ข้อมูลเพิ่มเติม:0848585100. น้องจุก
091-034-5989 นายก อบต.ทุ่งหว้า
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
จุดเริ่มต้นผจญภัยถ้ำเลสเตโกดอน การเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ณ ปัจจุบันยังไม่มีการติดป้ายบอกทางมากนัก แต่การเดินทางไม่ยาก ด้วยทางหลวงหมายเลข 416 จากตัวอำเภอทุ่งหว้า ไปอีก 10 กิโลเมตร สังเกตุป้าบบอกทางชื่อถ้ำเลสเตโกดอนชี้เข้าสวนยางพาราทางซ้าย เลี้ยวเข้าไปตามสวนยางอีก 100 เมตร สุดทางแล้วเดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงปากถ้ำ เนื่องจากถ้ำแห่งนี้เป็นแหล่งผจญภัยแห่งใหม่ที่ยังไม่มีคนรู้จักมากนัก ทางตำบลทุ่งหว้าก็ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งศูนย์บริการ ห้องน้ำ และสะพานข้ามไปที่ปากถ้ำ ในอนาคตอันใกล้ เราจะมีถ้ำที่น่าเที่ยวสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ช้างสเตโกดอน เป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อจากถ้ำวังกล้วย มาเป็นถ้ำเลสเตโกดอน เพราะในถ้ำแห่งนี้ขุดพบฟอสซิลขากรรไกรและฟันกรามของช้าง อายุ 1.8 ล้านปี จากนั้นมาก็มีการพบฟอสซิลมากมายหลายชิ้นในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสตูล จนทำให้เกิดการตั้งอุทยานธรณีสตูลขึ้น โดยมีนายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ (เสื้อสีน้ำตาล) เป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และพื้นที่ที่สำคัญนี้ก็กำลังจะขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกของบ้านเราด้วย
ในวันเปิดงานสตูลฟอสซิลเฟสติวัล ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 2 นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ และนางวิริยา แก่นแก้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตรัง ก็ได้นำสื่อมวลชนและนักศึกษาเข้าชมถ้ำเลสเตโกดอน
ภายในถ้ำที่ยาวถึง 4 กิโลเมตร มีน้ำไหลผ่านในหลายๆ ช่วง ความกว้างของถ้ำจะไม่พอให้เรือผ่านไปได้ เราก็ต้องลงจากเรือ แล้วเดินไป ส่วนเจ้าหน้าที่จะยกเรือข้ามไปเพื่อพายไปต่อ ในจุดที่น้ำลึก ถึงแม้ว่าถ้ำนี้จะยาวถึง 4 กิโลเมตร แต่การระบายอากาศภายในถ้ำดีมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นอับใดๆ แสงสว่างในถ้ำจะไม่มีเลย มีเพียงแสงจากไฟฉายเท่านั้น แต่การถ่ายภาพเราใช้การเปิดแฟลชถ่ายเพื่อให้ภาพชัด
ส่วนภาพที่เราไม่เปิดแฟลชจะมืดแบบนี้ ถ่ายมาให้ชมเพื่อให้จินตนาการถูก
สาวผมแดง ใช้เวลาไม่นานจากปากถ้ำ ล่องเรือบ้างเดินบ้าง เราจะมาถึงโถงถ้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ มีหินย้อยขนาดใหญ่มากๆ เมื่อมองกลับไปด้านหลัง จะเหมือนกับใบหน้าผู้หญิงที่มีผมสีแดง ผมม้าปิดหน้า ส่วนด้านข้างผูกผมเป็นพุ่ม นี่จะเป็นจุดไฮไลท์ของถ้ำเลสเตโกดอนแห่งนี้ ที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปกลับไป ความมืดของถ้ำทำให้การถ่ายรูปลำบาก แนะนำให้เตรียมแฟลชแยกตัวใหญ่มาด้วย การเดินทางด้วยเรือในถ้ำไม่อันตราย แต่ช่วงที่ลงเดินตรงน้ำตื้นระวังหินลื่น เพียงเท่านี้เราและกล้องก็จะปลอดภัย จะให้มั่นใจยิ่งขึ้นก็มีถุงกันน้ำมาสักใบเท่านี้ก็สบายแล้ว
แมงกะพรุนยักษ์ ระหว่างการเดินทางภายในถ้ำที่ยาวมากนี้เราจะพบเห็นหินย้อยที่ยังเป็นอยู่ หินย้อยเหล่านี้จะมีน้ำซึมเข้ามาจากผนังและเพดานถ้ำ ทำให้มีประกายระยิบระยับสวยงาม แต่การเที่ยวถ้ำพึงจำไว้ว่า อย่าจับหินงอกหินย้อย ไม่งั้นหินเหล่านี้จะตาย ทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับถ้ำเราจะใส่ประโยคนี้เข้าไปเสมอ เข้าใจตรงกันนะ ^^ หินย้อยชุดนี้มองดูแล้วเหมือนแมงกะพรุนผ่าซีก เราเลยเรียกตามที่เห็น ส่วนต่อไปเค้าจะตั้งชื่อว่าอะไรก็ต้องไปลุ้นเอา
การเดินทางของเรายังคงต้องใช้เรือสลับกับการเดินมาเรื่อยๆ อีกหลายครั้ง แต่เราขอข้ามภาพเหล่านั้นไป มาชมหินย้อยขนาดใหญ่ ที่มีน้ำหยดลงมาเยอะเหมือนก๊อกน้ำ หินย้อยชุดนี้ก็เป็นอีกชุดหนึ่งที่มีความสวยงามและเตี้ยมาก การที่น้ำหยดจะทำให้หินย้อยงอกยาวออกมา บอกอีกทีว่า อย่าจับนะ
นี่ก็คือภาพเต็มๆ ของหินย้อยที่รูปร่างแปลกดี ถ้าจะให้ตั้งชื่อ อยากจะเรียกหินย้อยชุดนี้ว่า หัวลูกช้างสเตโกดอน เพราะเหมือนหัวช้างเล็กๆ มีงวงยาวๆ ^^
แต่ละจุดที่มีหินย้อยที่เป็นอยู่และมีรูปร่างแปลกๆ สวยๆ ชาวบ้านที่ตั้งกลุ่มมาให้บริการเรือลอดถ้ำ จะจอดให้เราถ่ายรูปกันจนพอใจ เรียกว่าไม่ได้กำหนดอะไรกับเรามากนัก เป็นการเที่ยวถ้ำที่สบายใจดีแท้ ส่วนช่วงเวลาจะเดินในน้ำ เค้าจะจอดให้เราลงเดินเฉพาะจุดที่จำเปิดจริงๆ เท่านั้น บางจุดที่น้ำตื้นเรือพายไปไม่ได้ แต่ทางเดินลื่นมากๆ เค้าจะให้เรานั่งในเรือแล้วลากเรือไป เรียกว่าบริการทุกระดับประทับใจคร้าบ
หินย้อยหลอดกาแฟ ความรู้หนึ่งที่เราได้มาจากการเดินถ้ำทั่วประเทศก็คือ การกำเนิดหินย้อย จะเริ่มต้นจากการมีรูปร่างเล็กๆ เรียวยาว บางอันตรงกลางจะกลวงเหมือนหลอด ขนาดพอๆ กับหลอดดูด เจ้าหน้าที่ที่ถ้ำพุเตย จังหวัดอุทัยธานี บรรยายให้เราฟังว่า หินย้อยจะเกิดมามีขนาดเท่าหลอดแบบนี้แล้วค่อยๆ เติบโตไปมีรูปร่างและขนาดใหญ่ขึ้น ถ้ำที่ยังเป็นอยู่ จะพบเห็นหินย้อยหลอดกาแฟ แต่ก็มีจำนวนไม่มากแห่งนัก แต่ที่ถ้ำเลสเตโกดอน มีหลอดกาแฟนับร้อยเรียงติดกันบนเพดาน สวยงามแปลกตา
หลังจากที่ทั้งพายทั้งลากเรือมาถึงจุดที่เป็นดอนสามารถเดินไปได้ เค้าก็จะเอาเรือมาคว่ำให้น้ำออกจากเรือ พอไปถึงจุดที่จะพายอีกทีก็จะได้นั่งสบาย บริการขนาดนี้ จะหาได้จากที่ไหนละครับ
น้ำตกในถ้ำ เป็นจุดที่ชาวบ้านชี้ให้เราดู จากผนังของถ้ำท่าทางจะมีรอยแยกเล็กๆ ให้น้ำซึมผ่านเข้ามาได้ ในบางช่วงที่น้ำมากน้ำจะซึมเข้ามาเยอะจนเหมือนน้ำตก พอตกตะกอนกลายเป็นหินย้อยก็มีรูปร่างเหมือนน้ำตกไหลออกมาจากผนังน้ำจริงๆ
จากจุดนี้ไปน้ำก็จะลึกประมาณเท่าเอวเรือทุกลำก็จะพายไปได้สบายมาก
จุดนี้ก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีหินย้อยสวยๆ ออกมาจากผนังถ้ำ เวลาโดนแสงตะเกียงหรือไฟฉายหรือแสงแฟลช ประกายระยิบระยับบนหินย้อยที่ยังเป็นอยู่ก็จะสะท้อนให้เราเห็น
ส่วนตรงนี้เหมือนดอกทิวลิปคว่ำเลย เป็นหินย้อยขนาดใหญ่มากๆ เทียบกับคนในเรือ หินงอกหินย้อยในถ้ำ จะมีการเติบโตประมาณปีละ 1 มิลลิเมตร ถ้าหินย้อยยาว 3 เมตร ก็น่าจะราวๆ 3 พันปี ดูจากความสูงของถ้ำแล้ว เมื่อก่อนน้ำทะเลน่าจะท่วมเข้ามาเกือบถึงเพดานถ้ำ เพราะ หลายพันปีที่แล้ว น้ำทะเลสูงกว่าตอนนี้อยู่ประมาณ 4-5 เมตร หลักฐานอย่างหนึ่งก็คือ เขาตะปูที่พังงา มีรอยน้ำทะเลเซาะอยู่สูงกว่าน้ำทะเลปัจจุบันอยู่ 4 เมตร นั่นเอง
ปีกกินรี อันนี้ไม่ได้ตั้งชื่อเองซะแล้ว เพราะชาวบ้านเตรียมชื่อไว้ให้เราเรียบร้อยแล้วหลังจากที่เราล่องเรือมาได้พอสมควรจนเกือบจะถึงทางออกจากถ้ำ ชาวบ้านฉายไฟฉายให้ดูแล้วบอกว่านี่เค้าเรียกปีกกินรี รูปร่างของหินย้อยที่เหมือนปีกจริงๆ
หัวใจที่ปลายถ้ำ ก่อนจะถึงทางออกจะมีโพรงอีกช่องหนึ่ง ขึ้นไปด้านบน ชาวบ้านเรียกว่าหน้าต่างถ้ำ ส่วนด้านที่เป็นประตูคือด้านที่ดูเหมือนรูปหัวใจ รวมแล้วถ้ำเลสเตโกดอนที่ยาวถึง 4 กิโลเมตร มีช่องเข้าออกได้ 3 ช่อง มี 2 ช่องที่อยู่ไม่ไกลกันมาก และเป็นโพรงขึ้นด้านบน ทางที่นิยมก็เลยเหลือ 2 ช่องที่เราเข้ามาและกำลังจะออกไป ถึงแม้ช่องเข้าออกจะมีแค่ 2 ช่องเทียบกับความยาว 4 กม. แต่อากาศถ่ายเทได้ดีมาก มีค้างคาวอาศัยอยู่ใกล้ๆ ช่องทางออก แต่ก็ไม่มีกลิ่นอับใดๆ เพราะโถงถ้ำเพดานสูงมาก ความกว้างของถ้ำก็กว้างมากๆ จุดที่เราเข้ามาเป็นน้ำจืด กลางๆ ถ้ำจะเริ่มเป็นน้ำกร่อย ยาวมาจนถึงทางออกนับว่าแปลกมากและน่าจะมีแห่งเดียวในประเทศไทย
หัวใจที่ปลายถ้ำ เมื่อพบหัวใจนี้แล้ว ก็เป็นอันจบเส้นทางผจญภัยในถ้ำเลสเตโกดอนของเรา รวมเวลาการล่องเรือชมถ้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
พอถึงทางออกเราต้องลงจากเรือไปยืนรอบนบันได ให้เค้ายกเรือข้ามหินแล้วค่อยลงเรือไปกันต่อ
อำลาถ้ำเลสเตโกดอน สายน้ำที่ไหลออกจากถ้ำเลสเตโกดอนจะไหลไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ลงสู่ทะเล ระหว่างนั้นจะเป็นพื้นที่ป่าชายเลน เราต้องมาต่อเรือหางยาวเพื่อที่จะไปท่าเรือที่รถจอดรออยู่ ใช้เวลานั่งเรือหางยาวประมาณครึ่งชั่วโมง ผ่านแนวป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์เขียวขจีกว้างใหญ่ 2 ฟากของสายน้ำ
ท่าเรือที่เราจะไปก็คือท่าเรือบ้านท่าอ้อย เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ของชาวบ้านใกล้ๆ กันก็จะมีการเลี้ยงปลากระชังมากมายเรียงรายกันไป จบเส้นทางผจญภัยถ้ำฟอสซิลดึกดำบรรพ์ ไว้เพียงเท่านี้ อยากชวนให้ลองมาเส้นทางสายนี้ดูสักครั้ง เป็นผจญภัยเล็กๆ ในถ้ำใหญ่ สนุกถึงใจทุกย่างก้าว
ขอขอบคุณ
อุทยานธรณีสตูล
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตรัง มา ณ โอกาสนี้ ด้วยครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ