ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605
http://www.tourismthailand.org/chiangmai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก ใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง ทางแยกเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก อยู่ก่อนถึงตัวอำเภอฝาง แยกซ้ายมือมีป้ายบอกทาง ระหว่างทางสามารถแวะเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจได้แก่ กาดเมืองผี ก่อนที่เราจะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก สิ่งที่จะต้องทำก็คือการติดต่ออุทยานแห่งชาติ เพื่อการกางเต็นท์ และรถสำหรับพาเราขึ้นไปยังลานกางเต็นท์ดอยผ้าห่มปก (สำหรับชื่อ ฟ้าห่มปก หรือ ผ้าห่มปก เป็นชื่อที่เรียกได้เหมือนกันทั้ง 2 ชื่อ แล้วแต่ความชอบครับ เพราะหลายคนก็เรียกดอยแห่งนี้ไม่เหมือนกัน ส่วนผมจะเรียกอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก แล้วเรียกชื่อยอดดอยว่าดอยผ้าห่มปก) เหตุที่ต้องการใช้บริการรถจากอุทยานก็เพราะว่ารถเราเป็นรถเก๋ง ไม่เหมาะกับเส้นทางขึ้นดอยผ้าห่มปก หรือแม้แต่รถกระบะบางทีก็แนะนำให้ใช้บริการของอุทยานดีกว่า เพราะก่อนหน้าที่เราจะเดินทางไปเพียง 3 วัน มีคนเอารถกระบะของตัวเองขับขึ้นไปเองแล้วตกผาขาหักไป 1 ราย ติดต่อเจ้าหน้าที่จองรถและลานกางเต็นท์เสร็จแล้วก็เดินทางไปได้เลย
ระหว่างทางจะมีเส้นทางโค้งคดเคี้ยวเป็นบางช่วง ก่อนจะถึงตัวอำเภอฝาง ชมทิวทัศน์ข้างทางดอกจานบานสะพรั่ง มีอยู่ประปรายให้สมาชิกของเราขอจอดถ่ายรูปเป็นระยะๆ เพราะความสวยงามของดอกไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มีดอกสีส้มสดใสอยู่ข้างถนน กำหนดเวลานัดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปค้างแรมบนดอยผ้าห่มปก ควรจะเดินทางไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกเวลาไม่ช้ากว่าบ่าย 3 โมง ก่อนหน้านั้นเรามีเวลาในการขับรถกินลมชมวิวเลือกแวะตามที่ต่างๆ ได้ตามสบาย แต่ต้องไม่ลืมเข้าตัวอำเภอฝางเพื่อที่จะเตรียมเสบียงอาหารสำหรับกลางคืนและรุ่งเข้าของอีกวัน
ถึงแล้วอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก ก่อนที่จะเข้าไปก็ต้องมีประเพณีการถ่ายภาพหมู่ตรงป้ายทางเข้าอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกกันหน่อย (หรือจะมาถ่ายตอนขากลับก็แล้วแต่การวางแผนของแต่ละกลุ่ม ถ้าเรามาถึงช้าก็ควรรีบไปเปลี่ยนรถก่อน ภาพนี้ของเราก็ถ่ายตอนขากลับเหมือนกันครับ)
มุ่งหน้าพิชิตดอยผ้าห่มปก เรามาถึงบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกเวลาบ่าย 3 กว่าๆ เพราะต้องเปลี่ยนรถขนของขึ้นรถที่ทางอุทยานจะเตรียมไว้ให้ (เราต้องจ่ายเงินบางส่วนล่วงหน้าที่ธนาคารกรุงไทยหลังจากที่เราเข้าไปจองทางอินเตอร์เน็ต) จากนั้นเดินทางจากที่ทำการอุทยานไปยังเส้นทางขึ้นดอยผ้าห่มปก เป็นทางเรียบลาดยางผ่านหมู่บ้านไปอีก 20 กิโลเมตรเห็นจะได้ จากนั้นก็ถึงด่านตรวจตรงจุดเริ่มต้นทางขึ้นเขาอันลาดชัน เจ้าหน้าที่ที่ด่านนี้จะทำหน้าที่สกัดรถที่ไม่สามารถขึ้นดอยผ้าห่มปกได้อย่างเช่นรถเก๋ง เผื่อว่ามีนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จะมีปัญหาระหว่างการเดินทางได้ เส้นทางตรงนี้ขึ้นไปยังยอดดอยเป็นทางลูกรัง ดินแดง สลับกับคอนกรีตเสริมเหล็กที่สร้างขึ้นมาเป็นช่วงๆ โดยจะเน้นสร้างถนนคอนกรีตในบริเวณที่เป็นทางลาดชันมาก เพื่อไม่ให้รถลื่นไถลลงเขา บางช่วงเป็นทรายหนารถลื่นไถลท้ายปัดน่าหวาดเสียว แต่พี่นะ ผู้เชี่ยวชาญเส้นทางดอกผ้าห่มปก ขับรถขึ้นลงดอยผ้าห่มปกมาประมาณ 15 ปี ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูท่าทีไม่น่าจะมาขับรถขึ้นลงเขาได้อย่างเชี่ยวชาญขนาดนี้ ครึ่งชั่วโมงกว่าโดยประมาณ เราก็มาถึงลานกางเต็นท์ของอุทยานได้อย่างปลอดภัย เราก็ไปติดต่อที่รองนอน เพราะเต็นท์เราจองเอาไว้แล้ว (ทริปนี้ไม่เอาเต็นท์มาครับเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทีมงานทุกคนอยากมาถ่ายรูปอย่างเดียว ที่ต้องเตรียมมาก็เพียงเสบียงอาหารเพราะบนนี้ไม่มีร้านค้าครับ)
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดอยผ้าห่มปก เอาละเรามาถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ตั้งเยอะ จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ ของดอยผ้าห่มปก มีอยู่หลักๆ 2 จุด จุดแรกเป็นศาลาอยู่หน้าลานกางเต็นท์ แต่เราไม่เลือกจุดนี้เพราะมีต้นสนมากมายขึ้นอยู่เรียงรายด้านหน้า กลัวว่าวิวที่ถ่ายออกมาจะรกรุงรังไปด้วยต้นสน
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกอีกจุดหนึ่งอยู่ห่างจากลานกางเต็นท์เดินไปด้านข้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดอยผ้าห่มปกประมาณ 100 เมตร เป็นทิวต้นสนมากมายเหมือนกันแต่ดูกิ่งก้านของสนจะสวยกว่าที่ศาลา
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกจุดที่ 3 คือยอดดอยผ้าห่มปก แต่ไม่มีใครขึ้นไปเพราะเวลาขากลับต้องเดินกลับลานกางเต็นท์ท่ามกลางความมืดเจ้าหน้าที่ก็คงไม่อนุญาตให้เราไปด้วย
ปักหลักเตรียมเก็บภาพสวย เมื่อเวลาพระอาทิตย์ตกมาถึง ต่างคนต่างก็หามุมที่ตัวเองคิดว่าจะได้ภาพสวยๆ แยกย้ายกันไปคนละทางกางขาตั้งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ สมาชิกของเราคนหนึ่งเดินทางมาเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่ดอยผ้าห่มปกแห่งนี้เป็นครั้งที่ 3 เหตุเพราะ 2 ครั้งแรกไม่เห็นดวงอาทิตย์เพราะฟ้าปิดมีหมอกปกคลุมทั่วทั้งดอย ในที่สุดความพยายามครั้งที่ 3 ก็ประสบความสำเร็จ
วิวพระอาทิตย์ตกดอยผ้าห่มปก เป็นภาพที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาชิกว่าสวยที่สุดในบรรดาหลายสิบภาพที่ผมถ่ายมาจากวิวพระอาทิตย์ตกดอยผ้าห่มปกไปวันนั้น ชั่วเวลาไม่ถึง 5 นาที พระอาทิตย์ดวงโตดวงนี้ก็จากเราลับหายไปบนขอบยอดของเทือกเขาในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
วิวพระอาทิตย์ตกดอยผ้าห่มปก ภาพสุดท้ายที่เราจะได้เห็นดวงอาทิตย์ ก่อนที่ลับหายไปจบกิจกรรมวันแรกของทริปฟ้าห่มปกของเรา เราเก็บอุปกรณ์เดินกลับไปที่ลานกางเต็นท์เตรียมอาหารกินกัน สำหรับมื้อเย็นของเราเรียบง่าย เราเตรียมข้าวกล่องมาจากตัวอำเภอฝาง ต่อด้วยเครื่องดื่ม ไมโล โอวัลติน ตามอัธยาศัย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำใจ อาบน้ำที่หนาวเย็นกันแล้วเข้านอน
แสงสุดท้ายบนดอยผ้าห่มปก ศาลาชมวิวพระอาทิตย์ตกหน้าลานกางเต็นท์กับต้นสนจำนวนมากที่ดูไม่เหมือนต้นอื่นๆ ตรงที่ไม่ค่อยมีกิ่งก้านมากมาย มีแต่ยอดสูงลิ่วขึ้นไปเป็นภาพสุดท้ายที่จะเก็บได้ในวันนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความมืด ต้องรีบเข้านอนเอาแรงไว้ให้มาก เราต้องเดินขึ้นยอดดอยผ้าห่มปกตอนตี 4 เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นกิจกรรมที่ทุกคนที่มาเที่ยวอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกจะต้องทำเหมือนๆ กัน หลังจากเที่ยวชมรอบๆ ยอดดอยแล้วก็เหลือเพียงการเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในกรณีที่มีเวลาเพียง 2 วัน คือเสาร์และอาทิตย์ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเที่ยวทริปแบบนี้กันในช่วงฤดูหนาว
ม่อนวัดใจ การเริ่มต้นเดินทางขึ้นพิชิตยอดดอยผ้าห่มปก เราเริ่มต้นออกเดินกันตอนดี 4 ความจริงไม่มีการถ่ายรูปใดๆ ระหว่างทางที่เราเดิน มีเพียงการหยุดพักตามจุดพักต่างๆ ที่มีอยู่หลายแห่งระหว่างเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร แต่ภาพที่ผมเอามาลงเรียงลำดับต่อจากนี้ไปเป็นภาพที่ถ่ายมาตอนขาลงจากยอดดอยให้เรื่องราวมันเป็นไปตามลำดับจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนของการเดินทาง ม่อนวัดใจแห่งนี้อยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นลานกางเต็นท์ประมาณ 500 เมตร เป็นทางเดินขึ้นเนินแรกของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติดอยผ้าห่มปก เนินแห่งนี้ชันและยาว สมกับชื่อม่อนวัดใจ ในเวลากลางคืนเราเดินไม่ค่อยเห็นทาง เราจะไม่รู้ว่าทางชันแห่งนี้จะไปหยุดที่ไหน ความเหนื่อยระหว่างการเดินผ่านม่อนวัดใจแห่งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าทำไมต้องเรียกว่าม่อนวัดใจ ถ้าผ่านเนินนี้ไปไม่ได้ก็คงเดินไม่ถึงยอดดอยผ้าห่มปก
จุดชมวิวม่อนวัดใจ หลังจากที่ได้พยายามเดินให้ผ่านเนินนั้นมาให้ได้ มีการพักระหว่างทางอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อให้หายเหนื่อยก่อนที่จะเดินกันต่อไป ความเร่งรีบที่จะไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นยิ่งทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น สุดม่อนวัดใจจะมีหินกว้างประมาณ 2 เมตร ให้เราได้นั่งพักผ่อน ในกรณีที่เดินทางขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นเราเดินตอนตี 4 ก็คงไม่เห็นวิวแบบนี้ ได้แต่นั่งพักอย่างเดียว
อาทิตย์เจิดจ้าระหว่างทาง ในระหว่างการเดินลงจากดอยเราไม่มีความจำเป็นที่จะรีบไปไหน เดินไปชมนกชมไม้ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆก็จะเหนื่อยน้อยลงครับ ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการเที่ยวดอยผ้าห่มปกก็ควรจะเป็นปลายฝนต้นหนาว มีดอกไม้ป่ามากมายหลายชนิดให้เราได้เพลิดเพลินกับการเก็บภาพ หลังจากเข้าฤดูหนาวช่วงมกราคม ความแห้งแล้งก็เข้ามาเยือน ดอกไม้ป่าไม่มีให้เราได้ชม ก็เหลือเพียงต้นไม้นานาพันธุ์คัดสรรเอามาประกอบภาพตามใจชอบ
บรรยากาศทางเดินพิชิตดอยผ้าห่มปก ป้ายบอกทางไปยังยอดดอยผ้าห่มปก มีตั้งไว้เป็นระยะๆ ห่างกัน 500 เมตร ก็มีป้ายบอกระยะทางคงเหลือ 2,000 เมตร มีที่นั่งพักซึ่งแน่นอนว่าเราก็เข้าพักที่นี่ด้วยตอนขึ้นมา แต่ละจุดที่เป็นที่พักดูเหมือนว่าเราจะพักไม่ต่ำกว่า 5 นาทีก่อนที่จะเดินต่อไปได้ไหว ระหว่างทางก็มีดอกไม้ป่าที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่ชนิดให้เห็น ภาพล่างขวาเป็นป้ายบอกระยะทาง 1,500 เมตร เกือบๆ ครึ่งทางของเส้นทางการเดินพิชิตดอยผ้าห่มปก ด้านหลังป้ายเป็นวิวเทือกเขาที่รู้สึกว่ามันอยู่ขนานกับดอยผ้าห่มปกที่เราเดินอยู่เลย
บรรยากาศทางเดินพิชิตดอยผ้าห่มปก บางช่วงทางเดินมีเหวอยู่ข้างทางด้วยนะครับ ต้องระมัดระวังเพราะดินลื่นนิดหน่อย อย่างภาพซ้ายเรายืนอยู่ขอบเหวเลย แต่เส้นทางเดินมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนมากลางคืนจะมองไม่เห็นเหวแห่งนี้ครับเพราะมืดสนิท ในเวลาที่เดินลงแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านป่าที่เรียกกันว่าป่าเมฆ มีลักษณะของป่าที่มีความชื้นสูงตลอดปีมีมอสและเฟิร์นเกาะต้นไม้อยู่มากมายบางครั้งแรกว่าป่าดึกดำบรรพ์ คล้ายที่ดอยอินทนนท์ แสงแดดจะส่องลงยังพื้นได้น้อยครับทำให้เราเดินอย่างร่มรื่นเย็นสบาย
กิโลเมตรสุดท้าย เอาละในที่สุดมาถึงตรงนี้จนได้ ตามเส้นทาง 3.5 กิโลเมตร ผ่านเนินแรกที่ม่อนวัดใจ ก่อนจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งเหลือระยะทางอีก 1,000 เมตร จะผ่านเนินที่ 2 ก่อน เป็นเนินที่ไม่ได้ตั้งชื่อเหมือนเนินแรก แต่ถ้าจะให้อธิบายละก็ มันเหนื่อยกว่าม่อนวัดใจเยอะ อาจจะเป็นเพราะเราหมดแรงไปตั้งแต่ม่อนวัดใจแล้วก็เป็นได้ พอมาเจอเนินที่ 2 ก็ยิ่งทำให้เราเดินกันช้าลง เราเริ่มเห็นแสงสีส้มลางๆ ตรงขอบฟ้าเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเวลาของเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เราต้องเดินเร็วขึ้นไม่งั้นอาจจะพลาดภาพสวยๆ ของพระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นได้ บริเวณนี้เราเห็นแสงไฟฉายของนักท่องเที่ยวกลุ่มหลังเริ่มไล่เรามาทันแล้ว (เพราะทุกคนก็ต้องเร่งเหมือนกันจะได้ทันเวลา แต่ดูท่าทางกลุ่มหลังคงเหนื่อยกว่าเรามากเพราะเดินเร่งมาก)
เนินสุดท้ายพิฃิตผ้าห่มปก นี่ก็เป็นช่วงเนินที่ 3 จากตรงนี้เราเห็นยอดดอยผ้าห่มปกอยู่ตรงหน้า ในภาพเป็นขาลงครับก็เลยดูกลับกันนิดหน่อย แม้ว่าจะเห็นยอดดอยอยู่อีกไม่กี่ร้อยเมตรตรงหน้าแล้วแต่เราก็เหนื่อยเกินกว่าจะที่รีบเดินให้เร็วกว่านี้ได้ เราก็เดินไปเรื่อยๆ ขอบฟ้าสีส้มแม้จะบอกว่าใกล้ได้เวลาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ยังพอที่จะให้เราเดินไปถึงยอดดอยก่อน
วิวสวยแห่งดอยผ้าห่มปก ก่อนถึงยอดดอยประมาณ 20 เมตร มองกลับมาด้านหลังที่เราเดินขึ้นมา พระอาทิตย์จะขึ้นอยู่ด้านซ้ายของภาพนี้ เทือกเขาทอดยาวตั้งแต่ทิศใต้ไปจนถึงทิศตะวันตก เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามของดอยผ้าห่มปก หลังจากเลือกจุดเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นได้แล้ว ยังมีเวลาเหลืออยู่มากพอที่จะเก็บภาพวิวด้านอื่นๆ เจ้าหน้าที่นำทางของอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก เมื่อส่งเราถึงยอดดอยพี่ๆ เหล่านี้จะหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะได้ไม่เกะกะในเวลาที่เราถ่ายรูปแต่ก็ไม่พ้นที่ผมจะเอามาประกอบวิวสวยจนได้
วิวพระอาทิตย์ขึ้นดอยผ้าห่มปก
วิวพระอาทิตย์ขึ้นดอยผ้าห่มปก
เหมยขาบหรือแม่คะนิ้ง เป็นความพยายามค้นหาเหมยขาบหรือแม่คะนิ้ง "เหมยขาบ" เป็นภาษาเหนือ ส่วน "แม่คะนิ้ง" เป็นภาษาอิสาน สองสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่เวลาเรียกเราก็จะเรียกตามสถานที่ที่ค้นพบ อย่างถ้าเห็นบนดอยอินทนนท์สมควรเรียกว่า เหมยขาบ ถ้าเจอที่ภูเรือก็น่าจะเรียกว่า แม่คะนิ้ง อย่างนี้เป็นต้น อากาศที่หนาวเย็นจะทำให้น้ำค้างที่เกาะอยู่บนต้นไม้หรือใบหญ้าแข็งตัว เพราะปริมาณหยดน้ำมีปริมาณน้อย จะสามารถแข้งตัวได้ง่ายกว่าน้ำปริมาณมาก (เหมือนเวลาเราทำน้ำแข็งในตู้เย็น) พืชบางชนิดที่มีเส้นขนเล็กๆ บนใบมีปริมาณน้ำค้างจากไอหมอกมาเกาะได้น้อยมาก จะแข็งตัวได้ง่ายกว่าหยดน้ำใหญ่ๆ ในวันที่เราเดินทางไปยอดดอยผ้าห่มปกอากาศไม่เย็นพอที่จะทำให้น้ำค้างหยดใหญ่ๆ แข็งตัวได้ แต่ถ้าหากมันเป็นฝอยน้ำเล็กๆ ก็แข็งได้บ้างเหมือนกันเพียงแต่มันไม่ขาวโพลนเหมือนที่เป็นข่าวครับ
ดอยผ้าห่มปก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้วก็ไม่สามารถถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นได้อีก เวลาหลังจากนี้เราจะตื่นตาตื่นใจกับวิวที่สวยงามล้อมรอบตัวเรา เป็นเทือกเขายาวๆ แต่ก่อนหน้านั้นต้องเก็บภาพป้ายยอดดอยผ้าห่มปก ความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,285 เมตร สูงกว่าดอยหลวงเชียงดาว 60 เมตร แต่ดูเหมือนว่าดอยผ้าห่มปกที่สูงเป็นอันดับ 2 ของไทยรองจากยอดดอยอินทนนท์ เดินทางมาง่ายกว่ายอดดอยหลวงเชียงดาวที่สูงเป็นอันดับ 3 แบบง่ายกว่ามากๆ ตอนไปดอยหลวงเชียงดาวเดินตั้งแต่เที่ยงถึงหัวค่ำเลยทีเดียว ความรู้สึกของยอดดอยที่สูงเป็นอันดับ 2 เลยไม่ลึกซึ้งเท่าที่ควร
ทิวทัศน์ผ้าห่มปก เดินชมวิวรอบๆ บริเวณยอดดอยซึ่งก็จะมองเห็นดอยอื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน ส่วนที่อยู่ทางใต้ลงไปเห็นยอดเพียงลิบๆ เป็นยอดดอยหลวงเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ห่างจากอำเภอฝางเกือบ 100 กิโลเมตร ระหว่างนี้เราก็จิบกาแฟร้อนๆ ขนมปังทาแยม (พกแกสแบบกระป๋องกับเตาเล็กๆ ขึ้นมาด้วยครับ) ทำเอากลุ่มอื่นๆ อิจฉาเลยทีเดียว ขากลับเอาขยะกลับลงมาทุกชิ้นครับ เที่ยวหัวใจใหม่เมืองไทยยั่งยืน ไม่ทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้า
ชมวิวผ้าห่มปก
ยอดดอยหลวงเชียงดาว เห็นอยู่ในภาพลิบๆ กว้างประมาณ 1 ซม. (ดูดีๆ นะครับเป็นเขาที่อยู่ไกลสุดในรูปครับ) ก็คือดอยหลวงเชียงดาว เวลาขึ้นไปนั่งบนยอดกิ่วลม จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยหลวงเชียงดาว เราจะเห็นยอดดอยผ้าห่มปกด้วยเหมือนกันครับขนาดเล็กๆ ไกลลิบๆ เหมือนกันเลย
อำลาผ้าห่มปก เอาละหลังจากชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยกันแล้วเราก็เดินลงมาที่ลานกางเต็นท์ ซึ่งภาพระหว่างเดินผมก็เอามาสลับกลับให้เป็นภาพขาขึ้นหมดแล้ว ลงมาถึงข้างล่างเราก็เข้าอาบน้ำอาบท่า ทำกับข้าวกินซึ่งก็เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เตรียมมาเป็นอาหารมื้อเช้าแบบเรียบง่าย มีไก่ทอดหมูทอด เป็นเครื่องเคียง อิ่มเรียบร้อย เก็บขยะและข้าวของใส่ถุงขยะ (สัมภาระของเราเองก็ต้องใส่ถุงขยะเพื่อให้ง่ายในการขน แต่แยกถุงกัน) เอาขึ้นรถคันเดิมที่เรานั่งขึ้นมาเพราะพี่นะคนขับก็นอนอยู่ที่ลานกางเต็นท์นี้เหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าไปนอนที่ไหน พอเราพร้อมที่จะเดินทางกลับก็เห็นพี่แกรออยู่ที่รถแล้ว
น้ำพุร้อนฝาง สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก เมื่อเราเดินทางเข้ามาที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เราจะเห็นน้ำพุร้อนแห่งนี้พุ่งสูงขึ้นเป็นระยะๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยว มีหลายคนที่มายืนรอถ่ายรูปจังหวะที่น้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงหลายเมตรเลยทีเดียวครับ เราเห็นน้ำพุร้อนแห่งนี้ตั้งแต่เราเข้ามาแต่ด้วยความรีบเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยเลยไม่ได้ถ่ายรูปน้ำพุร้อน พอลงมาจากดอยผ้าห่มปก ก็มาตระเวนถ่ายรูปรอบๆ พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก
น้ำพุร้อนฝาง ขยับเข้ามาใกล้ๆ น้ำพุกอีกนิด รอบๆ น้ำพุร้อนแห่งนี้มีธารน้ำร้อนเล็กๆ หลายสาย และมีการสร้างเป็นบ่อเก็บน้ำร้อนเล็กๆ หลายแห่งมีกิจกรรมต้มไข่ที่เราจะพาไปชมให้ทั่วๆ
ทางเดินชมน้ำพุร้อนฝาง จากจุดที่เห็นน้ำพุพุ่งขึ้นสูงๆ มีสะพานไม้ทอดยาวไปตามที่ราบมองดูเหมือนสนามหญ้ากว้างๆ มีแอ่งน้ำขังอยู่กระจัดกระจายไปทั่ว แต่ที่ต้องสร้างสะพานไม้ให้เดินก็เพราะว่าแอ่งน้ำที่ขังอยู่รอบๆ บริเวณนี้เป็นน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 80 องศาเซลเซียส สามารถต้มไข่ได้ มีป้ายปักไว้ให้ระวังบุตรหลานที่คิดว่าเป็นน้ำธรรมดาเอามือเอาเท้าลงน้ำไปจะได้รับบาดเจ็บได้ ตามสะพานทางเดินนี้จะมีบ่อน้ำร้อนที่เตรียมไว้ให้สำหรับกิจกรรมต้นไข่ให้เอาไข่ใส่ถุงผูกเชือกกับไม้ที่พาดไว้บนบ่อน้ำร้อนติดอยู่กับสะพานทางเดิน ครบ 10-20 นาที (แล้วแต่ว่าจะเอาสุกขนาดไหน) ก็เอาไข่ขึ้นมาได้ สะพานทางเดินไม้ที่สร้างทอดยาวท่ามกลางบ่อน้ำร้อนน้อยใหญ่จะพาเราไปสู่ห้องอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อน เป็นกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่เดินทางมายังอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกแห่งนี้
ห้องแช่ส่วนตัว ในพื้นที่สำหรับกิจกรรมอาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อนแบ่งออกเป็นห้องแช่ส่วนตัวเรียงรายกันอยู่หลายห้องห่างกันพอประมาณ และยังมีบ่อสำหรับลงแช่เป็นกลุ่มๆ ได้หลายคนสร้างแบบรั้วรอบขอบชิดพอประมาณ มีกฏในการลงแช่บ่อน้ำร้อนดังนี้
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับการอาบ-อบไอน้ำแร่ (ผ้าขาวม้า-ผ้าถุง)
ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เข้าอบน้ำแร่
อาบน้ำชำระร่างกายก่อนลงอ่าง
ห้ามใช้สบู่ แชมพู ในอ่าง
ห้ามสูบบุหรี่
ถอดเครื่องประดับเงินก่อนลงอ่าง
ห้ามนำอาหารเข้าไปทานบริเวณห้องอาบ-อบไอน้ำแร่
ห้ามเปิดวาล์วน้ำร้อนเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
ห้ามบุคคลที่เป็นโรคประจำตัวเช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต เข้าอบไอน้ำแร่
ห้ามออกกำลังกายก่อนเข้าอาบ-อบไอน้ำแร่ หากรู้สึกเพลียให้ออกมาพักผ่อนก่อน
ห้ามสตรีมีครรภ์และประจำเดือนใช้บริการอาบ-อบน้ำแร่
อาบได้ไม่เกิน 20 นาที
ห้องอาบ-อบไอน้ำแร่ เปิด 7.30 - 19.30 น. ค่าบริการ เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท (อบไอน้ำแร่ 30 บาท) ทางอุทยานมีบริการผ้าขาวม้า ผ้าถุงให้เปลี่ยน ผืนละ 10 บาท ผ้าขนหนู 15 บาท
ห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัวคนละ 50 บาท (2 คนขึ้นไปต่อห้อง) ราคาเหมาห้อง 150 บาท (ไม่เกิน 5 คน)
ห้องแช่ราคาเหมาแบบใช้บริการคนเดียว 100 บาท
ทุกห้องใช้บริการได้ไม่เกิน 30 นาที
บ่ออาบน้ำแร่แบบรวม ถ้าไม่เข้าแบบส่วนตัวก็จะมีห้องแบบรวมแบบนี้ให้บริการครับ ลงแช่ได้แบบกฏเดียวกันและต้องไม่เกิน 20 นาทีด้วย หลังจากการเดินลงจากยอดดอยผ้าห่มปก มาชำระล้างเหงื่อเสร็จแล้วลงแช่น้ำแร่ สบายตัวสุดๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
ห้วยแม่ใจ ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกประมาณ 700 เมตร เป็นลำธารสายเล็กๆ ไหลลงมาจากน้ำตกบนเขา สถานที่โดยรอบร่มรื่นมีร้านขายอาหารเครื่องดื่มบริการให้ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนจำนวนมากที่ชอบการปิคนิคริมลำธาร เด็กๆ เล่นน้ำได้ เพราะเป็นน้ำเย็น เป็นสถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำในอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกสำหรับทริปนี้ ถ้าได้ไปอีกมีรูปเพิ่มเติมมาอีกก็จะกลับมาอัพเดตกันใหม่ครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ