ่งเป็นลักษณะทางตะวันตก อีกด้านหนึ่งเป็นแบบจีน (คนละซุ้มประตูกันครับแต่เอามาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ) ผ่านจากซุ้มประตูนี้ไปแล้วจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 2
สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 2 มหัศจรรย์ตำราเวชเชตุพน ศาลาจารึกตำรานวดแผนโบราณ มีจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งนวด นับเป็นบันทึกที่รวบรวมสรรพวิชาทั้งการแพทย์ การเมือง การปกครอง ประวัติการสร้างวัด และ วรรณคดี นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นสิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 3 ด้านหลังพระอุโบสถ ปรากฏพระมหาเจดีย์ 4 องค์ เรียกกันโดยรวมว่า "พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล" โดยที่เจดีย์ที่เรียงกัน 3 องค์นั้น เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-3 อันได้แก่พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 เป็นเจดีย์องค์กลาง เจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 เป็นเจดีย์องค์เหนือ และเจดีย์มุนีปัตตปริกขาร เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 เป็นเจดีย์องค์ใต้ ทางตะวันตก ปรากฏเจดีย์อีกองค์หนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแถวเจดีย์ 3 องค์ เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ในภาพนี้จะมองเห็นองค์กลาง(องค์สูงที่สุดในภาพ) พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 องค์ใต้เจดีย์มุนีปัตตปริกขาร เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 และองค์ตะวันตก จำลองแบบมาจากเจดีย์ศรีสุริโยทัย มีเรือนธาตุเข้าไปภายในได้ ซึ่งจากในรูปนี้จะเห็นความแตกต่างของเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งต่างจากเจดีย์อีก 2 องค์ได้อย่างชัดเจน
เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-3 นั้น มีลักษณะเป็น "เจดีย์ทรงเครื่อง" อันเป็นเจดีย์แบบหนึ่งในสองแบบที่เป็นที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 1-3 กล่าวคือ เป็นเจดีย์ที่มีแผนผังย่อมุมไม้ 20 ฐานเป็นฐานสิงห์ 3 ฐาน รองรับบัวคลุ่มซึ่งรองรับองค์ระฆังอีกทีหนึ่ง องค์ระฆังมีลักษณะยืดสูงหรือที่เรียกกันว่า "ทรงจอมแห" ยอดด้านบนมีลักษณะเป็น "บัวคลุ่มเถา" คือเป็นดอกบัวทรงคลุ่มหรือทรงบาตรซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ ปลียอดมีลักษณะเล็กเรียวแหลม หรือที่เรียกกันว่า "ไม้เรียวหวดฟ้า"
เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 นั้น กลับเป็นเจดีย์ที่จำลองมาจากเจดีย์วัดสวนหลวงสบสวรรค์ หรือที่รู้จักกันว่าเจดีย์ศรีสุริโยทัยมาสร้าง ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าพระองค์ทรงมีพระราชนิยมในการจำลองเจดีย์ในศิลปะอยุธยามาสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจดีย์ทรงกลม ดังปรากฏอยู่ในวัดที่ทรงสร้างโดยทั่วไป เช่น วัดมกุฏกษัตริยารามและวัดโสมนัสวิหาร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเจดีย์ที่ปรากฏอยู่เดิมในวัดพระเชตุพนฯ นั้นเป็นเจดีย์ในผังย่อมุมไม้ 20 การออกแบบให้เจดีย์ประจำรัชกาลของพระองค์เป็นเจดีย์ทรงกลมนั้นอาจทำให้ขัดแย้งทางด้านสุนทรียภาพได้ จึงเป็นไปได้ที่มีการค้นคว้าเกี่ยวกับเจดีย์ในศิลปะอยุธยาที่มีผังย่อมุม ยังผลให้เกิดการจำลองเจดีย์ศรีสุริโยทัยในที่สุด
เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 เป็นเจดีย์ที่มี "เรือนธาตุ" ที่เข้าไปภายในได้ อันเป็นลักษณะเดียวกับเจดีย์ศรีสุริโยทัยในกรุงศรีอยุธยา ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวลูกแก้วในผังย่อมุมไม้ 12 ซ้อนกันรองรับองค์ระฆังซึ่งอยู่ในผังเดียวกัน ที่ยอดมีลักษณะเป็น "ปล้องไฉน" ซึ่งเป็นรูปแบบของศิลปะอยุธยาที่แตกต่างไปจาก "บัวคลุ่ม" ในส่วนเดียวกันของเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-3
เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลองค์สุดท้าย เนื่องจากทรงมีพระราชดำริให้เลิกสร้างเจดีย์ประจำรัชกาล อันเนื่องมาจากเกรงว่าวัดพระเชตุพนจะมีพื้นที่คับแคบ อนึ่ง ทรงมีพระราชดำริว่า ด้วยพระเจ้าแผ่นดินทั้ง 4 พระองค์นี้ "เคยเห็นทันกัน" จึงมีเจดีย์ประจำรัชกาลเพียง 4 รัชกาลเท่านั้นในวัดพระเชตุพนฯ
หอพระไตรปิฎก สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 4 มหัศจรรย์ต้นตำนานสงกรานต์ไทย เป็นการจัดแสดงวิดีทัศน์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสงกรานต์ของไทย นางสงรานต์ ตามคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ซึ่งรัชกาลที่ 3 โปรดให้จารึกลงในแผ่นศิลาติดไว้ที่วัดโพธิ์เป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์โดยสมมุติผ่านเรื่องราวธรรมบาลกุมารและนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ การจัดแสดงวิดีทัศน์จัดในอาคารด้านตะวันตกของพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล อาคารหลังนี้เป็นอาคารที่อยู่รอบหอพระไตรปิฎก (อยู่ด้านในกำแพงใกล้เจดีย์ 4 รัชกาล) มี 4 หลัง 4 ทิศ หอพระไตรปิฎกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งจากรูปแบบทางศิลปกรรมก็แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 อย่างชัดเจน กล่าวคือ การที่อาคารเป็นอาคารก่อนอิฐถือปูนขึ้นไปถึงหน้าบัน อาคารประดับกระเบื้องและมียอดเป็นทรงมงกุฎซึ่งลักษณะหลังนั้นเป็นลักษณะที่ปรากฏเป็นครั้งแรกในรัชกาลนี้
สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 6 มหัศจรรย์ตำนานยักษ์วัดโพธิ์ บอกเล่าเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน เป็นยักษ์ทวารบาลประจำซุ้มประตูทางเข้าออกบริเวณหอพระไตรปิฎก สำหรับหลายคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้ คงเข้าใจว่ายักษ์วัดโพธิ์นั้นมีลักษณะศิลปะแบบจีน เพราะเป็นยักษ์ที่พบเห็นได้ที่ซุ้มประตูกำแพงวัดโพธิ์ เฉพาะยักษ์วัดโพธิ์ตนเล็กๆ ที่เห็นอยู่นี้เท่านั้นที่อยู่ในกรอบมีบานประตูทำเป็นช่องใสพอมองเห็นได้อยู่ ณ ซุ้มประตูนี้เท่านั้น
พระพุทธเทวปฏิมากร สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์อันดับที่ 8 มหัศจรรย์วิจิตรพระพุทธเทวปฏิมากร ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า ด้วยประสงค์ตั้งมั่นแน่วแน่ว่า นี่จะเป็นพระนครอย่างถาวร รัชกาลที่ 1 โปรดให้ย้ายมาจากวัดคูหาสวรรค์หรือวัดศาลาสี่หน้าในฝั่งธนบุรี พระพุทธรูปองค์นี้จึงเป็นพระพุทธรูปที่มีมาก่อนการสถาปนากรุงรัตนโกสินร์เป็นราชธานี พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งอยู่บนฐานสูงที่ซ้อนกันถึง 3 ชั้น โดยรอบปรากฏพระสาวกนั่งคุกเข่าประนมกรไหว้ โดยพระสาวกที่ชั้นบน 2 องค์นั้น น่าจะหมายถึงพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร อัครสาวก 2 องค์ ส่วนฐานชั้นล่างยังปรากฏพระสาวกอีก 8 องค์ ภายใต้ฐานนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ การที่พระพุทธรูปองค์นี้ประทับบนฐานที่สูงมาก เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปประธานของวัดในสมัยเดียวกันนั้น อาจเนื่องมาจากขนาดของพระพุทธเทวปฏิมากรซึ่งมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระอุโบสถ ถ้าตั้งอยู่บนฐานเตี้ยแล้วพระพุทธรูปจะไม่สง่างาม จึงต้องสร้างฐานสูงถึง 3 ชั้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป อนึ่ง ต้องไม่ควรลืมว่าพระพุทธรูปองค์นี้ เดิมหล่อขึ้นเพื่ออุโบสถวัดคูหาสวรรค์ซึ่งมีขนาดเล็ก เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายขึ้น พระพุทธรูปจึงมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ
ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ จิตรกรรมฝาผนังโดยรอบ เขียนเป็นเรื่องประวัติของพระสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์อรรถกถาของอังคุตตรนิกาย เช่นประวัติของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าที่บานประตู ปรากฏจิตรกรรมเรื่องพัดยศของพระราชาคณะ ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญญวาสี บานหน้าต่าง เขียนลายรดนํ้าเป็นตราเจ้าคณะสงฆ์ น่าสนใจว่า ทุกเรื่องที่เขียนบนฝาผนังและประตูหน้าต่าง ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของสงฆ์ทั้งสิ้น ดังนั้น การประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากรไว้กลางพระอุโบสถนั้น จึงมีความหมายหมายถึงพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานแห่งหมู่สงฆ์ทั้งมวล อนึ่ง การที่พระพุทธเทวปฏิมากรถูกแวดล้อมด้วยประติมากรรมพระสาวก 10 องค์ และการปรากฏเครื่องบริขารจำลองด้านหน้า ย่อมรับกับคตินี้ได้เป็นอย่างดี
""
Preechaya Parijchat
2018-04-16 21:05:30
"พระพุทธไสยาส"
Preechaya Parijchat
2018-04-16 21:04:15
""
Preechaya Parijchat
2018-04-16 21:00:29
"สรงน้ำพระที่วัดโพธิ์..เทศกาลสงกรานต์
เป็นวัดประจำรัชกาลที่1"
Preechaya Parijchat
2018-04-16 20:59:45
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
14/15 จาก 3 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ