วัดหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนคำลือ ซอย 1 ตำบลในเวียง เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่ วัดนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมหลายยุคหลายสมัย
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่
วิหารหลวงพลนคร วิหารเก่าแก่สร้างพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือพระเจ้าแสนหลวง สร้างโดยเจ้าเมืององค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2057
พระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ พระเจดีย์ศิลปะเชียงแสน ประดิษฐานพระธาตุที่นำมาจากเมืองหงสาวดี
พิพิธภัณฑ์เมืองแพร่ เป็นสถานที่รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ที่มีอายุเกือบ 500 ปี และโบราณวัตถุต่าง ๆ ของเมืองแพร่ นอกจากนี้ยังมี คุ้มพระลอ ซึ่งเป็นการจัดแสดงตัวอย่างบ้านแบบล้านนาโบราณ
หอวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ สร้างด้วยไม้สักทอง อายุ 200 ปี เป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านมากมาย
ประวัติความเป็นมาของวัดหลวง
พ.ศ. 1371 พ่อขุนหลวงพล พระราชนัดดาแห่งมหากษัตริย์ อาณาจักรน่านเจ้า ได้นำคนไทยส่วนหนึ่งอพยพลงสู่ทางใต้ ขบวนอพยพเดินทางเกือบแรมปี ลุวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนสาม ปียี่ ขบวนอพยพก็เดินทางถึงที่ราบบนฝั่งแม่น้ำยม อาณาเขตกว้างใหญ่มีภูเขาล้อมรอบ มีหนองน้ำลำห้วยอุดมสมบูรณ์ พ่อขุนหลวงจึงป่าวประกาศให้ทุกครัวเรือนแยกย้ายกันจับจองที่ดิน เพื่อสร้างบ้านแปลงเมืองรวบรวมอาณาเขตเข้าเป็นเมืองๆ หนึ่ง ขนานนามตามชื่อของท่านว่า เมืองพลนคร พ่อขุนหลวงพลเป็นผู้มีปัญญาและคุณธรรมได้แต่งตั้งนายบ้านนายแขวง สำหรับควบคุมความทุกข์สุขของชาวบ้านชาวแขวง แขวงสำคัญในขณะนั้นมี แขวงเวียงชัย แขวงศาลาแก้ว แขวงเมืองมอ แขวงวังหงส์ แขวงวังหนอง แขวงดงเหล่า แขวงเวียงตอง แขวงดงถิ่น
พ.ศ. 1373 หลังจากพ่อขุนหลวงพลได้รวบรวมแขวงต่างๆ สถาปนาขึ้นเป็นเมืองพลได้ปีกว่า จึงป่าวประกาศให้ชาวเมืองพลทุกเขตแขวง มาร่วมกันสร้างวัดขึ้นเป็นบริเวณช่วงบ้านหลวงด้านตะวันตกคุ้มพ่อขุน ในวันเก้าค่ำ เดือนเจ็ด ปีเม้า ลุวันขึ้นสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า ชาวเมืองพลก็สร้างวัดเสร็จห่างจากหลักเมืองเก้าเส้น มีกำแพงล้อมรอบพระวิหารกุฏิและหอกลอง พระวิหารสง่างามยิ่งนักเป็นฝีมือช่างเมืองแสนไชยบุรีและช่างเวียงพางคำ มีพระประธานเมืององค์ใหญ่หน้าตักกว้าง 7 ศอก นามว่าพระเจ้าแสนหลวง พ่อขุนให้เรียกชื่อวัดตามนามของท่านว่า วัดหลวง และส่งพ่อหลวงคำฟู นายแขวงบ้านหลวงเป็นทูตไปนมัสการพระสงฆ์มาจากเมืองหลวงพระบาง เพื่อเป็นเจ้าอาวาสสอนพระธรรม พ่อขุนหลวงพลจัดงานฉลองสมโภชวัดหลวง 5 วัน 5 คืน มีการละเล่น จ๊อย ค่าว ซอ ตั้งโรงเลี้ยง โรงทาน 3 แจ่งเวียง ศิลปะวัฒนธรรมของขอมมาใช้ในการปกครอง ได้แต่งตั้งตำแหน่งขึ้นในเมืองพลนี้
ท้าวพหุสงห์ให้ขุนพระพิษณุวังไชย ทำการบูรณะวัดหลวง ให้หุ้มทองคำพระเจ้าแสนหลวงทั้งองค์ โดยนำช่างหลวงมาจากเมืองเชียงแสนไชยบุรีและเวียงพางคำ ได้ขยายกำแพงวัดออกไปด้านละ 2 วา 2 ศอก ถมดินก่อดินเผาให้สูงกว่างเดิมกันน้ำขุนยมท่วมทะลัก แล้วจัดงานสมโภช 5 วัน 5 คืน ตั้งโรงเลี้ยง โรงทาน 4 แจ่งเวียง และต่อมาให้สร้างวัดขึ้นทางทิศเหนืออีกแห่งหนึ่งมีนามว่า วัดหัวข่วงสิงห์ชัย หรือวัดหัวข่วงในปัจจุบันนี้
พ.ศ. 1613 พญาผาวงศ์อินทร์ครองเมืองพล ขอมยกกองทัพเข้ารุกรานอาณาจักรโยนกเชียงแสนและเมืองพล เจ้าเมืองพลต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็งแต่สูงทัพใหญ่ของขอมไม่ได้ จึงเสียเมือง ขอมเข้าทำลายเมืองพลเผาวัดหลวงลอกเอาทองที่หุ้มองค์พระเจ้าแสนหลวงไป วัดหลวงจึงกลายเป็นวัดร้างเพราะผู้คนอพยพหนีจากเมือง ในยุคนี้ขอมเปลี่ยนชื่อเมืองพลเป็นเมืองโกศัย ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีผ้าแพรเนื้อดี
พ.ศ. 1719 พม่ายกกองทัพเข้ารุกรานอาณาจักรโยนกเชียงแสนตลอดถึงเมืองแพล (ขอมหมดอำนาจพม่าเข้ายึดครองเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองแพล) พญาพีระไชยวงศ์เจ้าเมืองแพลสู้ป้องกันอยู่สามวันจึงยอมอ่อนน้อมพม่าให้มังก๋าระปกครองเมืองแพลสร้างกำลังทหาร มังก๋าระปกครองโดยธรรม ให้บูรณะวัดวาอารามและสร้างเสาหงส์ขึ้นเป็นพุทธบูชา และเป็นสัญลักษณ์ของกรุงหงสาวดี เจ้าเมืองทั้งสองและชาวเมืองแพลได้ร่วมกันสร้างพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำขึ้นที่วัดหลวง เพื่อบรรจุพระธาตุที่นำมาจากกรุงหงสาวดี พร้อมกับสร้างพระวิหารหลังใหม่และหุ้มทองคำพระเจ้าแสนหลวงพระประธานเมืองทั้งองค์ แล้วขนานนามวัดว่า วัดหลวงไชยวงศ์ จัดงานฉลองสมโภช 5 วัน 5 คืน
พ.ศ. 1879 เมืองแพลตกเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยสมเด็จพระธรรมราชาลิไทเสด็จมาสร้างและบูรณะศาสนสถานต่างๆ ในลานนาไทยในเมืองพลทรงนำช่างหลวงสร้างพระธาตุช่อแฮและบูรณะวัดต่างๆ ให้นักบวชทั้งหลายได้อาศัยปฏิบัติธรรม มีวัดหลวงไชยวงศ์ วัดพระบาทแสงฟ้าวัดพระนอนจุฑามาศ โดยเฉพาะวัดหลวงไชยวงศ์ทรงบูรณะพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำแล้วโปรดพระราชทานนามวัดว่าวัดหลวงสมเด็จ
พ.ศ. 2053 พระสร้อยสุริยะเจ้าเมืองแพร่ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ออกบวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดหลวงสมเด็จ ได้นำชาวเมืองบูรณะวัดหลวงสมเด็จ เปลี่ยนช่อฟ้าใบระกาหลังคาพระวิหารสร้างหอพระธรรมและหอกลอง จัดงานฉลองสมโภช 5 วัน 5 คืน พระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่เสด็จมาร่วมนมัสการครั้งนี้ด้วย
พ.ศ. 2101 พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่า ยกกองทัพเข้าตีเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย พม่าเข้าตีเมืองแพร่และทำลายวัดวาอาราม วัดหลวงสมเด็จถูกพม่าเผาลอกเอาทองหุ้มพระประธานเมืองไป
พ.ศ. 2325 พระเจ้าตากสินมหาราชรวมกับพญาจำบ้าน พญากาวีละ เจ้าเมืองลำพูน เจ้าเมืองแพร่ ทำการปราบปรามทัพพม่าที่ยึดครองอาณาจักรลานนาไทยไปหมดสิ้น เมืองแพร่จึงขึ้นต่อกรุงธนบุรี วัดกลวงเสมเด็จจึงได้รับการบูรณะในสมัยพญามังชัย (พระยาศรีสุริยะวงศ์์) เจ้าผู้ครองเมืองแพร่
พ.ศ. 2369 เจ้าเทพวงศ์หรือจ้าหลวงลิ้นทอง โอรสของเจ้าฟ้าชายสามแห่งนครเชียงตุง ซึ่งเจ้ากาวีละไปรับตัวมาไว้ที่นครลำปาง ภายหลังได้ส่งมาปกครองเมืองแพร่ ได้ทำการอุปสมบทราชบุตร คือ เจ้าอินต๊ะวิชัย (ต่อมาได้เป็นเจ้าหลวงเมืองแพร่) จำพรรษา ณ วัดหลวงสมเด็จ เจ้าหลวงเทพวงศ์และชาวเมืองได้ทำการบูรณะพระวิหาร และลงรักปิดทอง พระเจ้าแสนหลวง อันเป็นพระประธานเมือง โดยนำช่างหลวงมาจากเมืองหลวงพระบาง วัดหลวงสมเด็จจึงเป็นอารามที่มีศิลปะงดงามในยุคนั้น
พ.ศ. 2415 เจ้าพิมพิสารหรือเจ้าหลวงขาเค เจ้าแมืองแพร่ ได้ทำการบูรณะวัดหลวงสมเด็จ บูรณะเสร็จให้จัดงานฉลองสมโภช 3 วัน 3 คืน
วัดหลวง ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ จากเจ้าผู้ครองนครแพร่ ติดต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงปี พ.ศ. 2510 - 2520 วัดหลวงตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมเพราะเจ้าอาวาสชราภาพและอาพาธ หลังจากสิ้นเจ้าอาวาสแล้ว วัดหลวงไม่มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลถึง 3 ปี ในปี พ.ศ. 2521 พระอธิการธนัติ วิจิตโต (พระครูวิจิตธรรมาภรณ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวง (เจ้าอาวาสวัดพระธาตุถิ่นแถนหลวงรูปปัจจุบัน) ได้เชิญชวนศรัทธาญาติโยมทั้งภาคราชการและเอกชนดำเนินการฟื้นฟูบูรณะวัดหลวงให้กลับคืนสู่สภาพที่ดีขึ้นอีกครั้งหนึ่งเช่น มีการสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์เมืองแพร่ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น โบราณวัตถุที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มพระพุทธรูปจารึกลายลือไทยอายุ 500 ปี ศิลาจารึกเจ้าผู้ครองนคร คัมภีร์ศาสนา วรรณคดี กฏหมาย สมุนไพรโบราณ ตลอดถึงเครื่องมือและการโหลดมนุษย์สมัยหิน
นอกจากนี้ยังมีหอวัฒนธรมเมืองแพร่ ซึ่งภายในอาคารจะเป็นที่รวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุหลายอย่าง เช่น หีบสมบัติโบราณ โลงไม้แกะสลัก สิ่งที่น่าสนใจของวัดหลวงอีกอย่างหนึ่งที่วัดอื่นไม่มีคือ ซุ้มประตูโขง มีลักษณะคล้ายซุ้มเจดีย์ แต่เดิมเป็นทางเข้าออกของวัด ปัจจุบันก่ออิฐถือปูนปิดทางเข้าออกแล้ว
นับตั้งแต่สร้างวัดหลวง จนถึง พ.ศ. 2556 วัดหลวงมีเจ้าอาวาสปกครองทั้งหมด 11 รูป
ศิลาจารึกวัดหลวง
จุลศักราช 35 ตัว ปีเล้า เดือนแปดเป็ง เม็งวันสอง ปฐมะมหาศรัทธาทั้งหลายทั้งสองคณะสองคณา ภายในหมายมีมหาสาธุครูหลวงเจ้าเทพวังโสเป็นเก๊า และสาธุเจ้ากาวีละ และตุ๊หลวงอุปละ และธรรมชัย และตุ๊หลวงนันไจย และตุ๊หลวงอุปนันต๊ะรองเจ้าครูบาปินตา และตุ๊พระในวัดหลวงสมเด็จทุกต๋นทุกองค์ คณะภายนอกหมายมี องค์สมเด็จมหาราชหลวงเป็นเก๊าพร้อมด้วยราชเทวีชื่อแก้วไหลมา และองค์เป็นเจ้ารามบุตรเป็นเก๊าพร้อมภริยาและเจ้าชัยราชาและภริยาลูกเต๊าทุกคน และเจ้าพญา.... พร้อมกับภริยาแม่เจ้าแก้ววัณณา และแม่เจ้าจอมแก้วเป็นเก๊าพร้อมลูกเต๊าทุกคน เจ้าเสาร์และแสนเตปสมศักดิ์เป็นช่างตัดไม้ พร้อมกับครูบาเจ้าและรสธรรม ไว้ก้ำจูพระวรพุทธศาสนาจนจ่ายตานเสี้ยง 399 แถบแล
เมฆ เป็นชื่อเรียกกำแพงเดินที่ล้อมตัวเวียงแพร่ กำแพงเมืองบรรพบุรุษ สร้างขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึกและกันน้ำยาล้นท่วม กำแพงเมืองมีลักษณะเป็นวงรีจากเหนือถึงใต้ มีรัศมีกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบันมีถนนรอบเวียงเป็นเส้นวงกลม กำแพงเมืองเป็นเนินดินสูงประมาณ 6 เมตร กว้างประมาณ 7 เมตร แต่เดิมมีกำแพงอิฐอยู่ชั้นบนกำแพงเมืองมีประตูเมืองอยู่ 4 ทิศ
หรือน้ำคือ เป็นชื่อเรียกคูเมืองที่ล้อมรอบนอกกำแพงเมืองเกิดจากการขุดดินขึ้นถมเป็นเนินกำแพงเมือง คูมีไว้สำหรับระบายน้ำ
สะดือเมือง เป็นชื่อเรียกหลักเมือง แต่เดิมไม่ทราบว่าสร้างไว้ ณ บริเวณใด ตามประวัติการสร้างวัดหลวงกล่าวว่าอยู่ห่างหลักเมืองราว 9 เส้น ปัจจุบันทางการได้ถือเอาจุดกลางเวียงบริเวณด้านใต้โรงเรียนนารีรัตน์เป็นที่ตั้ง โดยถือเอาแผ่นหินจารึก กว่างถึงการสร้างวัดร้างแห่งหนึ่งเป็นหลักเมือง
ข้อมูลเพิ่มเติม:โทร. 054-521710
แก้ไขล่าสุด 0000-00-00 00:00:00 ผู้ชม 12651
การเดินทาง
แผนที่
ที่เที่ยว/ที่พัก
กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ
ซุ้มประตูโขงวัดหลวง เดินทางมายังวัดหลวงกลางเมืองแพร่ ผมเลือกใช้เส้นทางจากคุ้มเจ้าหลวง มุ่งหน้าไปทางวงเวียน ถนนเจริญเมือง เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนตรงมาอีกเจอแยกที่ 2 เลี้ยวซ้าย ตรงนี้เป็นถนนศรีชุม ตรงมาไม่ถึง 200 เมตร ก็เป็นสี่แยกหน้าวัดหลวง สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าประตูวัดก็คือซุ้มประตุโขงโบราณที่คงเหลือเป็นเหมือนซากอิฐ เพราะวัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ อันดับต้นๆ ของเมืองแพร่เลยทีเดียว ก่อนที่จะเข้าไปชมประตูโขงใกล้ๆ เอารถเข้าจอดในวัดให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า
วิหารหลวงพลนคร สิ่งสำคัญหรือที่เรียกกันว่า ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน ของวัดหลวง มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เดี๋ยวจะพาชมไปทีละอย่างๆ ก็เริ่มจากวิหารหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูทางเข้าด้านหน้าวัด วิหารหลังนี้มองจากด้านหน้าจะเห็นความสวยงามของซุ้มประตูที่มีอยู่ช่องเดียวตรงกลาง แล้วอีกอย่างก็คือหน้าบันมีพระพุทธรูปยืนอยู่ด้านบน วิหารหลวงพลนคร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญคู่วัดหลวง ซึ่งถ้ามาวัดนี้ไม่เข้าไปสักการะก็คงจะไม่ใช่ที่ วิหารหลังนี้จะเปิดให้เข้านมัสการพระเจ้าแสนหลวงในเวลา 09.00-11.30 น. และ 13.00-16.00 น.
พระเจ้าแสนหลวง ประดิษฐานภายใน วิหารหลวงพลนคร เป็นพระพุทธรูปสำคัญของเมืองแพร่ ตามประวัติกล่าวว่าเป็นพระประธานเมือง กาลเวลาที่ผ่านไปถึง 1,300 ปีเศษ ทำให้พระพุทธรูปมีการบูรณะหลายต่อหลายครั้ง ในระหว่างการทำสงครามทั้งขอม และพม่า ก็เคยมาเผาลอกเอาทองหุ้มองค์พระไป แลัวก็มีการหุ้มทองคำใหม่ทั้งองค์ อย่างน้อย 2 ครั้ง จนถึงปัจจุบัน
โบสถ์วัดหลวง เป็นโบสถ์ที่มีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับวิหารที่อยู่ติดกัน โบสถ์ของวัดหลวงมีการสร้างขึ้นและทรุดโทรมไป ประวัติไม่ได้กล่าวว่ามีการสร้างโบสถ์ทั้งหมดกี่หลัง แต่หลังล่าสุด สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415 โดยเจ้าหลวงพิมพิสาร ครูบาเจ้าเทพวังโสและเจ้านายตระกูลต่างๆ เป็นที่ทำสังฆกรรมบรรพชาอุปสมบท เจ้านายเชื้อพระวงศ์มาทุกยุคทุกสมัย
พ.ศ. 2040 เจ้าพระเมืองแก้ว กษัตริย์เชียงใหม่ มาเป็นเจ้าศรัทธาบวชเจ้าเมืองแพร่สร้อยสุริยะ
พ.ศ. 2360 เจ้าหลวงเทพวงศ์ลิ้นทอง (ราชวงศ์มังราย แห่งนครเชียงตุง) เป็นเจ้าศรัทธาบวชเจ้าอินต๊ะวิชัย ผู้เป็นราชบุตร
พระประธานในอุโบสถ ผมไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลยืนยันเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานในโบสถ์ จากข้อมูลประวัติของวัดหลวงที่ได้ศึกษามา ค่อนข้างมั่นใจว่าพระพุทธรูปองค์นี้คือพระเจ้าแสนทองที่สร้างโดยเจ้าเมืองแพร่จันทรา ในปีพ.ศ. 2057
ซุ้มประตูโขง โบราณสถานแห่งหนึ่งภายในวัดหลวงที่มีอายุเก่าแก่ และชำรุดไปตามกาลเวลา ภายในเสิรมโครงสร้างเพื่อให้มีความแข็งแรงอยู่ได้นานขึ้น
พระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ หลังจากไหว้พระในโบสถ์และวิหารแล้ว เดินไปซุ้มประตูโขงหน้าวัดแล้ว คราวนี้เดินไปด้านหลังพระวิหาร ไหว้พระธาตุกันครับ พระธาตุหลวงไชยช้างค้ำเป็นพระเจดีย์ศิลปะเชียงแสน ประดิษฐานพระธาตุที่นำมาจากเมืองหงสาวดี
หอพระเจ้าพันตน อาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเหนือ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง หอพระเจ้าพันตนอยู่ทางด้านหลังของพระอุโบสถ
พิพิธภัณฑ์วัดหลวง เป็นสถานที่รวบรวมโบราณวัตถุสำคัญๆ ของเมืองแพร่เอาไว้ มากถึง 1,000 ชิ้น เพื่อช่วยฟื้นฟูเกียรติประวัติของเมืองแพร่แก่เยาวชน โดยอาศัยอาคารพิพิธภัณฑ์วัดหลวงเป็นที่จัดแสดง โดยใช้ชื่อว่า "พิพิธภัณฑ์เมืองแพร่" เปิดให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เข้าชมทุกวัน ไม่มีวันหยุด และไม่เก็บค่าเข้าชม ก่อนจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต้องติดต่อเจ้าอาวาส (ในวันที่ผมเดินทางไปเจ้าอาวาสติดกิจนิมนต์ก็เลยไม่ได้เข้าไปชมภายใน)
ด้านข้างของอาคารพิพิธภัณฑ์วัดหลวง มีคุ้มพระลอ สร้างขึ้นในวโรกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จนำนักเรียนนายร้อย จปร. มาทัศนศึกษา และทรงประทับเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2537 ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงวิถีชีวิตคนล้านนา
กุฏิแสงส่องหล้า เป็นกุฏิที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เมื่อ ปี พ.ศ. 2548
หอไตร อยู่ด้านหลังของอุโบสถ
ซุ้มประตูด้านหลัง ปิดท้ายการนำเที่ยววัดหลวงไว้เพียงเท่านี้ครับ ประวัติความเป็นมาที่ยาวนานควรค่าแก่การรักษา รวมทั้งศึกษาหาความรู้ ในฐานะชาวไทยร่วมสืบทอดวัฒนธรรม ศาสนสถานที่สำคัญแห่งนี้ไปอีกนานๆ