ข้อมูลเพิ่มเติม:โทรศัพท์ 0 818814729
reserve@dnp.go.th
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
เดินทางจากเชียงใหม่ตามเส้นทางสู่แม่วาง ตามป้ายอุทยานแห่งชาติแม่วางมาเรื่อยๆ เราก็มาถึงด่านเก็บค่าเข้าชม จ่ายค่าเข้าชมแล้วเข้ามาแวะห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และที่ทำการอุทยานฯ เราจะเห็นป้ายเกี่ยวกับการเกิดผาช่อ เป็นความรู้ด้านธรณีวิทยาล้วนๆ แต่น่าสนใจมากที่ผาช่อใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ตั้ง 5 ล้านปี
จากที่ทำการ เราขับเขามาอีก กิโลกว่าๆ ผ่านถนนลูกรัง แต่ก็มีรถเข้ามาเที่ยวทั้งรถตู้ รถเก๋ง รถกระบะ ระหว่างทางเราจะเห็นหน้าผาริมถนน มีลายน้ำเซาะ สวยตามแบบของผาดินธรรมชาติ เรียกว่าผาน้ำเซาะ
พอมาถึงตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาช่อ มีลานจอดรถ 2 ลาน จอดด้านบนใกล้ๆ ทางเดินลงผาช่อ หรือจะจอดด้านล่างมีทางเดินเข้ามาเหมือนกัน ไม่ต้องลงบันไดด้วย แต่คนยังไม่ค่อยรู้ จะว่าไปมาเริ่มตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้มาชมวิวบนเขาด้วย
บันไดไปผาช่อ เส้นทางเดินไปผาช่อ จากลานจอดรถระยะทางประมาณ 400 เมตร ไปกลับอยู่ที่ราวๆ 900 เมตร มี 2 เส้นทาง ไปและกลับคนละทาง ขาไปถ้าใช้เส้นทางที่อุทยานจัดไว้ให้ เริ่มต้นด้วยการลงบันไดยาวๆ แบบนี้เกือบ 100 เมตร ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งเริ่มจากลานจอดรถด้านล่างซึ่งเราจะต้องไปจอดตรงนั้นถ้าลานจอดรถด้านบนมันเต็ม จากลานจอดล่างเดินไปผ่าช่อไม่ต้องผ่านบันไดนี้ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและเข่าไม่ดี
ก่อนจะเริ่มเดินจะมีเจ้าหน้าที่คอยชี้แจงระเบียบปฏิบัติให้เราก่อน ได้แก่ ห้ามออกนอกเส้นทาง ห้ามก่อกองไฟ ห้ามล่าสัตว์ เขตปลอดอาวุธ เขตปลอดแอลกอฮอล์ ส่วนอีกข้อหนึ่งที่เสริมขึ้นมาคือ พยายามอย่าสัมผัสผาดินหรือหินตามทางเดิน เพราะการเกิดผาช่อ และดินบริเวณนี้ เป็นการรวมตัวกันของตะกอนที่ทับถมแบบหลวมๆ ตามธรรมชาติ ถ้าไปจับหินหรือดินตรงนั้นหรือลวดลายของดินจะหายไปหรือหล่นร่วงลงมาได้ง่าย
ข้อควรระวังก็คือ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่มีการเดินขึ้น-ลงบันได และแดดค่อนข้างร้อน คนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจ หรือความดัน ต้องใช้วิจารณญาณที่จะเดินหรือไม่เดิน
เมื่อตัดสินใจลงบันไดมาแล้ว ก็ต้องเดินต่อไป ลงบันไดปุ๊บเดินมาอีกหน่อยจะเจอป้ายชี้ทางไปผาช่อ 300 เมตร แสดงว่าบันไดยาวเกือบ 100 เมตร ทางที่เราจะเดินไปเป็นเหมือนลำห้วยที่แห้งแล้ว มีทางแตกแขนงแยกย่อยออกไปตามลักษณะของทางน้ำธรรมชาติ ต้องไปตามป้ายเท่านั้นอย่าออกนอกเส้นทาง
ผาตะกอน เป็นคำเรียกที่เหมาะที่สุดที่เราเห็นตามทางเดินซึ่งเป็นห้วยลำน้ำเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางช่วงเป็นห้วยแคบๆ 2 ข้างของเราจะเป็นผาสูงพอสมควรผนังของหน้าผาเหมือนกับการสร้างกำแพงบ้านด้วยการเอาหินมาฝังไว้กับปูนซีเมนต์ แต่ที่เห็นนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากหลักฐานของการศึกษาด้านธรณีวิทยา ยังบอกด้วยว่าเมื่อก่อนที่บริเวณนี้เป็นทางไหลของสายแม่น้ำปิง เหลือเชื่อจริงๆ ถ้าเราไปจับหินหรือลองโยกหินมันก็จะหลุด ดินที่อยู่รอบหินก็จะค่อยๆ หลุดร่วงออกมา มันก็จะไม่สวย เพราะฉะนั้นต้องเที่ยวอย่างมีสำนึก อย่าไปจับผาพวกนี้นะครับ
นอกเหนือจากตะกอนที่พัดพาเอาหินและดินกรวดทรายดินเหนียวมาทับกันไว้แบบนี้แล้ว ความชื้นของพื้นที่ภูเขา ทำให้มีมอสเกิดขึ้นตามผาด้วย บางทีถ้ามาหลังฝนใหม่ๆ จะสวยกว่านี้ด้วยสีเขียวขจีแลดูสดชื่น
เดินตามลำห้วย พอเดินมาเรื่อยๆ เส้นทางก็จะเริ่มแคบลงในบางช่วง ตรงนี้กว้างประมาณ 30 ซม. 2 ข้างเป็นผนังดินตะกอนที่ฝังด้วยหินกลมๆ เต็มไปหมด หินบางก้อนมีลวดลายสีสันสวยมาก แต่อยากขอให้อย่าเก็บกลับบ้านนะครับเดี๋ยวมันหมด
ม่อนลองแฮง ระยะทาง 100 เมตรสุดท้ายตามเส้นทางเดินเที่ยวผาช่อ จะมีบันไดยาวๆ สูงขึ้นไป สูงมากเลย ถ้าขึ้นเส้นทางนี้เราจะได้เห็นผาช่อจากมุมสูง ถ้าเดินไม่ไหวจะมีเส้นทางอีกทางอยู่ด้านขวามือของบันได ใช้เป็นเส้นทางในการเดินออก เป็นลำห้วยที่แคบมาก ถ้าจะเดินเข้าไปก็ต้องหาวิธีหลบคนที่เดินสวนออกมาด้วย แนะนำให้เฉพาะผู้ที่เดินขึ้นบันไดไม่ไหวจริงๆ ส่วนใหญ่คนไม่ค่อยรู้กันก็จะเดินขึ้นบันไดไป พอขากลับผ่านทางที่ไม่มีบันได ถึงได้รู้แล้วบอกต่อๆ กันครับ
ถึงแล้วผาช่อของเรา พอเดินพ้นบันไดของม่อนลองแฮง เท่านั้นแหละ เราก็มายืนอยู่บนเขามองลงไปเห็นผ่าช่ออยู่ด้านล่าง แต่ดูแล้วมุมไม่สวย เดินลงบันไดมาหน่อยประมาณกลางบันได มุมของภาพก็จะดีขึ้น มีคนมาถึงก่อนหน้าเราเยอะเลย มีรถจอดเกือบเต็มลานจอดรถ มีคนมาเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่ง ก็เป็นอันว่าผาช่อ โด่งดังกว่าที่จินตนาการไว้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะมีคนไทยรู้จักมากขึ้นแล้วก็มาเที่ยวกันเยอะขึ้น การทำงานของเราคือเก็บภาพมีคนด้วย และอยากได้ภาพไม่มีคนด้วย ก็ต้องอาศัยการรอจังหวะ แดดร้อนๆ หน้าผาช่อทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากจะยืนนานๆ ก็เข้าทางเราเลย
เสาโรมัน เป็นเสาดินสูงตระหง่านไม่แพ้ผาช่อ อยู่คนละด้านของบันไดทางลงไปผาช่อ เชื่อกันว่าเสาโรมันตอนแรกมีลักษณะเหมือนกับผาช่อ แต่พอนานเข้า กำแพงดินที่ติดกับเสาโรมันทนการกัดกร่อนของธรรมชาติไม่ได้ ก็ยุบสลายตัวลงจนเหลือแต่เสา
พอคนชุดแรกกลับกันหมดเราก็ได้ภาพผาช่อแบบว่างๆ กันซะที ถ้าสังเกตุดีๆ เราจะเห็นผึ้งหลวงมาทำรังกัน 4 รังแล้ว อยู่สูงเกือบสุดผาช่อ พอเปิดเป็นอุทยานฯ มีเจ้าหน้าที่ดูแล ผึ้งเหล่านี้ก็ปลอดภัย
ทางเดินกลับจากผาช่อ หลังจากเก็บภาพกันจนจุใจแล้ว เราก็ได้เวลาเดินกลับ เส้นทางเดินกลับไม่ต้องย้อนออกทางเก่า อย่างที่บอกไว้แต่แรก เส้นทางนี้ไม่ผ่านบันได เดินตามร่องน้ำที่แห้งแล้วไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เรียกกันว่า ฮ่อมกองกีด ร่องน้ำที่เราจะเดินผ่าจะแคบเอามากๆ บางช่วงกว้างแค่ 15 ซ.ม.
เสาคู่ ทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมาจากผาช่อ เจ้าหน้าที่บอกว่า ภาพเสาคู่ที่อยู่ตรงทางออกก็น่าจะถ่ายรูปด้วย ความจริงมีเสา 3 ต้นเรียงกันอยู่ตรงนี้ แต่ในบางมุมเราจะเห็นเสาแค่ 2 ต้น เลยเรียกว่าเสาคู่
ช่วงแคบที่สุดของเส้นทางการเดินกลับจากผาช่อ เดินทะลุร่องน้ำนี้ออกไปเราจะไปบรรจบกับห้วยกว้างๆ ที่เราเดินเข้ามา เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นบันไดเดินกลับขึ้นไปที่ลานจอดรถด้านบน บันไดยาว 100 เมตร ถึงเราจะแข็งแรงดีอยู่ก็ไม่อยากเดินอยู่ดี เดินผ่านบันไดตรงไปเรื่อยๆ จะไปทะลุออกลานจอดรถด้านล่าง สรุปว่าถ้ามาแล้วจอดรถลานด้านล่างเลยดีกว่าไม่ผ่านบันได ^^ อันนี้ลับเฉพาะคนรู้ใจนะครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ