ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.ประจวบคีรีขันธ์ โทร.0 3251 3885, 0 3251 3871, 0 3251 3854
http://www.tourismthailand.org/prachuapkhirikhan
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
การเดินทางสู่น้ำตกห้วยยาง ไปตามถนนเพชรเกษมถึงห้วยยางจะมีแยกเลี้ยวซ้าย (ถ้ามาจากทางบางสะพาน อย่างทริปนี้ผมมาจากน้ำตกเขาล้าน) ถ้ามาจากประจวบคีรีขันธ์ก็ต้องกลับรถ จากทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ป้ายบอกทางบางอันก็เขียนว่า 4.5 กิโลเมตร แต่ช่างมันเถอะอันไหนจะถูกจะผิดก็ขับไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง ที่ห้วยยางเป็นชุมชนที่ยึดอาชีพสวนมะพร้าวเช่นเดียวกันกับ ต.เขาล้าน ทิวทุ่งมะพร้าวจำนวนมากดูสวยงาม มีช่องว่างแบ่งมาทำนาข้าวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ทำให้มีช่วงวิวเปิดมองเห็นยอดเขาหลวงกับหมอกที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาได้สวยงาม ผมนึกในใจว่าถ้ามีที่ดินสำหรับปลูกบ้านที่นี่สักแปลงคงจะได้ชมวิวสวยๆ นี้ทุกวัน น่าจะดีไม่น้อย
ระหว่างทางลาดยาง 2 เลน คดเคี้ยวไปในหมู่บ้านที่มีบ้านไม่หนาแน่นมากนัก นานๆ จะเจอร้านค้าสักร้านเป็นจุดแวะหาเครื่องดื่มและขนม ก่อนเดินทางต่อไป อาการกระหายน้ำจากการเดินน้ำตกเขาล้านยังคงอยู่ ระหว่างทางเห็นวิวเปิดตรงไหนก็แวะเข้าไปจอดเก็บภาพไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง เสียค่าเข้า ทั้งคนทั้งรถ 50 บาท
บรรยากาศที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง หลังจากเข้ามาแล้วไปที่ลานจอดรถ ทางเข้าน้ำตกห้วยยางกับป้ายต่างๆ ที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวมาที่นี่กันมาก มีงบประมาณในการทำป้ายสวยๆ มาตรฐานสูงติดแสดงข้อมูลต่างๆ ในอุทยานได้หลายแห่ง ผิดกับน้ำตกเขาล้านเอามากๆ อันดับแรกเดินเข้าไปในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เอาพาสปอร์ตมาประทับตราว่าได้มาแล้ว คุยกับเจ้าหน้าที่นิดหน่อยอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าน้ำตกห้วยยางมีกี่ชั้น เจ้าหน้าที่บอกว่ามี 5 ชั้น (ที่จริงมี 9 แต่เปิดให้เข้าได้ 5) ผมก็เลยถามว่าคงจะเดินจนเย็นแน่เลย เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่เย็นหรอกค่ะ คิดในใจว่าอืมเดี๋ยวคงจะได้รู้เองละ หลังจากนั้นก็เอาไปเก็บ หยิบกระเป๋ากล้องกับร่มคันเดิมเริ่มต้นเดินทางกันต่อได้
ที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีป้ายอันใหญ่ตั้งอยู่เขียนว่าทางไปจุดชมวิวผาชมทะเล แต่ช่างมันก่อนเถอะตอนนี้เราต้องโฟกัสไปที่น้ำตกห้วยยางก่อน ไว้มีแบตเตอรี่เหลือคงได้มาขึ้นจุดชมวิวอันนี้แน่ๆ ตรงสะพานข้ามลำธารสายเล็กๆ มีป้อมสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจตราสัมภาระห้ามนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไป ยกเว้นน้ำในขวดพลาสติก จากสะพานเดินตรงไปตามทางเรื่อยๆ เห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกแต่ละชั้น ผมเข้าใจแล้วว่าที่เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่เย็นหรอกค่ะ มันหมายความว่าอย่างนี้นี่เอง น้ำตก 5 ชั้นของน้ำตกห้วยยาง ระยะห่างแต่ละชั้นเพียงแค่หลักสิบเมตร อย่างเช่น จากชั้น 3 ไปชั้น 4 30 เมตร อย่างนี้เป็นต้น เออ ระยะห่างแค่นี้เดิน 5 ชั้นจากบ่าย 2 ถึงเย็น คงจะเก่งเกินไปละ มีเฉพาะทางไปน้ำตกชั้นแรกกับชั้นที่ 5 ที่มีระยะอยู่ในหลักร้อยเมตรแต่ก็ไม่ใช่หลายร้อย รวมๆ แล้วถ้าเดินชมอย่างเดียวคงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจบ ทางเดินในอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยางเป็นทางเดินที่เรียบง่ายสบายๆ ทำบันไดขั้นเล็กๆ เอาไว้ให้เดินแบบชิล ชิล ไปเรื่อยๆ เนื่องจากแบตเตอรี่ที่เหลือมันเสื่อมก็ไม่รู้ว่าจะหมดเมื่อไหร่ ทางเดินก็เหมือนๆ กันหมด เลยถ่ายมาให้ดูพอสังเขป
น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 1 ไม่นานก็เจอน้ำตกชั้นที่ 1 สร้างในลักษณะเป็นฝายกั้นน้ำมากกว่าจะเป็นน้ำตกตามธรรมชาติ แต่ก็สร้างได้สวยดี มีท่อน้ำสำหรับสูบน้ำไปใช้ในห้องน้ำของอุทยาน เลยต้องถ่ายรูปเลี่ยงๆ ไม่ให้เห็นท่อ จุดนี้มีปลาพลวงอยู่ชุกชุมว่ายทวนน้ำเป็นแถวดูน่ารักจริงๆ ชั้นนี้ไม่มีคนลงเล่นน้ำ คงเพราะปลาเยอะและมันยังเป็นชั้นแรก หลายๆ คนมาเที่ยวน้ำตกคงต้องเล็งชั้นสูงๆ ไว้ก่อน
น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 2 จากนั้นอีกไม่นานก็เป็นชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่สวยงามมีแอ่งน้ำตื้นๆ เห็นเด็กๆ ลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แต่ยังดีที่มีจังหวะที่เด็กๆ เหล่านั้นขึ้นจากน้ำคงจะเดินไปชั้นต่อไป น้ำตกว่างๆ ก็เลยเป็นภาพที่ตรงกับความต้องการของผมที่รออยู่ เหนือน้ำตกชั้นที่ 2 ขั้นไปตามทางเดินไปชั้นที่ 3 จะเห็นลำธารสายน้ำไหลลงมาเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินเที่ยวน้ำตกห้วยยาง จะมีที่นั่งพักที่จัดไว้ให้กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ มีศาลาบ้าง หรือบางแห่งก็เป็นเพียงโต๊ะกลมกับม้านั่งที่ทำเกือบเหมือนหิน หรือไม่ก็ตอไม้ ให้กลมกลืนกันกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่นี่ ก่อนถึงน้ำตกชั้น 3 มีศาลา 1 หลัง ใกล้ๆ กันมีศาลอยู่ผูกผ้าหลากหลายสี มีหุ่นในชุดไทยสไบเฉียงตั้งอยู่ ผมคิดว่าน่าจะเป็นศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง ด้วยประสบการณ์ที่พอจะรู้ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่จะถ่ายรูปได้อีกไม่นาน ผมยกมือไหว้ศาลเจ้าแม่แห่งนี้อธิษฐานขอพรให้มีแบตเตอรี่เหลือพอที่จะถ่ายน้ำตกครบแล้วจะกลับมาถ่ายรูปศาลเจ้าแม่มาประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก
น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 4 หลังจากนั้นเดินต่อไปอีกหน่อยใกล้จริงๆ ถึงน้ำตกชั้นที่ 4 ผมพิมพ์ไม่ผิดหรอกมันเป็นชั้นที่ 4 จริงๆ มีชาวต่างชาติ 3 คนนั่งเล่นน้ำตกอยู่ งานนี้ก็ต้องรอต่อไป แอ่งน้ำกว้างใหญ่ที่น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 4 เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาก การลงเล่นน้ำที่นี่ได้รับความนิยมมาก หลังจากที่รออยู่นานผมเห็นว่าชาวต่างชาติ 3 คนนี้คงไม่ลงมาจากน้ำตกแน่ เลยเดินข้ามฝายกั้นแอ่งน้ำเพื่อที่จะไปต่อ หลังจากข้ามฝายแห่งนี้ไปแล้วจึงได้รู้ว่าน้ำตกที่ล้นจากฝายเป็นชั้นที่ 3 นั่นเอง
ฝูงปลาพลวงในแอ่งน้ำตก นอกจากการเล่นน้ำที่แอ่งน้ำตกห้วยยางชั้นที่ 4 แล้วยังเป็นที่อยู่ของปลาพลวงจำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถซื้ออาหารปลามาเลี้ยงปลาบนนี้ได้ เห็นถือกันมาคนละถุงๆ ถึงว่าเวลาเราเดินไปทางไหนปลามันว่ายน้ำตามเป็นฝูงใหญ่
น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 3 เอาละคราวนี้ไปน้ำตกชั้นที่ 5 ชั้นสุดท้ายดีกว่า ระหว่างที่ผมกำลังเก็บภาพน้ำตกชั้นที่ 3 ถึงได้เห็นว่าชาวต่างชาติ 3 คนที่นั่งอยู่ตรงน้ำตกชั้นที่ 4 ออกมาแล้ว เอาละสินาทีทอง ต้องเดินข้ามฝายไปที่เดิมแล้วถ่ายรูปชั้นที่ 4 ใหม่ แล้วค่อยเดินไปชั้นที่ 5 ทางขึ้นน้ำตกชั้นที่ 5 อยู่ข้างน้ำตกชั้นที่ 4 เดินขึ้นไปหน่อยจะมีลานหินกว้าง มองเห็นวิวป่าเขาสีเขียว มีป้ายบอกทางเดินอ้อมแบบไม่ต้องป่ายปีนหินก้อนใหญ่ๆ เพราะอาจจะพลาดได้ ไม่ต้องคิดมาก เดินอ้อมไปดีกว่า ส่วนรูปวิวนั้นคงต้องเอาไว้ทีหลังให้แน่ใจว่าแบตที่เหลือในกล้องจะพอถ่ายรูปชั้นที่ 5 ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน
น้ำตกห้วยยางชั้นที่ 5 ไม่นานเท่าไหร่ก็มีถึงหุบผาหิน ลักษณะเป็นหินทั้ง 2 ข้าง มีธารน้ำไหลอยู่ตรงกลางคล้ายๆ ออบหลวง แต่ไม่สูงมากนัก มาถึงตรงที่เป็นน้ำตกจะมองไม่เห็นน้ำตกจนกว่าเราจะเดินข้ามหินน้อยใหญ่ไปที่ด้านหน้าน้ำตกจริงๆ เป็นเพราะหินขนาดมหึมาที่ขวางเส้นสายตาของเราไว้ น้ำตกชั้นที่ 5 ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว มีหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเหมือนห้องสปา น้ำตกที่ไหลลงมาตามผาหินสูงกว่า 15 เมตร แต่ถ้าถ่ายรูปน้ำตกเปล่าๆ มาจะดูไม่รู้ว่ามีความสูงขนาดนั้น รูปที่ผมถ่ายชุดแรกติดเด็กๆ ที่ลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานรวมทั้งคนที่มาถ่ายรูปอย่างเดียวก็ถ่ายกันนานให้สมกับความลำบากที่ได้เดินมาถึงตรงนี้ได้ ผมก็ต้องนั่งรอนิ่งๆ แบตเตอรี่ก็คงหมดไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้ปิดกล้อง การปิดเปิดบ่อยๆ จะเปลืองแบตมากกว่า นักท่องเที่ยวหลายคนก็ตื่นตาตื่นใจสนุกอยู่กับฝูงปลาจำนวนมากในแอ่ง สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปเป็นสิบนาที สำหรับคนที่นั่งรอเฉยๆ นี่มันเหมือนนานมาก ผมถ่ายให้เห็นน้ำตกมากๆ บ้าง เห็นมุมกว้างๆ กับฝูงปลาในแอ่งน้ำข้างหน้าตัวเองบ้าง กางเกงยีนขายาวของผมแช่อยู่ในน้ำเกือบหัวเข่า หลายคนที่เห็นก็คงงงว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้มาเที่ยวน้ำตก แต่พอเห็นผมถ่ายรูปอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่นเขาคงเข้าใจได้ว่าผมมาถ่ายรูปเฉยๆ
ศาลเจ้าแม่ตะเคียน สุดท้ายข้ามฝายน้ำตกชั้นที่ 3 เดินมาที่ศาลเจ้าแม่และถ่ายรูปเอามาประชาสัมพันธ์กันตามที่อธิษฐานไว้ ไหว้ศาลเจ้าแม่อีกครั้งเพื่อลากลับ หลังจากนั้นเก็บเฉพาะภาพที่สำคัญๆ ระหว่างทางเดินกลับไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ผาชมทะเล ระยะทาง 300 เมตร จากพื้นราบไปยืนอยู่บนผาชมทะเล บอกผมได้ 2 อย่าง อย่างแรก ระยะทาง 300 เมตรมันชิล ชิล แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อย่างที่สอง จากพื้นราบไปหน้าผาบนเขา 300 เมตร เอง แสดงว่ามันต้องชันมหาโหดแน่ๆ ก้าวแรกหลังจากการพักให้หายเหนื่อยเดินลอดป้ายที่เขียนว่าทางขึ้นจุดชมวิวผาชมทะเล ไปตามทางเรื่อยๆ รู้สึกว่า 100 เมตรแรกจะธรรมดาๆ ไม่มีอะไร ความเร็วในการก้าวย่างไปข้างหน้าของผมเริ่มช้าลงๆ หลังจากนั้น ทางที่ขึ้นไปนี้เรียกว่าชันมหาโหดอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ ทางเดินชัน 80 องศา มีเชือกเส้นใหญ่ขึงยาวข้างทางเดิน เป็นตัวช่วยและที่พึ่งเดียวของคนที่จะเดินขึ้นไปบนนี้ได้ ที่เหลือต้องใช้แรงกายแรงใจของเราเพียงอย่างเดียว
ผมเดินผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นและอยากจะหยุดเก็บภาพมัน เพราะแบตเตอรี่ที่เหลือน้อยเต็มทนของแบตสำรองซึ่งเป็นก้อนสุดท้ายของทริปนี้มันบอกว่าเหลือขีดเดียวแล้วนะ และเอกลักษณ์ของกล้อง Nikon เวลาเหลือขีดเดียวแล้วนึกจะหมดก็จะหมดเลย และจะไม่ยอมให้กดชัตเตอร์ลงได้อีก การปิดแล้วเปิดใหม่จะไม่ช่วยอะไรเราได้เลย เมตรแล้วเมตรเล่าของการเดินบนทางชันนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ระยะทางประมาณ 200 เมตร ผ่านพ้นไป สุดสายเส้นเชือกที่ขึงไว้ให้จากตรงนี้ไปเริ่มจะเป็นทางราบริมผา มีไม้เก่าๆ ยาวๆ ตีพาดระหว่างเสาที่ปักไว้อย่างแข็งแรงเททับด้วยปูนอีกชั้น กับป้ายที่เขียนว่าห้ามป่ายปีนหน้าผา เพราะเลยแนวไม้กั้นนี้ออกไป จะเป็นผาหินที่ลาดเทลง หากออกจากแนวไม้ไปแล้วเกิดลื่นพลาดขึ้นมาคงต้องมาสวัสดีผู้ชมในโลกหน้ากันเป็นแน่ ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปร่างกายมันฟ้องว่าไม่ไหวแล้วครับ หัวใจเต้นอย่างแรงยิ่งกว่าตอนที่ขึ้นน้ำตกเขาล้านเสียอีก ผมต้องวางกระเป๋ากล้องลงแล้วหาที่นั่งพัก การพักคราวนี้ผมรู้ดีว่าต้องนานพอให้ร่างกายกลับสภาพเดิมถึงจะเดินไปต่อได้ และที่สำคัญผมไม่ได้รีบไปไหนซะหน่อย อาการคล้ายหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม (อาการเดียวกันกับตอนที่ผมเดินขึ้นถ้ำเขางู ขึ้นลงภูเขา 3 รอบเลย) แต่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่พักไปได้พักใหญ่ ผมลืมที่จะพกน้ำขึ้นมาด้วย เวลาเหงื่อออกนั้น น่ากลัวมาก ตอนนี้แขนเปียกไปทั้งแขน มันไม่เหมือนคนเหงื่อออกแต่มองดูเหมือนเพิ่งอาบน้ำมามากกว่า ยังดีว่าอากาศบนนี้เย็นสบายและร่มรื่น
แล้วผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินบนเขามีรอยเท้าเป็นทางเข้าไปซ้ายบ้างขวาบ้าง แต่ผมไม่สนใจแม้แต่น้อย มีจุดที่ดูเหมือนจะเห็นวิวได้แต่ก็ช่างมัน ผมสนใจทางเดินที่ชัดเจนที่น่าจะเป็นจุดที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้เท่านั้น สุดท้ายผมก็มาหยุดนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนลานหินกว้าง ท้องฟ้าเวิ้งว้างข้างหน้ามีป่ามะพร้าวสีเขียวหนาแน่น มองไกลออกไปเป็นท้องทะเลสีคราม ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตั้งแต่ 8 โมงเช้าเหมือนจะมีฝนจนมาถึงบ่ายสองโมง กลับสว่างอวดสีครามกับเมฆขาวอย่างกับปาฏิหาริย์ จุดชมวิวหันไปทางตะวันออกซึ่งเห็นทะเลฝั่งอ่าวไทยได้สวยงามในยามบ่าย เวลาและจังหวะของผมในทริปนี้ที่มาอยู่ตรงนี้ช่างเหมาะเจาะจริงๆ ระหว่างการถ่ายรูปน้ำตกไม่มีแดดออกไม่ร้อนแสงเหมาะ ตอนนี้ฟ้าเปิดสวยใสอยู่เบื้องหน้าเหมาะกับการถ่ายวิวกว้าง ลมเย็นๆ ที่พัดมาทำให้ผมต้องถอดเสื้อแขวนไว้บนต้นไม้ นั่งพักจนเหงื่อแห้งก่อนที่จะหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า เล็งภาพไว้ก่อนเปิดฝาเลนส์
วิวสวยๆ ของผาชมทะเล ผมนั่งอยู่บนผาชมวิวทะเลนี้นานพอสมควรมองยอดมะพร้าวจำนวนมากอยู่เบื้องล่าง เลนส์เทเลถูกหยิบมาใช้เพื่อที่จะถ่ายให้เห็นทะเล กับยอดมะพร้าว เป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีเรื่องราววุ่นวายต่างๆ เข้ามาในสมอง ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรเลยตอนที่อยู่บนนี้ จะเอาอะไรกันอีกสำหรับคำว่าพักผ่อน นี่แหละคือการพักผ่อนและได้รับรางวัลจากความยากลำบากตอนที่ไต่เชือกขึ้นมาบนนี้
ดงมะพร้าว ยอดมะพร้าวมองจากบนนี้สวยมากไม่เคยมองต้นมะพร้าวจากที่ที่สูงกว่ามาก่อนเลย เงินบาทจะแข็งหรือจะอ่อนตอนนี้ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว
เส้นเชือกสำหรับไต่เขา หลังจากนั้นก็มาถึงเส้นเชือกที่ขึงไว้ เนื่องจากมือไม้สั่นไปหมด กว่าจะถ่ายรูปเชือกนี้ให้ชัดๆ ได้ ก็ต้องกดลงไปตั้ง 4 รูป นักท่องเที่ยวที่มาน้ำตกห้วยยางนั้นมีเยอะมากเจ้าหน้าที่ต้องคอยดูแลคนที่เดินไปน้ำตก นี่ถ้าหากว่าผมหมดแรงอยู่บนนี้จะมีคนรู้หรือเปล่าเนี่ย ถึงตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมไม่ค่อยมีคนมาเดินผาชมทะเล อีกอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้ไปก็คือจุดชมวิวยอดเขาหลวง ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง การเดินทางระยะ 7 กิโลเมตร จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง และต้องไปค้างบนนั้น สำหรับทริปนี้ปล่อยไปก่อนเราไม่ได้วางแผนมาแบบนั้น แต่คงได้กลับมาอีกแน่ จุดหมายปลายทางต่อไปซึ่งคงเป็นที่สุดท้ายของวันนี้และของทริปด้วยก็คือ หาดวนกร หลังจากลงมาจากหน้าผาถึงที่ทำการอุทยาน ผมเก็บของเข้าไว้ในรถแล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำ คราวนี้เปลี่ยนจากยีนขายาวเป็นกางเกงขาสั้นสบายๆ เหมาะกับชายหาดแล้วเดินทางต่อ นักท่องเที่ยวหลายคนตัวเปียกจากการลงเล่นน้ำตกเดินเข้ามาหาห้องน้ำว่างๆ คงแปลกใจอยู่ที่เห็นคนแต่งตัวปกติไม่เปียกน้ำเดินถือของมาอาบน้ำ ลาก่อนน้ำตกห้วยยาง โอกาสหน้าคงได้พบกันใหม่...
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ