ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0 4524 3770, 0 4525 0714
http://www.tourismthailand.org/ubonratchathani
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
แก่งตะนะฝั่งซ้าย พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะครอบคลุม 2 ฝั่งแม่น้ำมูล อยู่บริเวณใต้เขื่อนปากมูล มีลักษณะเป็นแก่งหิน ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือมีดอนขนาดใหญ่กลางแม่น้ำแบ่งแม่น้ำมูลออกเป็น 2 สาย ไปช่วงหนึ่งแล้วไหลมาบรรจบกันอีกครั้งตรงบริเวณแก่งหินแห่งนี้ เมื่อพื้นที่มี 2 ฝั่ง จึงมีการเรียกฝั่งซ้ายและฝั่งขวา อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะฝั่งซ้ายอยู่ใกล้กับตัวอำเภอโขงเจียม เดิมทีมีหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ บ้านพัก ห้องน้ำให้บริการ แต่ระยะหลังคงจะมีนักท่องเที่ยวน้อยจนต้องปิดตัวลงไป เหลือฝั่งขวาซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ที่ผมเดินทางเข้ามาทางฝั่งซ้ายก่อนก็เพราะว่าผมมาเที่ยวโขงเจียม ดูแม่น้ำสองสี พระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามที่ผาชะนะได น้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกสร้อยสวรรค์ เรียกว่าเกือบทั้งหมดของโขงเจียม พอจะเข้าอุบลราชธานี ก็ผ่านมาเจอทางแยกเช้าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะพอดี แต่เป็นฝั่งซ้าย
สะพานแขวนแก่งตะนะ ในด้านทรัพยากรธรรมชาติอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบกับอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ที่มีทั้งผาทั้งน้ำตก เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ส่วนแก่งตะนะนั้นจะมีดีที่วิวสวยของแก่ง บรรยากาศเงียบสงบ เป็นที่ทำมาหากินของชาวบ้านเพราะที่นี่ปลาชุมมากแก่งหินที่มีโพรงถ้ำใต้น้ำมากมายเป็นที่อาศัยที่ดีของปลาจำนวนมากมาย ดอนตะนะที่อยู่กลางน้ำจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ มีสะพานแขวนทอดยาวจาก 2 ฝั่งแม่น้ำไปที่ดอน บนสะพานแขวนนับเป็นจุดชมวิวแก่งตะนะที่ดีที่สุด แต่ต้องไปขึ้นสะพานจากฝั่งขวา เดี๋ยวจะพาไปชมกันครับ
ที่มาของคำว่าแก่งตะนะ สงสัยกันมั้ยครับว่าคำว่าตะนะมันมาจากที่ไหน แม่น้ำมูลเป็นสายน้ำยาวมีความสำคัญของภาคอีสาน มีต้นกำเนิดในเขตเทือกเขาจังหวัดนครราชสีมา ไหลผ่านภาคอีสานตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ก่อนไหลลงแม่น้ำโขง ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีความยาวทั้งสิ้น 726 กิโลเมตร นอกจากจะใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคแล้ว ยังสำคัญกับวิถีชีวิตชาวบ้านลุ่มน้ำมูล เป็นแหล่งศูนย์รวมชาวบ้าน ทั้งการประมง การเกษตร หรือแม้แต่การใช้ปลูกไม้ริมฝั่งมูลเพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีวิตชาวบ้านทั้งไม้เสียว ไม้หูลิงที่สามารถมาใช้ทำฟืน ชาวบ้านใช้ประโยขน์ในการเกษตรอย่างง่ายๆ ทั้งการแช่ปอ ทำเกลือสินเธาว์ หาปลา แม่น้ำมูลเปรียบเสมือนสายโลหิตที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตน้อยใหญ่จำนวนมากเป็นเหมือนแอ่งเก็บน้ำตามธรรมชาติที่ไม่เคยเหือดแห้ง ที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำ ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
แก่งตะนะ มาจากคำว่า เตเนี๊ยะ ซึ่งเป็นภาษาโบราณแปลว่า แหล่งที่จับปลาอันเกิดตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหลุมโพรงคล้ายถ้ำใต้น้ำขนาดเล็กและใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิด ในสมัยขอมโบราณราวพทธศตวรรษที่ 12-14 สมัยยุคเจ้าชายจิตรเสน ได้นำทหารมาขนก้อนหินในบริเวณดงหินกองไปสร้างปราสาทหิน ได้อาศัยแก่งเตเนี๊ยะเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ จนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์กองทัพไทยได้มาตั้งทัพอยู่บริเวณอุทยานดงหินกองและได้ใช้แก่งเตเนี๊ยะเป็นแหล่งเสบียงแก่เหล่าทหารไทยที่เคยปกครองแขวงจำปาศักดิ์ จากนั้นจึงแผลงคำว่า แก่งเตเนี๊ยะ เป็น แก่งตะนะ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ถ้ำเหวสินธุ์ชัย ปากทางแยกเข้าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะฝั่งซ้าย ประมาณ 200 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดถ้ำเหวสินธุ์ชัย เป็นวัดเล็กๆ ที่ประกอบด้วยวิหารมณฑปพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมายหลายองค์ จุดเด่นของวัดแห่งนี้ยังมีน้ำตกถ้ำเหวสินธุ์ขัย บริเวณถ้ำได้จัดสร้างระเบียงและห้องภายในถ้ำ เป็นสถานที่เงียบสงบสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม วัดถ้ำเหวสินธุ์ชัย เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมไหว้พระและทำบุญ แต่ควรอยู่ในความสงบสำรวมอย่าส่งเสียงรบกวนในสถานที่นี้ ชมภาพวัดถ้ำเหวสินธุ์ชัยเพิ่มเติม
เขื่อนปากมูล เส้นทางจากแก่งตะนะฝั่งซ้ายจะย้ายข้ามไปอยู่ฝั่งขวามี 2 ทางด้วยกัน คือข้ามสะพานที่บริเวณปากแม่น้ำมูลที่ตัวอำเภอโขงเจียม และอีกทางหนึ่งคือข้ามสันเขื่อนปากมูล ผมเลือกทางที่ 2 ที่จะข้ามไปยังที่ทำการ และติดต่อค้างคืนที่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ สำหรับเขื่อนปากมูลเองผมก็ขอแยกภาพทั้งหมดไปไว้อีกหน้า สำหรับการเดินทางในหัวข้อเรื่องแก่งตะนะเอามาให้ชมกันภาพนี้ภาพเดียวพอเป็นพิธี และประกอบการเดินทาง จากโขงเจียมเดินทางมายังเขื่อนแห่งนี้ผ่านเส้นทางขรุขระไปหน่อย แต่ก็พอขับผ่านมาได้เรื่อยๆ เป็นอีกรสชาดหนึ่งของการเดินทางครับ
จากเขื่อนปากมูลตรงมาเรื่อยๆ อีกไม่นานนัก ตอนนี้ผมก็มาอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะแล้วครับ บริเวณตรงนี้จะมีทางแยก ถ้าตรงไปจะเข้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จุดชมวิวแก่งตะนะ ร้านค้าสวัสดิการ และลานกางเต็นท์ริมแก่งตะนะ ส่วนแยกไปทางซ้ายจะเข้าพื้นที่ที่เป็นบ้านพักของอุทยาน สะพานแขวน แล้วก็ค่ายพักแรม ซึ่งเป็นที่สำหรับเข้าค่ายของเหล่าลูกเสือ-เนตรนารี แน่นอนว่าผมเลือกไปทางซ้ายก่อนเพื่อชมบริเวณบ้านพัก สะพานแขวน และ ดอนตะนะ ก่อนที่จะย้อนออกมาเพื่อไปลานกางเต็นท์
สะพานแขวนฝั่งขวา ในขณะที่เรายืนอยู่ที่แก่งตะนะฝั่งซ้าย เราจะมองเห็นวิวมุมกว้างและสะพานแขวนทั้ง 2 ฝั่งเชื่อมต่อไปยังดอนตะนะ พอเรามาอยู่ที่ฝั่งขวาเราจะสามารถเดินข้ามสะพานแขวนไปยังดอนตะนะได้ ริมแม่น้ำมูลเป็นที่ตั้งของบ้านพักหลายหลังด้วยกัน มีอยู่หลังหนึ่งที่อยู่ตรงเชิงสะพานแขวนพอดี บรรยากาศดีมาก ลงมาเดินเล่นกลางสะพานได้สะดวก ระเบียงบ้านพักนั่งชมพระอาทิตย์ตกได้ หรือจะเดินไปชมที่กลางสะพานแขวนก็ได้ บ้านพักหลังนี้คือบ้านแก่งตะนะ 103 ครับ ถ้าจะจองก็เลือกหลังนี้น่าจะดีที่สุด
ชมวิวแก่งตะนะ เมื่อได้มายืนอยู่ตรงกลางสะพานแขวนฝั่งขวาของลำน้ำมูลเราจะได้เห็นแก่งตะนะทั้งด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตก ผมมาถึงที่นี่ 4 โมงเย็น ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาว่าพระอาทิตย์จะตกจะได้เก็บภาพ กลางสะพานแห่งนี้เสียดายที่ไม่ได้ทำมุมไปทางทิศตะวันออกตรงๆ เราจึงไม่สามารถใช้เป็นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะก็คือผาผึ้ง ซึ่งต้องใช้รถกระบะเข้าไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร แต่ถ้าจะเดินในลักษณะเส้นทางศึกษาธรรมชาติคงไม่เหมาะที่จะเดินเข้าไปเองตามลำพังก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ผมมาที่นี่คนเดียวก็เลยอดได้ภาพสวยๆ ยามเข้าไป มาถึงเรื่องสะพานแขวนข้ามไปยังดอนตะนะทั้ง 2 ฟากของแม่น้ำยังคงใข้การได้ดีมีไม้บางชิ้นที่ผุและหักลงไปเว้นช่องว่างของพื้นสะพานให้มองเห็นเบื้องล่างท้าทายความกล้า เดินๆ อยู่ก็ต้องมองที่พื้นเพื่อไม่ให้ตกลงไปในช่องว่าง ทำให้เห็นความสูงของสะพานแขวนแห่งนี้พอเสียวๆ แต่เดินต่อไปได้ ถึงอีกฝั่งหนึ่งของสะพานที่ดอนตะนะ จะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าไม้ขนาดเล็กบนดอนที่มีต้นไม้มากมายร่มรื่น
วิวพระอาทิตย์ตกเหนือแก่งตะนะ เวลาที่เฝ้ารอคอยในที่สุดเวลาที่พระอาทิตย์จะตกก็มาถึง แต่โชคไม่เข้าข้างผมเอาซะเลย เมฆฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะมีในวันนี้ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และบดบังดวงอาทิตย์ทั้งดวง
แหล่งอาหารของคนแก่งตะนะ สิ่งที่เราจะได้เห็นที่อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ก็คือคนหาปลา เดินทางมาเพียงลำพังบนเรือหางยาวพร้อมกับอุปกรณ์ในการจับปลาชนิดต่างๆ โดยมากจะอาศัยการวางตาข่ายไปตามความยาวของลำน้ำมูล เมื่อได้เวลาก็จะมาตรวจดูตาข่ายว่ามีปลามาติดหรือไม่ เรือ 2-3 ลำ ขับกลับไปกลับมาตลอดสายน้ำ เพื่อดูตาข่ายที่วางไว้ประมาณคนละ 3 ชุด นี่เป็นวิถีชีวิตของคนแถวนี้ที่ได้อาศัยแก่งเตเนี๊ยะในการดำรงชีวิตโดยอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
แท่งปูนสี่เหลี่ยมปริศนา แท่งปูนขนาดใหญ่ที่อยู่กลางน้ำบริเวณแก่งตะนะ ใครผ่านมาเห็นเป็นอันฉงนแท่งนี้ก็คือหลักบอกแนวร่องน้ำที่สร้างขึ้นในสมัยฝรั่งเศสล่าอาณานิคม บริเวณนี้เรื่อยไปถึงอาณาเขตของฝั่งลาวเคยตกอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศสมาก่อน ในฤดูน้ำมากการเดินเรือผ่านแก่งตะนะคงเป็นไปด้วยความลำบากเพราะเรืออาจจะเสียหายจากการชนหินจำนวนมากมายกลางสายน้ำแห่งนี้เอาได้ง่าย การสร้างหลักสำหรับบอกร่องน้ำ หรือเครื่องเตือนขึ้นมาจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนี่ก็คือหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่หลงเหลืออยู่ เอาไว้ให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีต
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ มาถึงตอนท้ายของการเที่ยวแก่งตะนะของผมแล้วละครับ เนื่องจากวันที่ผมมาที่นี่เป็นต้นเดือนพฤศจิกายน ผมคิดว่าน้ำตกต่างๆ ในประเทศไทยจะยังคงมีปริมาณน้ำมากและสามารถถ่ายรูปได้อย่างสวยงาม แต่ในปี 2555 ฤดูฝนสั้น ฝนหายไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นพื้นที่ภาคอีสานกลายเป็นฤดูแล้งและประสบภัยแล้งหลายพื้นที่ ผมจึงไม่ได้เดินชมน้ำตกตาดโตนและน้ำตกรากไทร ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ เหมือนอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งที่น่าสนใจในอุทยานแห่งนี้ยังมีอีกมาก ลานชมพระอาทิตย์ขึ้นและเห็นฝั่งลาวอย่างลานผาผึ้ง ก็คงจะต้องมากันหลายคนจะได้เดินอย่างสบายใจในตอนก่อนรุ่งสาง น้ำตกต่างๆ ก็น่าจะเป็นฤดูฝน ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านศิลาจารึกจำลอง (ของจริงย้ายไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์แล้ว) ที่สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 ถ้ำพระหรือถ้ำภูหมาในก็น่าสนใจ เอาไว้คราวหน้าคงจะได้มีภาพมาให้ชมกัน
ฝนดาวตก เป็นภาพที่ผมเริ่มจะทดลองใช้กล้องในการถ่ายภาพแนวนี้เป็นภาพที่ 2 แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการถ่ายรูปหมู่ดาวแต่ก็อยากจะเอามาให้ชมกันเพราะที่โขงเจียม ไม่ว่าจะเป็นลานกางเต็นท์ผาชะนะได ผาแต้ม และที่แก่งตะนะ เราจะมองเห็นดวงดาวจำนวนมาก เหมาะสำหรับการนอนชมฝนดาวตกได้ดีทีเดียว ภาพนี้เกิดจากการเปิดความเร็วชัตเตอร์ไว้นานมาก ที่ประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นรอกล้องประมวลผลอีก 30 นาที สรุปว่าคืนนี้ถ่ายรูปนี้เสร็จผมก็เข้านอน โดยปล่อยให้กล้องประมวลผลไปให้เสร็จ เช้าตื่นขึ้นมาดูปรากฏว่าได้ภาพแบบนี้ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับประสบการณ์เพียง 2 รูป ไว้โอาสหน้าผมคงได้พาเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะให้ทั่วถึงกว่านี้ วันนี้คงเอาไว้เท่านี้ก่อน ฤดูที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวมากที่สุดก็คือฤดูหนาว ถ้ายังไม่มีโปรแกรมไปที่ไหน ลองเลือกมาพักผ่อนนอนฟังเสียงน้ำไหลผ่านแก่งหิน ชมหมู่ดาวพร่างพราวนภาเหมือนผมสิครับ...
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ