www.touronthai.com

หน้าหลัก >> สมุทรสาคร >> วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม)

วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม)

 วัดสุทธิวาตวราราม หรือ วัดช่องลม ตั้งอยู่ตรงปากอ่าวสมุทรสาคร ตำบลท่าฉลอม ตรงข้ามกับตัวเมือง เดินทางโดยทางหลวงหมายเลข 35 เลี้ยวซ้ายบริเวณกิโลเมตรที่ 35 เข้าถนนสุทธิวาตวิถีประมาณ 3 กิโลเมตร วัดช่องลมเป็นพระอารามหลวงได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนั้นประกอบด้วย

พระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินท่าฉลอม และทรงตั้งเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทย

หลวงพ่อหินแดง 11 นิ้ว พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะแบบอยุธยาตอนปลาย ทำด้วยศิลาแดงทั้งองค์ มีลักษณะพิเศษคือพระหัตถ์ข้างซ้ายมี 6 นิ้วจึงเรียกว่า พระ 11 นิ้ว

หลวงปู่แก้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดช่องลมเมื่อท่านมรณภาพไปแล้วผู้ศรัทธาทั้งหลายได้นำสังขารของท่านไว้ในโลงทองอย่างสวยงามพร้อมทั้งหล่อรูปเหมือนของท่านในท่านั่งสมาธิ ประดิษฐานไว้ภายในวิหาร

ชมชีวิตนกนางแอ่น จำนวนนับพันมาอาศัยทำรังตามผนังโบสถ์ด้านหลัง จนปรากฎลวดลายจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม

 นอกจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามได้บริเวณท่าน้ำหน้าวัด ทั้งยังมีร้านอาหารไว้คอยบริการและเนื่องจากวัดนี้ ตั้งอยู่ปากอ่าว จึงมี เรือประมงมารอให้บริการเช่าออกไปลอยอังคารด้วย

ประวัติวัดช่องลม วัดช่องลม พระอารามหลวงแห่งนี้ นับเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีอายุยั่งยืนมาเกือบ 200 ปี และนับว่าจะอยู่ยั่งยืนต่อไปอย่างไม่มีวันเสื่อมสลาย เป็นวัดที่พำนักของพระราชสาครมุนี เจ้าคณะจังหวัด สมุทรสาคร และเจ้าอาวาสวัดช่องลม
  ชื่อวัด ในสมัยโน้นชาวบ้านพากัน เรียกว่า "วัดท้ายบ้าน" เห็นจะเป็นวัดอยู่สุดหมู่บ้านจึงเรียกเช่นนั้น เพื่อความเหมาะสมในเวลาต่อมาจึงพากันเรียก "วัดช่องลม" จนชาวบ้านเริ่มลืมวัดท้ายบ้านแทบหมดแล้ว ถ้าใครไปเรียกเข้าคงมีคนรู้จักน้อยเต็มที

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกวัดช่องลมเป็นพระอารามหลวง เมื่อวันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2508 และถัดจากนั้นเป็นเวลาอีก 5 เดือนเต็ม ก็ได้ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าชาย พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงทุกพระองค์ มาทรงบำเพ็ญพระ-ราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดช่องลมเมื่อวันที่26 ตุลาคม 2508 นั้นนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตาบารมีล้นกล้า ฯ ของเหล่าพศกนิกรอย่างถ้วนหน้า

  ชัยภูมิที่ตั้งของวัดช่องลม ซึ่งด้านหน้าวัดหันสู่ทิศใต้ตรงกับปากน้ำท่าจีนพอดีมองเห็นทัศนียภาพปากอ่าวที่งดงามยิ่งนักส่วนทางเบื้องหลังวัดก็ช่างมีความประหลาดมากเหมือนธรรมชาติช่วยสรรสร้างอย่างจำเพาะเจาะจงให้หันหลังสู่แม่น้ำท่าจีนอีกด้วย แผ่นดินสำคัญตอนที่เป็นชัยภูมิสำคัญที่ตั้งวัดช่องลมจึงอยู่ตรงตอนที่แคบคอด หากที่ดินตอนนี้มิได้เป็นที่ตั้งวัด และขาดการถมเสริมเติมต่อไว้เสมอ ๆ ก็น่าจะขาดออกเปลี่ยนทางเดินของกระแสน้ำเปลี่ยนปากน้ำท่าจีนใหม่ ตำบลท่าฉลอมก็จะกลายเป็นเกาะหลุดออกจากแผ่นดินใหญ่ไปแน่ทีเดียว เมื่อแผ่นดินที่ตั้งวัดมีความสำคัญมากเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาไปให้ถึงบรรพบุรุษคนแรกที่ได้มาเห็นชัยภูมิเหมาะและเจาะจงสร้างเป็นวัดขึ้นและผู้ที่จะบอกเล่าได้อย่างละเอียดก็เห็นจะไม่มีใครอื่น ท่านผู้นั้นก็คือ พระราชสาครมุนีนั่นเอง

  คุณปู่และคุณย่าอ่วม แช่เล้า ได้บริจาคที่ดินสร้างวัดช่องลม ที่แปลงนี้ตามสันนิฐานแล้ว น่าจะกว้างขวางมากประมาณ 60 ไร่ เมื่อก่อนนี้ตามคำบอกเล่าว่า โรงเรียนเปี่ยมวิทยาคม (สกุลจินดาสร้าง) ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า นอกจากนั้นแล้ว หน้าโรงเรียนยังมีสนามฟุตบอลอีกหนึ่งสนาม โรงเรียนหลังนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งแรก ต่อมาได้ย้ายไปตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหลังใหม่ เพราะตลิ่งพังรุกเข้ามา แม้ว่าจะยกไปอยู่ที่ที่ใหม่นี้แล้วก็ยังไม่พ้นอันตราย เพราะภัยธรรมชาติรบกวนรุนแรงเช่นเคย จึงย้ายมาตั้งอยู่ข้างหลังวัดด้านเหนือเท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่ตั้งวัดแปลงเก่าเหลืออยู่ประมาณ 5 ไร่ นอกนั้นพังลงน้ำหมดแล้ว เท่าที่เห็นอยู่เป็นที่ของนายเต๋าบิดาของนายบุญศรี นุตตาลัย และผู้ใหญ่จรูญ จันทร์ภักดี ซึ่งได้ถวายไว้มีเนื้อที่ 22 ไร่ 49 วา และต่อมานายบุญศรี นุตาลัย และผู้ใหญ่จรูญ จันทร์ภักดี ได้ร่วมกันถวายอีกแปลงหนึ่งเนื้อที่ 27 ไร่ แปลงนี้ติดกับแม่น้ำท่าจีนด้านหลังวัดและติดกับทางรถไฟสายแม่กลองเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2496 รวมเป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 47 ไร่ 40 วา รวมทั้งของเก่าที่เหลืออยู่ 5 ไร่ รวมเป็น 52 ไร่ 40 วา

ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8
http://www.tourismthailand.org/samutsongkhram

แก้ไขล่าสุด 0000-00-00 00:00:00 ผู้ชม 79169

การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก

กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ
พระบรมราชานุสาวีย์รัชกาลที่ 5

พระบรมราชานุสาวีย์รัชกาลที่ 5 เริ่มต้นเดินทางเข้ามาที่อ่าวฉลองตามเส้นทางที่หาไม่ยากเพราะมีป้ายบอกทางเข้ามาโดยตลอด ถึงวัดช่องลมมีทางเข้ามาด้านในที่ข้างวัด มาจอดรถที่ริมท่าน้ำของวัดช่องลม มีพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 มีประวัติความเป็นมาดังนี้

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2513 เวลา 10.22 น. ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้มาวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ เพื่อสร้างพระบรมรูป ร. 5 เป็น อนุสรณ์ในสมัยที่พระองค์ท่านเสด็จมาเปิดสุขาภิบาล ณ ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่บริเวณหน้าวัด (หน้ากุฏิวัดสุทธิวาตวราราม) เรื่องราวต่อไปนี้เป็นบันทึกของหลวงปู่แก้ว ...
เรื่องเดิมมีอยู่ว่าเมื่อ ประมาณ พ.ศ. 2510 วันนั้นไม่ทราบว่าที่วัดนี้มีงานอะไรจำไม่ได้แล้ว มีผู้ใหญ่มาที่วัดหลายคน คุณสุรินทร์ เทพกาญจนา นายกเทศมนตรีเมืองสมุทรสาคร ก็มาในงานนี้ด้วย พอเสร็จงานในพระอุโบสถแล้ว ต่างออกจากพระอุโบสถแยกย้ายกันกลับบ้าน ข้าพเจ้าออกล้าหลังตามเขามา พอเจอกับคุณสุรินทร์ เทพกาญจนา ที่ประตูกำแพงพระอุโบสถทางด้านซ้ายพอดี คุณ สุรินทร์ ยกมือไหว้และบอกว่าจะนำพระบรมรูป ร.5 มาประดิษฐานที่วัดนี้ แล้วก็เล่าเหตุผลพร้อมทั้งชี้ประเด็นสำคัญที่ควรจะหล่อพระบรมรูปให้ฟังโดยย่อ
ข้าพเจ้ายืนฟังเพียง 2-3 ประโยคเท่านั้นก็เข้าใจเหตุผลอย่างกระจ่างแจ้งโดยปราศจากกังขาและตัดสินใจในบัดนั้นเลย ตอบว่า "ได้-ได้เลย-เอาเลย-เอาตรงไหนก็เอาไปเถอะ"
พ.ศ. 2513 ต้นปี เรื่องเก่าต้องเล่าใหม่อีกแล้ว มันผลุบหายหน้าไปนานแล้วก็โผล่มาอีกคือคุณสุรินทร์ เทพกาญจนา นายกเทศมนตรีเมืองสมุทรสาคร

ตอนนี้ต้องแถมสร้อยหยอดท้ายอีกหน่อยว่า "ผู้แทน" คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรสาคร ได้มาปรารภอีกครั้งว่า จะวางศิลาฤกษ์ตามวันเวลาที่กล่าวไว้แล้วโดย นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มาวาง ข้าพเจ้านึกว่า "คราวนี้แน่นอนแล้ว" แสดงความยินดีพร้อมทั้งช่วยกัน จัดทำงานนี้เท่าที่ควร จนลุล่วง เรียบร้อย เท่าที่เห็นประจักษ์อยู่นี้ ส่วนผลจักปรากฎเป็นอย่างไรนั้นมันเป็นเรื่องของอนาคต ทั้งชาววัดชาวบ้านควรปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพื่อต้อนรับความดีอันลอยฟ้า มาประดิษฐานอยู่ในพระอารามของชาวท่าฉลอม เป็นเกียรติประวัติอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย
ดูเหมือนมีเสียงแว่วว่า "ที่หน้าวัดเหมาะที่จะสร้างอนุสาวรีย์" และเรื่องก็เงียบมาประมาณ 2 - 3 ปีค่อยๆ จางหายไป บางครั้งนึกว่า คงเบนเข็ม หรือไม่ก็เข็มหักหรือไม่อย่างนั้นก็คงหมดลานนาฬิกา พลอยนอนสบายไป นึกเสียว่าอะไรที่ยังไม่เป็นผลมันก็ไม่แน่อย่างนี้ ฉะนั้น เข้าจึงว่าอย่าเพิ่มนับลูกไก่ในในไข่ที่มันยังไม่ได้ฟักเป็นตัวออกมามันบ่แน่หรอกนาย...เอ๊ะ

สวนหลวง ร.9

สวนหลวง ร.9 ศาลาหลังเล็กๆ ที่เราเห็นอยู่ข้างๆ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 มีหน้าบันเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. นี้เรียกว่าสวนหลวง ร.9 ส่วนฐานที่สร้างเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไป สร้างรูปตัวเลข ๙ เอาไว้ ปลูกต้นไม้หลายชนิด

การตกแต่งบริเวณรอบพระบรมราชานุสาวรีย์

การตกแต่งบริเวณรอบพระบรมราชานุสาวรีย์ เสาโคมไฟรูปเรือสำเภาเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ยังมีการประดับด้วยดอกไม้ประดิษฐ์บางชนิดที่ทำให้สวนแห่งนี้สวยงามมาขึ้น

พระอุโบสถวัดสุทธิวาตวราราม

พระอุโบสถวัดสุทธิวาตวราราม มีความเป็นมาในการสร้างอันยาวนานดังนี้ครับ

วัดสุทธิวาตวรารามหรือวัดช่องลม มีพระอุโบสถหลังแรก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2350 ในขณะที่หลวงพ่อเอี่ยมเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของ วัดช่องลม ได้มีพระมาอาศัยหลายรูปแล้วเสนา-สนะก็พอพักพออาศัยแล้วชาวบ้านเกิดศรัทธาในพระเหล่านั้น ใคร่จะอุปสมบทลูกหลาน ก็เกิดติดขัดเรื่องไม่มีพระอุโบสถเพราะไม่มีอุโบสถจะทำสังฆกรรมเช่นนั้นให้สำเร็จได้ คุณปู่-คุณย่าผู้เป็นเจ้าของที่ ได้เป็นหัวแรงในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้ พร้อมทั้งเที่ยวบอกบุญ และได้ขอแรงขอความร่วมมือจากชาวบ้านใกล้เรือนเคียง ให้ช่วยกันสร้างพระอุโบสถ และพระอุโบสถหลังแรกนี้ปรากฏว่าเป็นรูปโรงเรือน มุงจากฝาขัดแตะ โบกปูนขาว

พระอุโบสถหลังที่ 2 สร้างในสมัยของหลวงพ่อปั้น โดยคุณนายทองคำบุตรีของคุณย่าอ่วม และเป็นคุณป้าของคุณนายทองอยู่ บูรณกิจ และเป็นคุณยายของนางพยุง ลือประเสริฐ อยู่ที่ตำบลท่าฉลอม ได้จัดสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นตัวไม้ขึ้นหลังคามุงกระเบื้อง ดินเผา ฝากระดานและลูกกรงไม้ นับว่าขึ้นสูงกว่าสภาพเก่าอีกชั้นหนึ่ง และจัดผูกพัทธสีมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
และทำการบูรณะอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยหลวงพ่อแก่น โดยเปลี่ยนแปลงระเบียงรอบนอกจากกระเบื้องดินเผาเป็นซีเมนต์ จากลูกกรงไม้เป็นลูกกรงปูน และยกพระประธานให้สูงขึ้น และทำฐานชุกชีใหม่ โดยพระพิมพ์ จนฺทสโร เป็นผู้จัดทำก็อยู่ในสมัยนี้

พระราชสาครมุนีได้กำลังดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ประมาณเงินค่าก่อสร้างไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท พระอุโบสถหลังใหม่ได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2503 และก็ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ ได้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขของเหล่าพศกนิกร ทั้งฝ่ายพุทธ-จักร และฝ่ายอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระเจ้า-อยู่หัว ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถหลังใหม่ ในวันเดียวกันกับที่เสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระกฐิน และใช่แต่เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ พระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. มีมหามงกุฏประดิษฐานไว ้หน้าจั่วพระอุโบสถหลังใหม่ นับว่าเป็นศิริมงคลที่หาค่ามิได้แก่วัดช่องลมและแก่ชาวจังหวัดสมุทรสาครโดยทั่วหน้า

ใบเสมารอบพระอุโบสถ

ใบเสมารอบพระอุโบสถ

พระประธานวัดช่องลม

พระประธานวัดช่องลม พระพุทธรูปที่ประดิษฐานเป็นองค์พระปฏิมาประธานในพระอุโบสถก็ยังมีประวัติที่ไม่ธรรมดาเลย กล่าวคือ ครั้งแรกเริ่มนับตั้งแต่สร้างพระอุโบสถหลังแรกเสร็จแต่ยังขาดพระประธานอยู่ ในเวลาต่อมาได้ยินข่าวเล่าลือกันว่า "วัดช่องสะเดา" ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ได้ร้างไปแล้ว และร้างมาจนเดี๋ยวนี้ เหลือพระประธานอยู่ พระประธานมีลักษณะสวยงามมาก หากได้อาราธนามาเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดช่องลมแล้ว ก็จะเป็นศิริมงคลมาก จึงพร้อมกันไปที่วัดช่องสะเดา เสี่ยงสัจจาธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อปู่ (หินแดง) ด้วยการปั๊วะปวย (ภาษาจีนแปลว่าอย่างไรไม่ทราบ) ตามประสานิยมในสมัยนั้นว่า หากหลวงพ่อปู่จะไปสถิตย์ ณ วัดช่องลมแล้ว ขอให้เซ้งปวยและก็เป็นการสมความปรารถนา เพราะปวยนั้น "เซ้งปวย" ตามที่ได้ทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานไว้ในเบื้องต้น จึงพร้อมกันจัดอัญเชิญท่านลงเรือที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว พร้อมด้วยขบวนแห่ใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก มาสถิตย์ประดิษฐาน ณ วัดช่องลม หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ 6 นิ้ว ส่วนสูงจากพื้นพระสันถัดไปถึงสุดพระเมาลี 5 ศอก อนึ่งผู้ไปอาราธนาพระประธานมากจากวัดช่องสะเดามีหลักฐานที่เชื่อถือได้แน่นอน คือ มารดาของนางพยุง ลือประเสริฐ และมารดาของคุณนายทองอยู่ บูรณกิจ (ผู้เล่า) ตั้งแต่สองท่านนี้ยังรุ่นสาว อายุราว 11 หรือ 12 ปี ได้ไปช่วยพายเรือลากจูงเรือแห่หลวงพ่อปู่มาจากวัดช่องสะเดา

ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดช่องลม

ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดช่องลม พระอุโบสถวัดสุทธิวาตวรารามนั้นมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามและอยู่ระหว่างการบูรณะในวันที่เราเดินทางไปก็ได้เสร็จแล้วบางส่วนจึงได้นำมาให้ชมกัน ส่วนที่กำลังบูรณะอยู่ทางวัดก็ขอเชิญชวนท่านที่มีจิตศรัทธาบริจาคร่วมบูรณะภาพจิตรกรรมเหล่านี้กันครับ ภาพจิตรกรรมฝาผนังจะเขียนเป็นเรื่องๆ ไว้หลายเรื่องรอบผนังภายในพระอุโบสถเหนือจากช่องหน้าต่างและช่องประตูขึ้นไป ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่สวยงามได้แก่ พระสุวรรณสาม พระมหาชนก พระเตมีย์ใบ้ เป็นต้น ภาพฝาผนังเหนือช่องประตูด้านหน้าพระอุโบสถเป็นภาพมารผจญ และพระแม่ธรณีบีบมวยผม

งานบูรณะภาพจิตรกรรม

งานบูรณะภาพจิตรกรรม

บานประตูพระอุโบสถ

บานประตูพระอุโบสถ เป็นภาพของเทพเทวดา บนบานประตูทั้ง 2 ด้าน เรียงสี่ภาพเป็นคำที่เคยได้ยินการเอ่ยถึงเทพเทวดาทั้งหลายเหล่านี้แบบภาษาชาวบ้านว่า อินทร์-พรหม-ยม-ยักษ์ นั่นเอง

พระอุปคุต

พระอุปคุต พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ประดิษฐานบนฐานพระประธานชั้นล่าง พระอุปคุตเป็นพระอรหันต์สาวกที่ทรงมหิทธานุภาพ เมื่อครั้งที่พระเจ้าอโศกมหาราช จัดสมโภชน์พระสถูปเจดีย์ 84,000 องค์ ก็ทรงนิมนต์ท่านมาเป็นประธานเพราะท่านมีบารมีตบะ อิทธิฤทธิ์มาก พญามารและวิญญาณที่มาก่อกวนต้องพ่ายแพ้ไป พระเกจิอาจารย์ท่านผู้รู้ทั้งหลายจึงได้ใช้เคล็ดลับนี้ในทางล้านนา ก่อนจะมีพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ที่สำคัญจึงได้มีพิธีอาราธนาพระอุปคุตมาเป็นประธานเสมอ เพื่อป้องกันอันตรายเสนียดจัญไร อุปสรรค สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงและงานพิธีก็จะสำเร็จลงด้วยดี อีกทั้งยังบันดาลโชคลาภ ป้องกันภยันตรายโดยเฉพาะภัยทางน้ำ และมีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ ปรากฏหลายครั้งว่าผู้ที่มีพระอุปคุตบูชาอยู่กับตัวจะแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรี มหาอุต และโชคลาภ เมตตามหานิยม
นามพระอุปคุต แปลว่า "ผู้คุ้มครองรักษา" เป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ชอบความวิเวกสงบ และอยู่ตามลำพังผู้เดียว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ท่านจึงเข้านิโรธสมาบัติ จำพรรษาในกุฎิเรือนแก้ว กลางสะดือทะเล
มักจะสร้างพระอุปคุตเป็นรูปแตกต่างกันออกไปหลายรูปแบบ เช่น นั่งอยู่ภายในกุ้ง หอย ปู ปลา หรือเป็นพระบัวเข็มอันมีสัญลักษณ์สำคัญคือใช้ศรีษะแหลม เพราะที่ศรีษะคลุมด้วยใบบัวมีลักษณ์แหลมจึงเรียกกันว่า "พระบัวเข็ม" นอกจากนี้แล้วพระอุปคุตยังสำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดีมีคนมาซื้อหาไม่ขาดสาย ทรัพย์สินก็จะไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป
วิธีบูชา ให้หาภาชนะใส่น้ำสะอาดหรือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้เกือบเต็มภาชนะ แล้วนำองค์พระอุปคุตไปตั้งคอยดูแล อย่าให้น้ำแห้งจุดธูปบูชาด้วยคาถาพระมหาอุปคุต ตั้งนะโม 3 จบ
มหาอุปคุตโต จะมหาเถโร นานาบารมี สัมปันโน มหาลาโภ มหาเดโช มหาชัยยะสิทธิ สัพพะสิทธิ ประสิทธิเม (3 จบ)

วิหารพระเทพสาครมุนี

วิหารพระเทพสาครมุนี หรือเรียกว่า วิหารหลวงปู่แก้ว เป็นวิหารที่สร้างได้อย่างสวยงามลักษณะลวดลายแบบเดียวกันกับพระอุโบสถ เป็นที่เก็บสังขารหลวงปู่แก้ว และสร้างรูปเหมือนของท่านให้ประชาชนได้เข้าไปกราบไหว้ สักการะเป็นสิริมงคล นอกจากนี้วิหารหลวงปู่แก้ววัดสุทธิวาตวราราม หรือวัดช่องลมนี้ยังเป็นที่อยู่ของนกนางแอ่นจำนวนมาก

พระสาครมุนี เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน , คณะสงฆ์ , คณะกรรมการวัด และ พ่อค้า ประชาชนที่นับถือหลวงปู่แก้ว ได้ร่วมกันจัดสร้างวิหารเพื่อบรรจุร่างของพระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว) ไว้เพื่อให้เป็นสถานที่กราบไหว้บูชา และระลึกถึงบุญคุณและคำสอนของหลวงปู่แก้ว รวมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 3,500,000 บาท โดยได้ทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ มาเป็นประธานในพิธีเปิดพระวิหารนี้ และได้ประกอบพิธีอัญเชิญศพ พระเทพสาครมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธิวาตวราราม ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ไปประดิษฐาน ณ วิหารพระเทพสาครมุนี ในวันที่ 25 ธันวาคม 2529 อันตรงกับวันคล้ายวันเกิดของพระเทพสาครมุนี

รูปเหมือนและสังขารหลวงปู่แก้ว

รูปเหมือนและสังขารหลวงปู่แก้ว รตนคุณานุสรณ์ ท่านเจ้าคุณ พระเทพสาครมุนี หลวงปู่แก้ว สุวณณโชโต ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดสุทธิวาตวราราม และเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อท่านดำรงชีวิตอยู่ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่วัด แก่คณะสงฆ์ และประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสาคร ตลอดถึงประชาชนจังหวัดอื่นทั่วไปเป็นอันมาก ท่านได้ปฏิบัติดีเองด้วย สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติดีด้วย สมด้วยนามเดิมของท่านว่า "แก้ว" ซึ่งเป็นรัตนะ คือแก้วอันประเสริฐ ท่านจึงมีเกียรติศัพท์ คือเสียงสรรเสริญขจรไปไกลกว้างขวาง เป็นที่เคารพนับถือของพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วไป เป็นที่ทรงรู้จักปสาทการแห่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทั้ง 2 พระองค์ และพระราชโอรสธิดา ได้เคยเสด็จฯ ในโอกาศต่าง ๆ ณ วัดสุทธิวาตวราราม ขอให้ท่านเจ้าคุณ พระเทพสาครมุนี หลวงปู่แก้ว สุวณณโชโต สถิตอยู่คู่วิหารตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2529
แหล่งอ้างอิง : วัดบวรนิเวศวิหาร

นกนางแอ่นในวิหารหลวงปู่แก้ว

นกนางแอ่นในวิหารหลวงปู่แก้ว ความเป็นมาของนกนางแอ่น ที่เข้ามาอาศัยพึ่งใบบุญอยู่ในพระวิหารที่บรรจุศพของพระเทพสาครมุนี(หลวงปู่แก้ว) นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งตามธรรมชาติแล้วคงมีไม่มากนัก ที่นกชนิดนี้จะเข้ามาอยู่อาศัยปะปนอยู่กับมนุษย์ หรือสัตว์อื่น ในสถานที่ที่พลุกพล่านไปด้วยหมู่ชนมากมาย พร้อมด้วยกลิ่นธูป ควันเทียนที่ลอยคละคลุ้งอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่นกนางแอ่นเหล่านี้ สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว ไม่หนีไปไหน กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนแน่นพระวิหารไปหมด แรงจูงใจที่ทำให้นกเหล่านี้อาศัยอยู่ได้ อย่างแรกก็คือความปลอดภัยจากมนุษย์และสัตว์ อีกประการหนึ่งก็คือความเมตตาปราณีที่มีอยู่ในจิตใจของคนที่อยู่ในบริเวณนั้น และพร้อมที่จะปกป้องคุ้มครองนกเหล่านี้ไว้ โดยไม่ให้ใครเข้ามารบกวนหรือทำร้ายมันนั้นเอง โดยเฉพาะนกนางแอ่นเหล่านี้ ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในสมัยที่พระเดชพระคุณพระเทพสาครมุนีหรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า หลวงปู่แก้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธิวาตวราราม และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาครท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่แก้ว ท่านเป็นพระที่มีจิตใจเปรียบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่งเพียบพร้อมไปด้วยสีลาอาจาริยวัตร์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีปฏิปาทาน่าเลื่อมใสศรัทธาต่อผู้ที่ได้พบเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้สร้างคุณงามความดีและคุณประโยชน์ ไว้ในวัดสุทธิวาตวรารามมากมาย จนเป็นที่เคารพรักและศรัทธาของประชาชนทั่วไป โดยไม่ลืมเลือนไปจากจิตใจของเขาเหล่านั้นเลยสิ่งเหล่านี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นกนางแอ่นเหล่านี้ เข้ามาอาศัยพี่งใบบุญและบารมีของหลวงปู่แก้วและที่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น ก็เพราะนกนางแอ่นเหล่านี้ เข้ามาอาศัยอยู่ในพระอุโบสถครั้งแรก ตรงกับวันสำคัญ คือวันคล้ายวันเกิดของท่านพอดี จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่แก้ว ซึ่งตามปกติคณะศิษยานุศิษย์ พ่อค้า ประชาชน และผู้ที่เคารพนับถือในตัวหลวงปู่แก้วได้ร่วมกันจัดงานถวายให้แก่ท่านทุกๆ ปีเริ่มตั้งแต่ที่ท่านได้ย้ายมาอยู่วัดนี้ คือปี พ.ศ.๒๔๙๕ และได้ทำติดต่อกันมาทุกปีพร้อมทั้งจัดตั้งเป็นสมาคมศิษย์ "รัตนมุนี" ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมในของคณะศิษย์ทุกรุ่นที่ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน จึงเป็นที่รู้และเข้าใจกันไประหว่างคณะศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือในตัวท่านว่าเมื่อถึงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ของทุกปี ทุกคนจะมารวมตัวกันที่วัดนี้ เพื่อแสดงมุทิตาสักการะถวายความเคารพ ต่อครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพรัก คนที่อยู่ไกลก็จะมาพักค้างคืนที่วัดก่อนล่วงหน้า เพื่อพบปะสังสรรค์ก่อนถึงวันงาน ในวัดจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างยิ่ง

ตามปกติหลวงปู่ท่านจะเข้าจำวัตร์ เวลา ๒๑.๐๐ น.(สามทุ่มตรง) และออกมารับแขกหน้าห้องเวลา ๐๕.๐๐ น. (ตีห้าตรง) ทุกวัน ตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ ในวันนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อถึงเวลาท่านได้ออกมาจากห้อง ปรากฏว่า คณะศิษยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือ ต่างพากันมารอที่หน้าห้องเต็มไปหมดแล้วทุกคนมีดอกไม้ธูปเทียน พร้อมด้วยเครื่องสักการะต่างๆ ทุกคนเข้าไปถวายและอวยพรเนื่องในวันเกิดของท่าน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคนเมื่อทุกคนที่อวยพรหลวงปู่แก้วแล้ว แต่ละคนก็ออกมาจับกลุ่มคุยกันที่หอฉันบ้าง หน้ากุฏิบ้าง ตามอัธยาศัย

หลวงปู่แก้วใช้เวลาในการต้อนรับแขกที่เข้ามาอวยพรท่านตั้งแต่เวลาตี ๕ ถึงเวลา ๗ โมงเช้า และฉันภัตตาหารที่หน้าห้องนั้น เมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จ ท่านก็ทำธุระส่วนตัวแล้ว เวลา ๘ โมงเช้า ท่านก็ขอตัวลงทำวัตร์ในพระอุโบสถพร้อมด้วยพระภิกษุและสามเณร ตามปกติ ซึ่งเป็นกิจวัตร์ประจำวันที่ท่านต้องปฏิบัติแม้จะเป็นวันเกิดของท่านก็ตามโดยให้แขกที่มาอวยพรรออยู่ที่กุฏิก่อน

ในขณะที่หลวงปู่แก้วเดินก้าวเข้าไปภายในพระโบสถ์ และตรงไปที่พระประธานเพื่อจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยนั้น ปรากฏว่าได้มีนกนางแอ่นจำนวน ๓ ตัวบินตรงเข้าไปด้วย และส่งเสียงร้อง บินโฉบไปโฉบมาเล่นกันเป็นที่สนุกสนานภายในพระอุโบสถนั้น ภิกษุ สามเณร พากันแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อนหลวงปู่แก้วท่านก็มองด้วยความสงสัย เมื่อสวดมนต์เสร็จ หลวงปู่พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร ก็พากันออกจากพระอุโบสถ เพื่อขึ้นมารับแขกที่รออยู่บนกุฏิ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระอุโบสถ พร้อมด้วยพระภิกษุบางรูปซึ่งเข้าใจว่า นกเหล่านี้บินหลงเข้าไปในพระอุโบสถและออกไม่ถูก จึงเปิดประตูหน้าต่างพระอุโบสถเพื่อให้นกเหล่านี้นออกได้สะดวกและส่งเสียงไล่เพื่อให้มันออก แต่ปรากฏว่า นกเหล่านั้นก็บินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมออกจากพระอุโบสถ แต่กลับบินไปเกาะอยู่ที่บัวเพดานชั้นบนไม่ยอมขยับเขยื้นไปไหน เจ้าหน้าที่และพระภิกษุเหล่านั้นจึงเลิกไล่ และคิดว่านกเหล่านี้คงหาทางออกไปได้เองจึงได้พากันขึ้นกุฏิ เพื่อช่วยกันทำงาน เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่แก้ว ซึ่งไม่ได้ไปติดใจกับนกนางแอ่น ๓ ตัวนั้นอีก

เมื่อถึงเวลา ๔ โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาทำวัตร์เย็นพระภิกษุและสามเณรก็พากันข้าไปทำวัตร์ตามปกติเป็นนกนางแอ่นทั้น ๓ ตัวนั้นยังเกาะอยู่ที่บัวเพดานชั้นบนเช่นเดิม แต่เปลี่ยนที่เกาะไปอยู่ที่หลังพระประธาน เมื่อทำวัตร์เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่และพระภิกษุก็ช่วยกันไล่นกเหล่านั้นอีก เพราะเข้าใจว่ามันหาทางออกไปไม่ได้ แต่ไล่อยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนพากันอ่อนใจ นกทั้ง ๓ ตัวนั้นก็ยังไม่ยอมออกไปจากพระอุโบสถ จึงได้ปิดประตูพระโบสถไว้และขังนกนางแอ่นเหล่านั้นไว้ในพระอุโบสถนั่นเอง

วันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่เปิดพระอุโบสถเพื่อทำความสะอาด เวลา ๖โมงเช้าเมื่อเปิดประตูเข้าไปปรากฏว่านกทั้ง ๓ ตัวนั้นก็พากันบินออกจากประตูอุโบสถไปทั้งหมด สร้างความเบาใจให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้นเป็นอย่างมากเพราะคิดว่านกเหล่านึ้นได้หาทางออกไปได้แล้ว เมื่อถึงเวลา ๔ โมงเป็นอันเป็นเวลาพระทำวัตร์เย็นในขณะที่พระกำลังทำวัตร์อยู่นั้น ปรากฏว่านกนางแอ่นเหล่านี้ได้บินกลับเข้าไปในพระอุโบสถอีก แต่เพิ่มขึ้นอีก ๒ ตัวรวมเป็น ๕ ตัวด้วยกัน เมื่อมันเข้าไปในพระอุโบสถแล้วนกเหล่านั้นก็พากันเกาะสิ่งอยู่บนเพดานพระอุโบสถอย่างเงียบสงบ ไม่ส่งเสียงดังเหมือนวันก่อน เมื่อพระทำวัตร์เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ปิดพระอุโบสถ และขังนกเหล่านี้ไว้อีกเพราะคิดว่าถ้าไล่มันออกไปมันก็คงไม่ยอมออกไปอย่างแน่นอน ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดพระอุโบสถมันก็พากันบินออกไปจนหมดเช่นเดิมเมื่อถึงเวลาย็นประมาณ ๔ โมงนกนางแอ่นเหล่านี้ก็บินกลับเข้ามาอีกแต่เพิ่มขึ้นอีก ๓ ตัว รวมเป็น ๘ ตัว และได้เพิ่มขึ้นทุกวัน วันละ ๒ ตัว ๓ ตัว สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ นกนางแอ่นในพระอุโบสถมีประมาณ ๒๐ ตัวและได้เพิ่มขึ้นทุกวันอย่างต่อเนื่อง และเริ่มทำรังรอบๆบัวเพดานชั้นบนพระอุโบสถนกนางแอ่นเหล่านี้เมื่อเปิดพระอุโบสถตอนเช้า มันจะพากันบินออกไปจนหมด และจะบินกลับมาไปเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ก่อนปิดพระอุโบสถทุกวันเหมือนมันจะรู้เวลาเปิดปิดพระอุโบสถ เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันเมื่อนานวันเข้านกนางแอ่นก็เพิ่มมากขึ้นจากจำนวนร้อย เป็นจำนวนพัน และนับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันได้ออกลูกออกหลานเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก จนเพดานพระอุโบสถเต็มไปด้วยนกนางแอ่นและทำรังรอบ ๆ ผนังพระอุโบสถ มองดูดำมืดไปหมด

เมื่อนกมีจำนวนมากขึ้น ปัญหาที่เกิดตามมาก็เกิดมากขึ้น เพราะนกนางแอ่นเหล่านี้ นอกจากมันเข้ามาอาศัยทำรังและออกลูกออกหลานมามากมายแล้ว มันยังก่อความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ผู้ดูและพระอุโบสถอีกด้วย โดยมันได้ถ่ายมูลรดผนังพระอุโบสถบ้าง อาสนะสงฆ์ของพระบ้าง ตลอดจนพื้นพระอุโบสถ เต็มไปด้วยขี้นกนางแอ่นเหล่านั้น ทำความสกปรกให้เกิดขึ้นแก่สถานที่ สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่เข้าหน้าที่ ที่ดูรักษาความสะอาดพระอุโบสถเป็นอย่างมาก ต้องคอยเก็บกวาด เช็ดถู อยู่ตลอดเวลา แม้ขี้นกนางแอ่นจะไม่ค่อยมีกลิ่นมากนัก แต่ก็สร้างมลภาวะที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นแก่สถานที่เป็นอย่างมาก เพราะนกเหล่านี้มันถ่ายไม่เลือกที่ มันบินไปถ่ายไปตามความพอใจของมัน สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่เจ้าหน้าที่ และ พระภิกษุ สามเณรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งมีงานบวช และงานอื่นๆ ที่สำคัญๆ พวกนกเหล่านี้ก็พากันถ่าย รดเสื้อผ้าของชาวบ้านเหล่านั้นอีกด้วย เจ้าหน้าที่ที่รักษาความสะอาดพระอุโบสถ พร้อมด้วยพระภิกษุ สามเณรบางรูป จึงวางแผนที่จะกำจัดนกนางแอ่นเหล่านี้ ออกไปจากพระอุโบสถเสียให้หมด เริ่มแรก ใช้ไม้ยาวๆ ผูกผ้าติดไว้ที่ปลายไม้ แล้วโบกไปมา ไล่ให้นกบินออกไปจากพระอุโบสถ นางนางแอ่นเหล่านึ้นก็พากันบินหนีออกไปทางประตูหน้าต่างหน้าต่างจนหมด เมื่อเราหยุดไล่มันก็พากันบินกลับเข้ามาอย่างเดิมอีก

ขั้นที่ ๒ ให้ประทัด จุดให้เกิดเสียงดังๆ ติดต่อกัน นกเหล่านั้นก็พากันบินว่อนไปมาวนเวียนอยู่ในพระอุโบสถนั้นบางพวกก็บินออกไปจากพระอุโบสถ บางพวกก็ไม่ออก และบินกลับเข้ามาอย่างเดิมอีก เมื่อทั้ง ๒ วิธีไม่ได้ผล

ขั้นที่ ๓ ใช้อวนจับปลา (ตาข่าย) ดักจับโดยใช้วิธี ปิดประตูหน้าต่างให้หมด เปิดไว้เพียงประตูหน้าเพียงประตูเดียว แต่ใช้อวนกั้นเอาไว้ เมื่อนกเหล่าบินเข้ามาในพระอุโบสถจึงติดอวน และจับขังไว้ในกล่องกระดาษทีละตัวสองตัวจนหมด แล้วปิดฝาขังไว้ในพระอุโบสถนั้น พอรุ่งเช้าจึงปล่อยให้มันบินหนีออกไป เพราะคิดว่า มันคงเข็ดไม่กล้าบินกลับเข้ามาอีก แต่ถึงเวลาเย็น นกเหล่านั้นก็พากันบินกลับมาเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ขาดหายไปไหนแล้วแม้แต่ตัวเดียว

การกำจัดไล่นกเหล่านี้ออกไปจากพระอุโบสถ หลวงปู่ท่านไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ และสามเณรผู้ทำความสะอาดพระอุโบสถทำกันเอง โดยไม่ได้ปรึกษากับใคร เมื่อหลวงปู่ท่านทราบเรื่อง จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลรักษาความสะอาดพระอุโบสถไปพบ และสั่งไม่ให้ไล่นกนางแอ่นเหล่านั้น ปล่อยให้มันอยู่ในพระอุโบสถอย่างเดิม ไม่ให้ใครไปรบกวนมัน ท่านได้พูด สัตว์พวกนี้มันเข้ามาขอพึ่งร่มไม้ขายคาของวัดช่องลม และพึ่งใบบุญของหลวงปู่ มันคงเห็นว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับพวกมัน มันจึงเข้ามาอาศัยอยู่ แต่ถ้ามันรู้ว่ามีอันตรายต่อพวกมันมันคงไม่มาอาศัยอยู่หรอก มันมาอาศัยพวกเรา พวกเราก็อาศัยพระศาสนาอยู่ ต่างคนต่างก็เป็นผู้อาศัย เพราฉะนั้น อย่าไปไล่หรือไปทำลายมันโดยเด็ดขาด ปล่อยให้มันอาศัยอยู่อย่างนั้น การที่มันถ่ายรดพระอุโบสถ และอาสนะสงฆ์นั้น มันคงไม่รู้ระเบียบวินัยของพวกเรา ถ้ามันรู้มันคงไม่ทำให้เราเดือดร้อน และสั่งให้เพิ่มคนทำความสะอาดพระอุโบสถ ให้มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครไปรังควาญหรือไปรบกวนให้มันเดือดร้อนอีกเลยกลับให้ความสะดวก และคอยดูแลปกป้องมันอย่างดียิ่งตลอดมา

เมื่อนานวันเข้า นกนางแอ่นก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายในพระอุโบสถทั้งด้านหน้าและด้านหลังและรอบๆ ผนัง เต็มไปด้วยรังนก เมื่อตอนเย็นมันบินกลับเข้ามาพร้อมๆ กันมองเห็นดำมืดไปหมด นกทั้งหมดนี้มันจะออกไปหากินในตอนเช้า และกลับเข้ามาอีกในเวลาเย็น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดพระอุโบสถ นอกจากนกที่ฟักไข่อยู่ หรือนกที่มี ลูกอ่อน มันจะฟักไข่และลูกของมันอยู่ ไม่ออกไปไหน แต่จะมีพ่อนกนำเอาอาหารมาส่งให้เป็นระยะๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปที่วัดและเข้าไปในพระอุโบสถ จะไม่ค่อยเห็นนกมากนัก เพราะมันพากันบินออกไปหากินหมด นอกจากลูกนกที่ยังบินไม่ได้ มันจะเกาะติดยู่ที่รังของมันตลอดเวลา จนกว่ามันจะบินได้ นกนางแอ่นเหล่านี้ มันจะรู้เวลาปิด เปิด เพราะอุโบสถ มันจะพากันบินกลับเข้ามาก่อนที่จะปิดพระอุโบสถเสมอ ถ้าวันใด เจ้าหน้าที่ปิดพระอุโบสถก่อนที่มันจะบินกลับเข้าไป มันก็ไม่สามารถที่จะบินเข้าไปได้ นกเหล่านั้นจะพากันบินเข้าไปในหอฉันซึ่งเป็นที่อยู่ของหลวงปู่แก้ว แล้วพากันบินวนเวียนและส่งเสียงร้องดังอยู่ภายในหอฉันนั้น หลวงปู่แก้ว ต้องเรียกพระที่ดูและพระอุโบสถมาและบอกว่า ไอ้เปี๋ยก นกนางแอ่นพวกนี้มันฟ้องหลวงปู่ เพราะว่ามันเข้าไปในพระอุโบสถไม่ได้ ให้เอากุญแจไปเปิดให้นกเหล่านั้นเข้าไป เมื่อเจ้าหน้าที่ไปเปิดพระอุโบสถ นกเหล่านั้นก็พากันบินเข้าจดหมด จึงเป็นที่รู้กันอยู่ว่าถ้าวันใดนกนางแอ่นบินเข้ามาในที่อยู่ของหลวงปู่แก้วและส่งเสียงดัง แสดงว่า พระอุโบสถปิดแล้ว นกไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องเอากุญแจไปเปิดให้มันเข้าให้หมดจึงจะปิดได้บางวันต้องรอจนค่ำเพราะนกบางพวกที่ออกไปหากินไกลๆ กลับเจ้ามาช้ากว่านกพวกอื่นการที่นกนางแอ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในพระอุโบสถนี้ มีทั้งผลเสีย และผลดี ผลเสีย ก็คือการที่มันได้ถ่ายรดผนังพระอุโบสถ ทำให้สถานที่ไม่ค่อยสะอาด เพราะเมื่อมันเข้าไปอาศัยนอนข้างในแล้ว มันยังถ่ายทิ้งไว้ในนั้น มีจำนวนมากมายเมื่อนกมากขึ้นมูลของมันก็มากขึ้น นอกจากมันจะถ่ายไว้ในพระอุโบสถแล้วบางครั้งคนที่เข้าไปในพระอุโบสถ เพื่อเข้าไปกราบไหว้พระประธานมันก็ถ่ายรด เสื้อผ้าของบุคคลที่เข้าไปในพระอุโบสถอีก โดยเฉพาะพระเณรที่เข้าไปทำวัตร์ เช้า เย็น จะต้องมีสัญลักษณ์ติดจีวรไปทุกองค์ โชคดีที่กลิ่นของมันไม้เหม็นมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญให้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน

ส่วนผลดีที่ได้รับจากการที่นกนางแอ่นเข้ามาอาศัยอยู่ที่วัดนี้ ก็เพราะประชาชนไม่เคยเห็น เมื่อเข้ามาเห็นนกเหล่านี้มีจำนวนมากมาย ต่างก็พากันมาดู ในความแปลกประหลาด และมหัศจรรย์ ของนกเหล่านี้เพราะตามปกติ นกนางแอ่นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามภูเขาทางภาคใต้เท่านั้น ส่วนในภาคกลางไม่เคยปรากฏเห็นที่ไหนมาก่อนบางคนอาจจะเป็นแต่รูปภาพจากหนังสิอพิมพ์ หรือในโทรทัศน์ไม่เคยเห็นตัวจริงๆ เมื่อมีข่าวออกไปจากคนที่เคยมาเที่ยว หรือเคยมาดู จึงทำให้ประชาชนที่อยากรู้อยากเห็นของจริงต่างพากันมาดูวันหนึ่งๆ มีจำนวนมากมาย หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ทุกช่อง ต่างพากันมาทำสารคดี ออกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ คนที่ไม่เคยเห็นก็อยากจะมาดูมาเห็นด้วยตนเองโอยเฉพาะรังของนกนางแอ่นกันมากมายเมื่อมีประชาชนมาที่วัดมากเท่าใดก็ทำให้วัดมีรายได้มากขึ้นจากการทำบุญของพวกนักท่องเที่ยว ปัจจุบันนี้ วัดสุทธิวาตวราราม (ช่องลม) เป็นวัดที่นักท่องเที่ยว จัดทัวร์มาแวะเที่ยวเพื่อดูนกนางแอ่นเป็นจำนวนมาก เพราะวันนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดสมุทรสาครอยู่ด้วย

ศูนย์สงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด

ศูนย์สงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด หลังจากที่ได้ชมสถานที่สำคัญๆ ของวัดเช่นพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 พระอุโบสถ วิหารหลวงปู่แก้ว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มาลองเดินชมรอบๆ บริเวณวัดว่ามีอะไรอีกบ้าง ก็เลยมาสะดุดอยู่ที่อาคารทรงไทยประยุกต์หลังนี้ ซึ่งเป็นเป็นศูนย์สงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด แสดงให้เห็นว่าวัดสุทธิวาตวราราม มีความสำคัญในการช่วยเหลือสังคมเป็นอย่างมาก

กุฎิธรรมสาคร

กุฎิธรรมสาคร เป็นอาคารเก่าแก่ที่ยังคงรูปทรงแบบเดิมๆ เอาไว้ ปัจจุบันเปิดเป็นมูลนิธิพระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว)

ท่าน้ำหน้าวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม)

ท่าน้ำหน้าวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) ปิดท้ายด้วยการไปหาอะไรกินกันดีกว่า ที่ท่าน้ำหน้าวัดมีร้านก๋วยเตี๋ยวแบบเรือนแพอยู่ และก็มีเรือโดยสารบริการที่นี่หลายลำ ทิวทัศน์ท่าน้ำหลังวัดเป็นภาพที่สวยงามของฝั่งท่าฉลอมได้ดีทีเดียว

0/0 จาก 0 รีวิว

10 ที่พัก/โรงแรมใกล้ วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) สมุทรสาคร
โรงแรมเซ็นทรัลเพลส สมุทรสาคร
  2.79 km | แผนที่ | เส้นทาง
พรกระจ่างเพลซ เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  4.01 km | แผนที่ | เส้นทาง
ดิเอท เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  5.46 km | แผนที่ | เส้นทาง
แกรนด์ อินเตอร์ โฮเทล เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  14.91 km | แผนที่ | เส้นทาง
บ้านนพเก้า เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  15.39 km | แผนที่ | เส้นทาง
ยูเฮาส์ เรสซิเดนซ์ เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  15.46 km | แผนที่ | เส้นทาง
ชาน เล รีสอร์ต เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  18.68 km | แผนที่ | เส้นทาง
แสนรัก รีสอร์ท
  20.64 km | แผนที่ | เส้นทาง
BKK Grand 7BR Villa and private pool เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  29.68 km | แผนที่ | เส้นทาง
จอลลี่ สวีท แอนด์ สปา เพชรเกษม เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  32.77 km | แผนที่ | เส้นทาง
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้ วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) สมุทรสาคร
อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิม สมุทรสาคร
  0.18 km | แผนที่ | เส้นทาง
ศาลเจ้าพ่อกวนอู สมุทรสาคร
  0.91 km | แผนที่ | เส้นทาง
ศาลเจ้าปุนเถ้ากง สมุทรสาคร
  1.55 km | แผนที่ | เส้นทาง
ถนนถวาย สมุทรสาคร
  1.55 km | แผนที่ | เส้นทาง
วัดโกรกกราก สมุทรสาคร
  2.02 km | แผนที่ | เส้นทาง
โรงเจเชงเฮียงตั๊ว สมุทรสาคร
  2.17 km | แผนที่ | เส้นทาง
ศาลเจ้าแม่บ๋วยเนี้ย สมุทรสาคร
  2.36 km | แผนที่ | เส้นทาง
สะพานปลา สมุทรสาคร
  2.77 km | แผนที่ | เส้นทาง
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร (เจ้าพ่อวิเชียรโชติ) สมุทรสาคร
  3.14 km | แผนที่ | เส้นทาง
วัดป้อมวิเชียรโชติการาม สมุทรสาคร
  3.14 km | แผนที่ | เส้นทาง

*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ

Line id: @touronthai (ใส่ @)
www.touronthai.com