ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.พังงา 076 481 900-2
เฟสบุ๊ค TAT Pangnga
http://www.tourismthailand.org/pangnga
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
การเดินทางขึ้นภูตาจอ เราเดินทางมาด้วยเครื่องบินลงภูเก็ตเที่ยวในเมืองพังงาและทะเลพังงาอยู่ 2 วัน จากนั้นก็ต่อรถจากบขส.พังงาลงที่หน้าอำเภอกะปง เป็นจุดนัดหมายระหว่างเรากับลุงรูญ รถใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าๆ พอเรามาถึงหน้าอำเภอมองไปข้างหน้าเห็นถนนมีทางแยกมีป้ายบอกว่าทะเลหมอกภูตาจอเลี้ยวขวา ก็เป็นอันว่าอย่างน้อยเราก็มาไม่ผิดที่ อีกประมาณ 15 นาที ลุงรูญก็มาถึงจุดที่เรายืนอยู่เรารู้ได้ไงว่าเป็นแก ก็ที่หน้ารถติดสติ๊กเกอร์ว่าทะเลหมอกภูตาจอซะขนาดนั้น แถมวันนี้เป็นวันพุธต้นฤดูฝนคงไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมาภูตาจอแน่ๆ ลุงรูญเห็นคนยืนสะพายเป้ใหญ่ๆ 3 คน ก็คงรู้ว่าเราคือคนที่นัดให้แกมารับเหมือนกัน แกมาจอดเทียบเราทักทายกันนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าไม่ผิดตัวก็โยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ท้ายรถแล้วไปนั่งหน้ารถ
การเดินทางขึ้นภูตาจอ รถถลุงรูญพาเราเลี้ยวขวาไปตามป้ายพร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องเส้นทางการเดินทางไปยังภูตาจอ แกบอกตรงไปก็ได้ถนนไปบรรจบกันข้างหน้า แต่เลี้ยวขวาใกล้กว่า ระหว่างที่แกขับไปเล่าไปเราก็ถ่ายรูปวิวข้างทางพร้อมกับจุดสำคัญๆ ต่างๆ อต่างทางแยกบ่านทุ่งใหญ่ต้องเลี้ยวซ้าย ไปเจอสามแยกต้องเลี้ยวขวา สังเกตุว่าในรูปจะมีป้ายบอกทางไปภูตาจอสีน้ำเงินแต่เล็กๆ อยู่ด้วย สามแยกนี้ลุงรูญบอกว่าถ้าเราตรงมาจากหน้าอำเภอ ก็คือมาบรรจบกันตรงนี้ เส้นทางจากอำเภอกะปงไปบ้านปากเหลเป็นทางลาดยางขับสบายมากมีหลุมบ้างเล็กน้อยแต่ไม่เยอะเหมือนถนนเหมืองหลวงบางช่วง สองข้างทางเริ่มเห็นวิวสวยๆ สลับกับสวนปาล์มและสวนยาง ท้องฟ้าวันนี้มีแต่เมฆขาวโพลนเป็นสัญญาณว่าโอกาสได้ภาพสวยๆ มีน้อยมาก แต่นั่นก็ไม่ทำให้เราหมดหวัง หากฝนเทลงมาหนักๆ ฟ้าอาจจะแจ่มใสได้ภาพสวยก็ได้ใครจะไปรู้
การเดินทางขึ้นภูตาจอ แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าลูกไหนคือภูตาจอแต่เราก็หวังว่าจะขึ้นไปบนยอดได้ภาพทะเลหมอกเหมือนกับที่เราเห็นหมอกลอยล่องอยู่รอบๆ ยอดเข้าจากตรงนี้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ รถก็วิ่งไปเรื่อยๆ เส้นทางขึ้นเขาใกล้เข้ามาทุกขณะตอนนี้คิดอยู่ในใจว่าทำไมเราไม่นัดกันใกล้ๆ ตีนเขาให้ลุงมารับตั้งไกล 20 กว่ากิโล อ้อนึกขึ้นได้เรามารถเมล์จะหารถต่อไปหมู่บ้านใกล้ๆ เขาคงลำบากว่าให้ลุงขับออกมารับ รถขึ้นเขาลงเขาไม่รวมค่าอาหารบนภูตาจอ 3000 บาท แต่ถ้านัดมารับหน้าอำเภอกะปง ลุงขอเพิ่มเป็น 3500 บาท อะก็ไม่แพง แต่ถ้าใครคิดว่าแพงต้องดูเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เส้นทางนั้นโหดจนบางคนให้เงินลุงเพิ่มเป็น 4000 เมื่อทางลาดยางสุดลงต่อจากนี้ก็จะเป็นทางลูกรัง แต่บางช่วงก็ยังคงมีลาดยางให้บ้าง ลุงรูญจอดรถข้างทางลงจากรถไปเก็บเอาท่อนไม้ที่มีคนตัดเอาไว้ น่าจะเป็นต้นยางแก่ที่ไม่มีน้ำยางเจ้าของสวนตัดทิ้งปลูกรุ่นใหม่ แกโยนไม้ขึ้นหลังรถ 2 ท่อน แล้วมานั่งตรงคนขับบอกว่าจะเอาไปทำฟืน แล้วอยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักพักใหญ่ น้อง 2 คนที่ร่วมทางมาลงไปจากรถเพื่อเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้หน้ารถ ดีที่รถลุงรูญเป็นกระบะแคป เลยนั่งกันได้สบายพร้อมที่วางกระเป๋าส่วนกระเป๋าเราเป็นถุงกันน้ำขนาด 30 L ที่ซื้อมาใหม่จากงานเที่ยวเมืองไทยก่อนเดินทางไม่กี่วัน ซื้อ 1 แถม 1 ซะด้วยเลยปล่อยให้มันอยุ่ท้ายรถต่อไป
จากนั้นรถก็พาเราขึ้นเขาไปตามทางลูกรังอย่างช้าๆ ดูไม่ค่อยจะลำบากเท่าไหร่ก็ไปได้เรื่อยๆ ลุงรูญอธิบายว่าทางจากนี้ไปหน่วยพิทักษ์ป่าภูตาจอประมาณ 6 กิโลไม่ลำบากอะไรมาก แต่ต่อจากนั้น 7 กิโล ทางจะยากมาก พอรถวิ่งมาอีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้นทางก็เปลี่ยนเป็นลูกรังแบบวิบาก เป็นเนินดินที่กระแสน้ำเซาะเป็นร่องลึก บางช่วงมีดินถล่มไหลลงมา อุปสรรคต่างๆ นานา เรื่อมจะมีให้เห็นกันมากขึ้น ลุงรูญจอดรถเป็นช่วงๆ สับเกียร์โฟร์วีลโลว์บ้างไฮบ้าง เพิ่มรู้ว่ารถขับเคลื่อน 4 ล้อที่ไม่อัตโนมัติต้องจอดรถก่อนถึงจะเปลี่ยนเกียร์โฟร์วีลได้ แป๊บเดียวเราก็ชินพอแกจอดรถเมื่อไหร่แสดงว่ากำลังเปลี่ยนเกียร์ ใช้เวลาไม่นานมากเราก็เห็นป้ายด่านนเก็บค่าธรรมเนียม และที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าภูตาจอ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต ที่นี่มีบ้านพักเจ้าหน้าที่สร้างไว้อย่างดีกับอีกหลังใช้เป็นห้องทำงานแต่ก็มีห้องว่าไม่ได้ใช้อะไร 1 ห้อง พี่ดำหรือที่เรียกกันว่าหัวหน้าดำ เป็นหัวหน้าดูแลหน่วยที่นี่เดินมาต้อนรับ หลังจากคุยกันได้สักพักเราทั้งหมดก็มีความเห็นตรงกันว่า วันนี้ต้องนอนที่หน่วยฯ แทนที่จะขึ้นไปกางเต็นท์นอนบนยอดภูตาจอเพราะฝนฟ้าอากาศไม่ดีเอาเสียเลย ฝนตกๆ หยุดๆ ตลอดเวลา เหมือนกับที่เค้าพูดกันว่า ฝน 8 แดด 4 คือตก 8 ครั้งในแต่ละวัน เรื่องฝนคงไม่ลำบากเท่าไหร่ถ้าไม่ติดตรงที่ลมแรงพัดกระหน่ำตลอดเวลา พี่ดำบอกว่าลานกางเต็นท์บนภูตาจอเป็นลานโล่งๆ ถ้าลมแรงขนาดนี้จะกางเต็นท์กันไม่ได้ เราเลยเอาสัมภาระลงจากรถเข้าไปเก็บไว้ในบ้านพัก แล้วนั่งพักกันก่อนจะออกเดินทาง
มุ่งหน้าสู่น้ำตกโตนหมาก เมื่อขึ้นบนยอดเขาไม่ได้ก็ใช้เวลาที่มีอยู่ไปเก็บอะไรๆ ระหว่างทางกันหน่อย ที่ภูตาจอไม่ได้มีเพียงแต่ขึ้นไปเที่ยวถ่ายรูปวิวบนยอดเขา ยังมีดอกบัวผุด หรือน้ำตกโตนหมาก มีน้ำตกอีกแห่งที่ไม่พูดถึงดีกว่าเพราะเดินเท้า 2 วัน พอพักกันหายเหนื่อยเราขึ้นรถประจำที่ออกเดินทางไปยังบัวผุด พี่ดำพาเจ้าหน้าที่ขึ้นหลังรถไปด้วย น้ำตกโตนหมากอยู่ห่างจากหน่วยประมาณ กิโลกว่าๆ ทางราบเรียบไม่ถึงกับวิบากมาก มีกิ่งไม้หักห้อยลงมาตามทางเจ้าหน้าที่ก็ลงไปจัดการให้ ในช่วงหน้าฝนคนแทบจะไม่มาเที่ยว การที่พวกเรามาก็ทำให้เจ้าหน้าที่และลุงรูญได้สำรวจความพร้อมของเส้นทางไปด้วยในตัว พอใกล้ถึงน้ำตกจะเห็นมีป้ายบอกจุดชมบัวผุดอยู่เป็นระยะๆ เราก็อยากจะลงไปดูแต่ลุงรูญบอกว่าจุดนี้ยังไม่บานต้องไปอีกจุดหนึ่ง ป้ายบอกจุดชมบัวผุดทำให้เราเห็นเลยว่าภูตาจอได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากกลุ่มอนุรักษ์ของลุงรูญและเจ้าหน้าที่ ป้ายพวกนี้ทำด้วยไม้อย่างดีแกะตัวหนังสือลึกทางสีสวยๆ ทนทาน เห็นหลายๆ อุทยานแทบไม่มีป้าย พอจะมีก็ป้ายเล็กๆ อ่านแทบไม่เห็น บางที่ก็มีป้ายผุๆ จะพังมิพังแหล่ อยากให้มีดูงานที่นี่จัง
บัวผุดภูตาจอ ลุงรูญจอดรถตรงป้ายดูบัวผุดอันที่ 2 บอกว่าถึงแล้วพร้อมกับเดินนำทางไปตรงที่มีบัวผุดบาน แสดงให้เห็นว่าแกขึ้นมาดูบัวผุดบ่อยมากจนรู้ว่าดอกไหนบานไม่บาน ใครมากับแกอยากดูบัวผุดถ้ามันมีบานช่วงนั้นเป็นอันได้ดูแน่ๆ
บัวผุด เราเดินลงมาจนถึงดอกบัวผุดมองเห็นได้แต่ไกลเพราะดอกใหญ่มากแล้วก็ถ่ายๆๆๆ เพราะเราเพิ่งเคยเห็นบัวผุดใหญ่ขนาดนี้ เคยเห็นดอกเล็กๆ ที่แก่งกระจาน มาเสิร์ซอากู๋ดูเห็นบอกว่ามีดอกไม้ที่ใกล้เคียงกับบัวผุดอีกหลายชนิด ได้แก่กระโถนฤๅษี กระโถนพระราม กระโถนนางสีดา พืชที่กล่าวมามีลักษณะคล้ายกันมากๆ แต่ขึ้นอยู่บนความสูงต่างกัน จำนวนกลีบต่างกัน เป็นพืชตระกูลเดียวกัน แต่คนในพื้นที่เรียกว่าบัวผุดกันหมด ดอกมันเหมือนชามอ่างใบเล็กพอฝนตกก็มีน้ำขังด้านใน เกสรเหมือนดอกบัวลอยอยู่ในอ่างเป็นพืชที่สวยจริงๆ บัวผุดมีเถายาวใหญ่เหมือนเถาวัลย์แต่มีหัวอยู่ใต้ดินพอถึงเวลาก็จะผุดขึ้นมาเป็นดอกสีดำแล้วก็บาน ช่วงบานเต็มที่มีเวลาประมาณ 1 สัปดาห์แล้วก็จะเหี่ยว ที่นี่มีเถาบัวผุดอยู่หลายเถาบัวผุดจะไม่ผุดขึ้นที่เดิมแต่จะอยู่ไม่ห่างจากจุดเดิมมาก ผลัดกันบานผลัดกันเหี่ยวใครมาได้ภาพตอนบานสวยพอดีแบบนี้ก็เรียกว่าโชคดีมาก ด้วยความที่มีความเป็นไปได้ว่าบัวผุดคือดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (ต้องไปค้นข้อมูลกันต่อดูนะครับ) ก็ไม่รู้ว่าจะเทียบยังไงถึงจะเห็นความใหญ่ ต้องขออภัยที่เอาเท้าตัวเองเทียบ
บัวผุด ภูตาจอ เจ้าหน้าที่เห็นเราถ่ายรูปอยู่เพลินๆ เลยเตือนว่าที่นี่มีทากด้วยนะ อ้าว แล้วทำไมเพิ่งมาบอกยืนถ่ายกันอยู่ซะนานเลย ซวยละสิ ไม่เห็นมีใครเขียนรีวิวเลยว่า ภูตาจอมีทาก เลยไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันทากมาด้วย พอถามเจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า บนยอดภูตาจอที่คนไปเที่ยวกันมันไม่มาทากแต่ข้างล่างในป่าแบบนี้มี คนส่วนใหญ่มากันหน้าหนาวแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเดินเที่ยวชมบัวผุดกับน้ำตกเลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามีทากบนภูตาจอ เออ โชคดีจริงที่เรามาสำรวจแบบละเอียดเลยรู้มากกว่าคนอื่น จะดีใจดีมั้ยเนี่ย T^T
พอรู้ว่ามีทากอารมณ์ก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เราเดินเร็วขึ้นดูเท้าตัวเองตลอดเวลา รีบกลับไปที่รถเพื่อไปกันต่อดีกว่า สถานที่ต่อไปลุงรูญภูมิใจเสนอ น้ำตกโตนหมากอยู่ห่างจากจุดชมบัวผุดไม่มากพอจอดรถเราจะก้าวลงจากรถปกติก็ชอบมองที่พื้นที่เราจะเหยียบลงไปอยู่แล้ว ยิ่งรุ้ว่ามีทากยิ่งต้องระวังให้มากขึ้น ฮั่นแน่ มีน้องทากรออยู่จริงๆ ด้วย เมื่อเราเห็นมันก่อนก็แค่ก้าวข้ามหัวมันไปอย่าให้มันเกาะเราก็ยังต้องทำงานของเราต่อไป เราเดินตามลุงรูญไปส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินตามลงมาน้ำตกอยู่ห่างจากถนนประมาณ 500 เมตร ทางช่วงแรกเป็นดินไม่ชันมากเดินสบายๆ แต่ลื่นเป็นบางจุดเพราะฝนตกตลอดหลายวันแล้ว ช่วงท้ายๆ เป็นหินชักจะเริ่มชัน หินก็ลื่น ตอนแรกคิดว่ามาเที่ยวภูตาจอรถขึ้นถึงเลยไม่ได้เตรียมอะไรมากมายไม่รู้ว่ามีเดินป่าแบบนี้ด้วย
น้ำตกโตนหมาก พอเดินมาถึงน้ำตกเรื่องทากและความลำบากก็หายไป ทุกคนกระจายหามุมถ่ายรูปกันตามนิสัยช่างภาพการถ่ายรูปน้ำตกทุกคนก็รู้ดีว่าต้องยืนอยู่กับที่นานๆ เป็นช่วงเวลานาทีทองของน้องทากเลย แต่ปรากฏว่าริมธารน้ำกลับไม่มีทาก เออแปลกดี น้ำตกโตนหมากเป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น เท่าที่มองเห็นจะมี 2 ชั้นใหญ่ๆ แอ่งน้ำมีพอเล่นได้แต่สำหรับพวกเราคงไม่มีคนลงเล่นนอกจากถ่ายรูปอย่างเดียว ท้ายน้ำตกเจ้าหน้าที่บอกเดินไปก็จะมีอีกชั้นแต่ไม่ได้ทำเส้นทางเดินไว้ให้ คิดว่าที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะสวยที่สุดแล้ว น้ำตกที่นี่มีน้ำตลอดปีหน้าแล้งก็ยังคงมีน้ำไหลเที่ยวได้ตลอด หลังจากเก็บภาพกันจนพอใจแล้ว เราก็กลับมาที่รถ ขนาดว่าเดินดูทากทุกฝีก้าวสุดท้ายก็ยังมีทากเกาะรองเท้ามาถึงรถจนได้ดีว่าเราเห็นก่อนก็เลยหยิบโยนออกหน้าต่างไป ลุงรูญก็โดนเกาะมาเหมือนกันแกบอกว่าคันยุกยิกๆ ที่เท้าพอมองไปเป็นตัวกระดืบ แกเรียกทากว่าตัวกระดืบแกก็หยิบไปโยนทิ้งเหมือนกัน แกเล่าว่าภูตาจอจะมีทากตัวใหญ่ๆ อยู่เยอะ แกเรียกว่าอีแดงข้างลาย เพราะตัวทากที่ใหญ่ๆ มันสีแดงๆ ข้างตัวมันลายๆ ใหญ่กว่าทากที่อื่นหลายๆ ที่ที่เคยไปมา
น้ำตกโตนหมาก
อุโมงค์ไม้ไผ่ ภูตาจอ ต่อจากน้ำตก แกบอกว่าจะพาไปดูถ้ำไม่ไผ่ ด้วยสำเนียงชาวใต้ ผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นถ้ำที่มีไผ่อยู่ปากถ้ำเป็นแน่ พอแกอธิบายต่อไปว่าเป็นถนนมีไม้ไผ่ขึ้นอยู่ 2 ข้างแล้วโน้มเข้าหากัน เราก็ถึงบางอ้อเพราะเราเรียกว่าอุโมงค์ไม้ไผ่เหมือนกับอุโมงค์ต้นไม้แต่แกเรียกถ้ำ แกบรรยายว่าเวลารถวิ่งลอดไปแล้วมีช่างภาพคอยถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าเป็นภาพที่สวยมาก แกเล่าด้วยแววตาเป็นประกายพอรถถึงอุโมงค์ไม้ไผ่เราก็ลงจากรถเพื่อไปตั้งจุดถ่ายรูปตามที่แกบอกพอได้ภาพแกก็เดินมาหาพร้อมกับเห็ดโคนดอกใหญ่ๆ แล้วยังบ่นว่าเจอเห็ดดอกเดียวไม่พอทำกินน่าจะเจออีก 2-3 ดอก แล้วก็บอกให้เราเดินไปเก็บภาพห้วยที่อยู่ไม่ไกลจากอุโมงค์ไม้ไผ่ทุกคนก็เดินไปถ่ายรูปห้วยกับน้ำตกเล็กๆ ที่เกิดจากฝาย ลุงรูญก็เดินหาเห็ด เก็บภาพกันเสร็จเราก็เดินทางกลับหน่วย ระหว่างทางลุงรูญก็ได้เห็ดสมใจอยาก
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ