www.touronthai.com

หน้าหลัก >> สตูล >> ถ้ำเจ็ดคต

ถ้ำเจ็ดคต

 ถ้ำเจ็ดคต ตั้งอยู่หมู่ 5 ตำบลปาล์มพัฒนา จากตัวเมืองสตูล แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4137 ถึงสามแยกไปอำเภอมะนัง เลี้ยวเข้าไปทางถ้ำเจ็ดคต ห่างจากหน่วยพิทักษ์ป่าวังสายทอง 3 กม. ลักษณะถ้ำคดเคี้ยวและทะลุผ่านภูเขา มีลำธารไหลผ่านภายในถ้ำสามารถล่องเรือภายในถ้ำได้ตลอดระยะทางเพื่อชมธรรมชาติและหินย้อย มีหาดทรายขาวระยิบระยับภายในถ้ำบริเวณมุมที่คดเคี้ยว คล้ายกับเพชรที่โปรยไว้ที่หาดทราย บริเวณหาดทรายสามารถกางเต็นท์ได้ มีลมพัดเบาๆ และอากาศเย็นสบาย ไม่อับชื้น ฤดูท่องเที่ยวประมาณเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม เส้นทางการเข้าสู่ถ้ำเจ็ดคตนี้มีหลายเส้นทางและการเข้าชมสามารถใช้เรือคายักและเรือยางสำหรับล่องแก่ง ควรเช็ครายละเอียดจากบริษัทนำเที่ยวก่อนการเดินทาง

    ภายในถ้ำซึ่งแบ่งเป็น 7 ช่วง มีบรรยากาศแตกต่างกัน ลำคลองไหลไปตามความคดเคี้ยวของตัวถ้ำ สายน้ำจึงมีความตื้นลึกไม่เท่ากัน ในช่วงหน้าแล้ง น้ำลึกแค่ท่วมข้อเท้า เดินลุยไปได้อย่างสบาย บางตอนอาจลึกเกิน 5 เมตร ช่วงหน้าฝน น้ำหลาก จะเดินทางเข้าไปได้ค่อนข้างยาก นักท่องเที่ยวต้องเดินลัดเลาะไปตามริมผนังถ้ำ เดินลุยน้ำ บางตอนเป็นหาดทรายผสมกรวดบ้าง บางคูหามีพื้นที่เป็นโคลนเลน ต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษควรมีไฟฉายติดตัวไปด้วย

    บรรยากาศในถ้ำเงียบสงัด แทรกด้วยเสียงน้ำไหลสลับกับเสียงลุยน้ำและเสียงสนทนาจากผู้มาเยือนเป็นระยะ ๆ สิ่งที่เรียกเสียงอุทานด้วยความพึงพอใจจากนักท่องเที่ยวทั่วหน้าก็คือ ดวงตาวาววับล้อแสงไฟที่ส่องไปกระทบของกลุ่มค้างคาวที่เกาะตัวอยู่บนเพดานถ้ำ ดูราวกับกลุ่มดาวเคราะห์บนฟากฟ้าอันไกลโพ้น มีหินงอกหินย้อยอยู่ทั่วไป ก่อเกิดจินตนาการที่กว้างไกลแก่ผู้พบเห็น เมื่อเดินทางถึงคดสุดท้ายหรือคดที่เจ็ด มีลำแสงส่องจากปากถ้ำ เหมือนแสงแห่งชัยชนะมอบให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางถึงคูหาสุดท้ายใช้เวลาในการลัดเลาะไปตามผนังถ้ำลุยน้ำ ชมธรรมชาติประมาณ 30 นาที

    ถ้ำเจ็ดคตมีลักษณะพิเศษ แตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ มีลำคลองลอดถ้ำ คดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำมีถึง 7 คูหา เป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า “ถ้ำสัตคูหา” พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหา ดังนี้

    คูหาที่ 1 เรียกว่า “สาวยิ้ม” ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกตมีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ

    คูหาที่ 2 เรียกว่า “นางคอย” มีหินงอก หินย้อย สวยงาม และฝูงค้างคาวจำนวนมาก

    คูหาที่ 3 เรียกว่า “เพชรร่วง” ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่อง ให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจึงเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร

    คูหาที่ 4 เรียกว่า “เจดีย์สามยอด” พื้นทางเดินเป็นหิน ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ

    คูหาที่ 5 เรียกว่า “ น้ำทิพย์” ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาว และน้ำตาล เป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน

    คูหาที่ 6 เรียกว่า “ ฉัตรทอง” มีหินงอก หินย้อยซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร

    คูหาที่ 7 เรียกว่า “ ส่องนภา” ภายในมีหินงอก หินย้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ

ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานตรัง โทร. 0 7521 5867-8
http://www.tourismthailand.org/trang
ชมรมอนุรักษ์การท่องเที่ยวถ้ำเจ็ดคต โทร.080-7135253 , 084-1996624

แก้ไขล่าสุด 0000-00-00 00:00:00 ผู้ชม 23271

การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก

กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ
ค่างแว่น

ค่างแว่น ไม่รู้ว่าเจ้าค่างนี้มาจากไหน แต่ดูเหมือนคนหลายคนที่นี่จะคุ้นเคยกับมันมาก มันอยู่ตัวเดียวอย่างที่เห็นนี่ละครับ ผมก็พยายามมองหาฝูงของมันแต่ก็ไม่เห็น ตอนนี้ผมจอดรถที่ลานจอดรถทางเข้าถ้ำเจ็ดคต ทันทีที่เห็นค่างก็ลงไปเล่นกับมันพยายามจะถ่ายรูป แล้วมันก็กระโดดเกาะหัว เสียดายที่เพื่อนๆ ไม่ทันตั้งตัวเลยถ่ายรูปไม่ทัน แล้วมันก็กระโดดหนีไป

กว่าจะเดินทางมาที่ถ้ำเจ็ดคตนี้ ผมก็ได้ยินเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับถ้ำมาบ้าง มีคนเล่าให้ฟังว่า การล่องเรือเข้าถ้ำเจ็ดคต ไม่มีใครจะพาเราเข้าไปได้แล้ว บางคนก็ว่า พอเราจะหาเรือล่องเข้าถ้ำ เจ้าของเรือจะบอกว่าถ้ำปิดแล้ว เข้าไม่ได้แล้ว อะไรทำนองนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเรือจึงไม่อยากพาเราเข้าถ้ำ คนที่เล่ายังบอกอีกว่าพอเราเห็นป้ายถ้ำเจ็ดคตแล้วให้ขับตามป้ายนั้นไปให้สุดทาง แล้วจะมีเรือบริการเข้าถ้ำพาเราเข้าไปได้ ผมก็ท่องจำคำพูดนี้มาตลอดทาง ขับมาสุดทางที่นี่ มีอาคารหลังเล็กๆ อยู่ข้างลานจอดรถ มีร้านค้าแผงเล็กๆ 2 ร้าน พอได้หาเครื่องดื่มดับกระหายได้ ผมตรงไปติดต่อเจ้าหน้าที่ สรุปว่าเป็น ชมรมท่องเที่ยวถ้ำเจ็ดคต บริหารงานด้วยชาวบ้านในหมู่บ้าน ก่อนหน้าที่จะมาถึงที่นี่จะผ่านท่าเรือเอกชนหลายท่ามีป้ายบอกว่าเป็นทางลงเรือหลายแห่ง แต่อย่างที่บอกละครับว่า มีคนบอกมาว่าให้ขับสุดทาง เราก็ต้องไปสุดทางเท่านั้น ที่จริงผมก็ไม่ได้ลองถามท่าเรืออื่นๆ ว่าจะมีบริการล่องเรือเข้าถ้ำเจ็ดคตด้วยหรือเปล่า

การเดินทางเข้าถ้ำเจ็ดคต

การเดินทางเข้าถ้ำเจ็ดคต เมื่อเราติดต่อเจ้าหน้าที่ชมรมท่องเที่ยวถ้ำเจ็ดคตแล้ว สนนราคาค่าเรือคนละ 200 บาท มีเสื้อชูชีพพร้อมสรรพ เรือจะไม่ออกเดินทางถ้านักท่องเที่ยวไม่ยอมใส่เสื้อ นี่เป็นกฏที่ปฏิบัติกันมาตลอด พอได้เสื้อชูชีพแล้ว ไกด์ก็พาเราเดินไปที่จุดลงเรือ ระยะทางประมาณ 100 เมตร มีเรือจอดรออยู่ 2 ลำตามจำนวนของนักท่องเที่ยว 4 คน คือลำละ 2 คน พร้อมคนพายอีก 1 จากนั้นไกด์ก็แนะนำให้เราถอดรองเท้า แล้วจะมีคนเอาไปเก็บที่รถให้ เพราะไม่อยากให้รองเท้าหายระหว่างการเดินทาง สำหรับอุปกรณ์ถ่ายรูปและมือถือ สามารถถือไปได้แต่ควรจะมีถุงกันน้ำไปด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวของกระแสน้ำในแต่ละช่วงของปี พอดีเราไปตอนสงกรานต์ น้ำไม่มากนัก ความเชี่ยวก็น้อย ก็เลยเอาถุงกันน้ำใส่กล้องไปด้วยได้ ส่วนจังหวะในการที่จะได้เอากล้องออกมาใช้หรือเปล่านั้นก็ต้องดูกันเป็นจุดๆ ไป

หลังจากลงเรือได้แล้ว ไม่นานเรือพาเรามาจอดใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่กี่นาทีจากจุดเริ่มต้น ไกด์ก็จะบอกให้เราขึ้นฝั่ง เพื่อที่จะเดินไปที่ปากถ้ำ เพราะตรงนี้นั่งเรือเข้าไปไม่ได้ เราก็เดินไปไม่กี่เมตร ก็จะมีทางลงไปรอให้เรือตามเข้ามา

ปากถ้ำเจ็ดคต

ปากถ้ำเจ็ดคต ตอนนี้เราก็ต้องยืนรอสักครู่คนพายเรือจะเอาเรือเข้ามารับเราที่นี่ ระหว่างต้นไม้ที่เราขึ้นฝั่งมาตรงนี้คั่นกลางด้วยโขดหินใหญ่และน้ำเชี่ยวจนไม่สามารถนั่งเรือเข้ามาแบบสบายๆ ได้

หินบัวคว่ำถ้ำเจ็ดคต

หินบัวคว่ำถ้ำเจ็ดคต ในระหว่างที่รอให้เรือมารับ พอดีมองเห็นหินบัวคว่ำขนาดใหญ่อยู่บนเพดานถ้ำค่อนข้างสูง ถัดจากนั้นมองอะไรไม่เห็นเลยเพราะมืดสนิท การเดินทางเข้าถ้ำด้วยการล่องเรือ ไม่ใช่ว่าเราจะมาที่ถ้ำเจ็ดคตเป็นแห่งแรก แต่เราเคยไปที่ถ้ำน้ำลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอนมาแล้ว ที่นั่นเป็นถ้ำขนาดใหญ่กว่า แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ว่า ในถ้ำเจ็ดคต มีอะไรรอให้เราเข้าไปชมอยู่บ้าง

หินบัวคว่ำถ้ำเจ็ดคต

หินบัวคว่ำถ้ำเจ็ดคต ไกด์นำทางผู้พายเรือมาด้วย เริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับถ้ำเจ็ดคตแห่งนี้ให้เราฟัง หลังจากที่ทุกคนได้กลับขึ้นเรือกันหมดแล้ว แล้วเรือก็พาเราเข้ามาตามกระแสน้ำ คำว่า เจ็ดคต นั้น มาจากโค้งน้ำทั้งหมด 7 โค้งด้วยกัน แต่ละโค้งจะมีจุดที่น่าสนใจแตกต่างกันไป ในบางตำราก็เรียกกันภาษาถ้ำว่า 7 คูหา เอาเป็นว่าผมเชื่อตามที่ไกด์บอกดีกว่า เพราะถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำกว้างเกือบเท่าๆ กัน เรียกว่าเป็นคลองในถ้ำเลยละ จะมาแบ่งเป็นคูหาก็จะสับสนเปล่าๆ จำว่าเป็นโค้งไหนจะง่ายกว่า

โค้งแรกหรือคตแรกเป็นจุดที่เรียกว่าหินบัวคว่ำ เป็นย้อยชนิดหนึ่งที่บานออกรอบด้านเกือบเป็นวงกลม บางที่จะเป็นวงกลมสวยเต็มวงเลยก็มี ไม่ว่าใตรๆ มาถ้ำเจ็ดคต ก็น่าจะได้ถ่ายรูปหินบัวคว่ำ เพราะไกด์บอกว่าจะจอดให้เป็นจุดๆ จอดทุกจุดไม่ได้เพราะบางจุดน้ำลึกมากแล้วก็ไม่มีที่จอดเรือ แม้แต่ที่หินบัวคว่ำแห่งนี้ก็จอดนานไม่ได้ การถ่ายรูปก็ต้องทำเวลาด้วยเพราะอีกไม่นานเรือจำนวนมากจากข้างหลังจะตามมา ทำให้เรือหลายๆ ลำมาออกันที่นี่แล้วอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

เรียงลำดับกับข้อมูลของ ททท. คตแรกตรงนี้คือคูหาที่เจ็ด เรียกว่า ส่องนภา

ปากถ้ำเจ็ดคต

ปากถ้ำเจ็ดคต หลังจากที่เก็บภาพหินบัวคว่ำได้แล้ว ตอนนี้ผมก็หันกล้องไปเก็บภาพเรือนักท่องเที่ยวหลายลำที่กำลังทยอยเข้ามาในถ้ำห่างจากเราไม่กี่วินาที เรือเหล่านั้นก็จะมาถึงจุดที่เราอยู่ในไม่ช้า เรือที่ผมนั่งก็ควรจะออกจากจุดจอดเรือไปเพื่อให้เรือลำหลังๆ จอดได้สะดวก ไกด์เริ่มเร่งให้ผมถ่ายรูปให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายจังที่ผมไม่สามารถเก็บภาพความสวยงามอีกมากมายในถ้ำเจ็ดคตออกมาฝากได้ เพราะต้องทำตามกฎเหมือนกันครับ

ดงกุหลาบ หรือเจดีย์สามยอด ถ้ำเจ็ดคต

ดงกุหลาบ หรือเจดีย์สามยอด ถ้ำเจ็ดคต หลังจากที่จอดเรือที่หินบัวคว่ำเรียกว่าเป็นคตแรกของถ้ำเจ็ดคต ต่อจากนั้นก็มีผ่านคตที่ 2 และ 3 ตามลำดับ จำได้ว่าเป็นม่านหินย้อยที่สวยงามมาก แต่ก็จำไม่ได้แม่นนัก เพราะในถ้ำมันมืด เรือก็ล่องตามน้ำไปเรื่อยๆ ไกด์ก็จะบรรยายไปค่อนข้างเร็วตามความเร็วของเรือ จากม่านหินย้อยก็มีอะไรอีกสักอย่าง ก่อนจะมาเป็นคตที่ 4 อย่างที่ไกด์บอกละครับว่าในถ้ำที่ลำน้ำลอดยาวทะลุถ้ำ จะจอดให้นักท่องเที่ยวลงชมความสวยงามของหินงอกหินย้อยตามธรรมชาติได้ 2 จุด ก็คือจุดแรก และจุดที่ 4 เรียกกันว่าดงกุหลาบ หินงอกเหล่านี้เดาว่าน่าจะเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เอง น่าจะเป็นเพราะทางน้ำบนเขาตรงกับเพดานถ้ำเปลี่ยนเส้นทางแล้วมาหยดลงตรงกับดงกุหลาบตรงนี้พอดี หินงอกชุดนี้ยังเป็นหินเป็นซึ่งน่าจะมีอยู่มากมายในถ้ำเจ็ดคต แต่เนื่องจากถ้ำมันยาวจึงมืดมากเราคงมองไม่เห็นอีกมากมายหลายอย่าง หินงอกตรงหน้าที่เราเห็นก็มีลักษณะคล้ายดอกกุหลาบมีกลีบที่สวยงามซ้อนกันหลายชั้น เราใช้เวลาไม่นานแล้วก็ลงเรือเดินทางกันต่อไปท่ามกลางความมืด เห็นก็แต่แสงไฟฉายจากนักท่องเที่ยวในเรือลำอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้าบ้างหลังบ้าง ทิ้งระยะห่างกันพอสมควร

เศียรพระ (เพชรร่วง) ถ้ำเจ็ดคต

เศียรพระ (เพชรร่วง) ถ้ำเจ็ดคต จุดที่เห็นอยู่นี้เป็นคตที่ 6 ผมจำได้แม่นว่าตรงคตที่ 5 เป็นปล่องจากเพดานถ้ำมีแสงทะลุลงมาเป็นลำใหญ่ สว่างไสวอยู่กลางถ้ำ ไกด์เล่าว่าถ้าเรามาในช่วงเวลาก่อนเที่ยง ลำแสงที่เห็นนี้จะมีสายรุ้งพาดให้ชมด้วย ขึ้นอยู่กับสภาพความชื้นภายในถ้ำ เหตุการณ์ประหลาดนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ผมก็ไม่ได้ถายรูปลำแสงจากคตที่ 5 เพราะไกด์ไม่จอดเรือให้อีกอย่างไม่มีที่จอดที่เหมาะๆ ให้เราเลย จากคตที่ 5 ไม่นานก็มาถึงคตที่ 6 ไกด์ชี้มือให้มองไปบนเพดานถ้ำ บริเวณนี้เพดานถ้ำอยู่สูงมากเป็นโถงใหญ่เอาการ เห็นหินงอกหินย้อยอยู่บนเพดานถ้ำมีแสงลอดลงมานิดหน่อย มองจากเรือในบางมุมดูเหมือนกับทับหลัง หินแกะสลักในปราสาทหินที่เห็นอยู่ในภาคอีสาน ผมขอให้ไกด์จอดเรือเพราะเห็นว่ามันสวยมาก พยายามจะถ่ายรูปนี้ออกมาให้ชัดที่สุดแต่ก็อย่างที่บอกว่าสิ่งที่เราเห็นนี้มันอยู่บนเพดานถ้ำที่สูงมากๆ พอใช้กล้องซูมเข้ามาความสวยอาจจะไม่เหมือนกับที่ตาเปล่าเรามองเห็น ไกด์บอกว่าหินงอกที่เห็นบางส่วนมีลักษณะคล้ายกันกับเศียรพระพุทธรูปมากๆ (ถ้าปีนไปดูข้างบน) ก็เลยเรียกว่าเศียรพระ

ส่วนข้อมูลจาก ททท. เรียกว่าเพชรร่วง เพราะที่หินย้อยบนเพดานถ้ำตรงกับปล่องเพดานที่แสงส่องลงมาเป็นหินเป็นมีประกายเพชรแวววาว แต่มองจากลำธารน้ำตรงนี้มองไม่เห็น

ปากทางออกถ้ำเจ็ดคต

ปากทางออกถ้ำเจ็ดคต พ้นคตที่ 6 มาได้ เราก็นั่งเรือมากันเรื่อยๆ ระยะทางที่ต้องนั่งเรือท่ามกลางความมืดจากคตที่ 6 มันยาวกว่าส่วนอื่นๆ จากนั้นเราก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างลอดเข้ามาจากปากถ้ำอีกด้านหนึ่ง ในระหว่างนั้นไกด์รีบเล่าว่า ปากทางถ้ำที่แสงลอดเข้ามาให้เราเห็นนั้นแหละคือคตที่ 7 เรียกกันว่าด้ามขวานทอง (เอะทำไมไม่เหมือนกับข้อมูลตอนแรก สงสัยมั้ยครับ นั่นก็เพราะว่าข้อมูลข้างบนสุดของหน้านี้ได้มาจาก ททท. ส่วนที่ผมเล่านี่มาจากไกด์ที่พายเรือให้ผมนั่ง ถ้าลองพิจารณาดูให้ดี ผมว่าการเรียงลำดับคูหาจากข้อมูลของททท. เรียงจากปากถ้ำที่เป็นทางท้ายน้ำหรือทางที่ผมออก กลับมาที่ต้นน้ำซึ่งเป็นปากถ้ำทางที่ผมเข้า เรียกว่ามันสลับกันง่ายกว่า)

มุมที่เราจะมองเห็นแสงลอดเข้ามาจากปากถ้ำเป็นรูปด้ามขวานเหมือนกับแผนที่ประเทศไทยภาคใต้ จะใช้เวลาน้อยมากไม่กี่วินาทีเรือก็จะล่องตามกระแสน้ำเลยมุมนั้นไป จากนั้นเราก็มาโผล่ที่ปากถ้ำ เรือหลายลำจอดที่นี่ ผมก็เข้าใจว่าจบการนำทางเที่ยวถ้ำเจ็ดคตแต่เพียงเท่านี้ เหลือจากนี้จะต้องขึ้นรถหรือเดินกลับ เพราะที่ถ้ำน้ำลอดแม่ฮ่องสอนมันเป็นแบบนั้น

ถ้ำเจ็ดคต

แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมเรือของเราไม่จอดที่ท่านี้ ทั้งๆ ที่หลายลำจอดที่นี่ ผมว่าคงไม่มีที่จอดไกด์เลยพาเราไปจอดด้านนอกถ้ำ ส่วนนักท่องเที่ยวที่จอดเรือนอกถ้ำหลายคนก็เดินทวนกระแสน้ำเข้ามาในถ้ำ นึกว่ามีอะไรที่น่าสนใจที่แท้เค้าเข้ามาถ่ายรูปปากถ้ำจากข้างในเหมือนกับที่ผมถ่ายมานี่แหละ มันเป็นภาพที่สวยมากจริงๆ ครับ ถ้ำแบบนี้คงมีไม่กี่ที่ในประเทศไทย

สาวยิ้ม ถ้ำเจ็ดคต

สาวยิ้ม ถ้ำเจ็ดคต ทีนี้เมื่อจับต้นชนปลายว่าการเรียงลำดับคูหาของข้อมูล ททท. เรียงจากปากถ้ำด้านนี้เรียกว่าเป็นคูหาแรก ตรงนี้ก็ต้องชื่อว่าสาวยิ้ม ผนังถ้ำด้านในที่ผมถ่ายรูปไว้ก่อนที่เรือจะพาผมออกมานอกถ้ำ เป็นสีเขียวมรกตตรงกับที่บรรยายเอาไว้จริงๆ ลึกเข้าไปในถ้ำมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด หลายคนใช้เวลาจอดเรือพักตรงนี้ในการลงเล่นน้ำในสายน้ำที่ใสและเย็นเอามากๆ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป

ล่องแก่งท้ายถ้ำเจ็ดคต

ล่องแก่งท้ายถ้ำเจ็ดคต เอาละครับสิ่นสุดการเดินทางลอดถ้ำเจ็ดคต ตอนนี้เราออกมาอยู่นอกถ้ำแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ค่อยจะเกี่ยวกับการเดินทางเที่ยวถ้ำสักเท่าไหร่ ก็เพราะเป็นการล่องแก่งเที่ยว อย่างที่รู้ละครับว่า อำเภอมะนังมีสารน้ำหลายสายผ่านไปผ่านมา แล้วก็มาบรรจบกันหลายจุด เข้าเขตวังสายทอง ก็จะมีผู้ให้บริการล่องแก่งเที่ยวหลายเจ้าด้วยกัน แต่ละเจ้าก็มีเส้นทางล่องแก่งไว้คอยบริการหลายแบบ การล่องเรือเที่ยวถ้ำเจ็ดคตก็เป็นหนึ่งในบรรดาบริการเหล่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ให้บริการจะเลือกเอาช่วงไหนเป็นจุดเริ่มต้น เส้นทางยาวแค่ไหน ไปสิ้นสุดจุดไหน ตามความเหมาะสม สำหรับการล่องเรือเที่ยวถ้ำเจ็ดคตที่ผมเลือกมากับชมรมอนุรักษ์การเที่ยวถ้ำเจ็ดคต มีจุดเริ่มต้นก่อนปากถ้ำไม่ไกล แล้วก็ออกมาอีกด้านหนึ่งของถ้ำจากนั้นล่องต่อไปอีก 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางลำโลนบรรจบกับห้วยละงู ไปจบใกล้ๆ กับสถานีอนามัยมะนัง

ล่องแก่งลำโลน-ละงู

ล่องแก่งลำโลน-ละงู สายน้ำในช่วงนี้ไม่เหมาะสำหรับการล่องแก่งเพื่อความสนุกสนานแนวผจญภัย เพราะสายน้ำนี้ค่อนข้างสงบ เรือไหลไปกับสายน้ำ มีการใช้พายประคองปรับทิศทางนิดหน่อยบริเวณที่มีแก่งน้ำเชี่ยวแต่ก็ไม่มากนัก เรียกว่ากล้องที่อยู่ในถุงกันน้ำเอาออกมาถ่ายรูปได้ตามสบายเลย เวลาเรามาหาเรือล่องแก่งรอบๆ บริเวณนี้ ผู้ให้บริการเรือหลายเจ้าจะเลือกเอาช่วงที่น้ำเชี่ยวกว่าช่วงนี้เพื่อความสนุกสนานของนักท่องเที่ยว เราวางแผนที่จะล่องแก่งทั้ง 2 แบบ แต่การได้ล่องระยะทาง 5 กิโลเมตร หลังจากออกจากถ้ำเจ็ดคตถือว่าเป็นเรื่องนอกเหนือจากที่คาดเอาไว้ แต่ก็ดีเหมือนกันได้ล่องเพิ่มมาอีก 1 เส้นทาง ถือว่านั่งเรือชมวิว

ถ้ำเจ็ดคต

ถ้ำเจ็ดคต

ถ้ำเจ็ดคต

ล่องเรือลอด อุโมงค์ต้นไม้

ล่องเรือลอด อุโมงค์ต้นไม้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจจากการล่องแก่งท้ายถ้ำเจ็ดคต แสงยามบ่ายของวันนี้ตกลงมากระทบกับใบไม้ที่ปกคลุม 2 ข้างของลำธาร เป็นแสงสีเขียวอ่อนเรืองรองส่วนผิวน้ำประกายระยิบระยับ เรือของเราลอดผ่านไปอย่างช้าๆ ไกด์ก็ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับต้นไม้รอบๆ บริเวณนี้เท่าที่จะมองเห็น แต่เราก็จำไม่ได้สักอย่าง ^-^ ก็มันเยอะจริงๆ นะครับ

จบการเที่ยวถ้ำเจ็ดคต

จบการเที่ยวถ้ำเจ็ดคต ในที่สุดเรือของพวกเราก็ได้ลอยมาจนถึงสะพานแห่งนี้ เป็นสะพานที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานีอนามัยมะโน ไกด์พาเราจอดเทียบท่าแล้วขึ้นฝั่ง มีรถมาจอดรออยู่ที่นี่ หลายคนช่วยกันยกเรือขึ้นรถ แล้วก็พาเรากลับมาที่ปากถ้ำเจ็ดคตที่รถเราจอดอยู่ จ่ายเงินค่าล่องเรือ 800 บาท ทั้งหมดใช้เวลา 2 ชั่วโมง (ปกติใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เราจอดเรือถ่ายรูปในถ้ำนานกว่าคนอื่น เราก็เลยให้พิเศษกับชมรมอนุรักษ์การท่องเที่ยวถ้ำเจ็ดคตไปอีก 100 บาท) เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เข้าที่พัก พอดีว่าที่พักของเราก็อยู่ใกล้ๆ กับสะพานแห่งนี้ด้วยแหละ ก็เลยขับรถกลับทางเก่า

เป็นไงครับ ถ้ำเจ็ดคตในอีกมุมมองหนึ่งของคนเดินทาง หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับหลายๆ คนได้นะ ถ้าสนใจอยากเที่ยวกับชมรมฯ ติดต่อได้ที่ โทร.080-7135253 , 084-1996624

0/0 จาก 0 รีวิว

10 ที่พัก/โรงแรมใกล้ ถ้ำเจ็ดคต สตูล
Nemi Farm เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  21.55 km | แผนที่ | เส้นทาง
อิงทาน รีสอร์ท
  31.69 km | แผนที่ | เส้นทาง
คิวปิด โฮเต็ล เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  43.29 km | แผนที่ | เส้นทาง
สวีท การ์เดน โฮม รีสอร์ต เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  45.48 km | แผนที่ | เส้นทาง
ละงู ภูผา รีสอร์ท เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  45.97 km | แผนที่ | เส้นทาง
ดาหลา เดอะ รีสอร์ต เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  47.56 km | แผนที่ | เส้นทาง
Baan Lalita Resort เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  49.01 km | แผนที่ | เส้นทาง
ฟาร์มสุข เรสซิเดนซ์ แอนด์ รีสอร์ต เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  49.19 km | แผนที่ | เส้นทาง
Pararim Resort เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  54.97 km | แผนที่ | เส้นทาง
นริศภูวิว รีสอร์ท เช็คห้องว่าง/ราคา/จอง
  56.48 km | แผนที่ | เส้นทาง

*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ

Line id: @touronthai (ใส่ @)
www.touronthai.com