×

เวียงกุมกาม เชียงใหม่

เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เป็นเมืองโบราณที่พญามังราย (พ่อขุนเม็งราย) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้านเพื่อไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ในคูเวียง โบราณสถานที่ปรากฎอยู่ในเวียงกุมกาม และใกล้เคียง จากการสำรวจพบว่ามีอยู่ 20 แห่ง ทั้งที่เป็นซากโบราณสถาน และเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ แต่ละแห่งอยู่กระจัดกระจายกัน มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 21-22

    ปัจจุบันเวียงกุมกาม อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ ประมาณกิโลเมตรที่ 3-4 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ในเขตตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี และอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำปิงด้านทิศตะวันออก การเดินทาง เข้าทางตู้ยามหนองหอยและตรงมาจนทะลุแยกเกาะกลางป่ากล้วยตรงต่อไปจนถึงตู้ยามเจดีย์เหลี่ยม

    ชาวบ้านจัดบริการรถราง และรถม้า เพื่อพานักท่องเที่ยวชมโบราณสถานเวียงกุมกามจำนวน 10 แห่ง ได้แก่ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดธาตุน้อย วัดช้างค้ำ วัดธาตุขาว วัดพญามังราย วัดพระเจ้าองค์ดำ กู่ป้าด้อม วัดปู่เปี้ย วัดหนานช้าง และวัดอีก้าง ใช้เวลานำชมประมาณ 45 นาที ค่าบริการรถม้า 250 บาท รถรางคนละ 15 บาทหรือเหมาคันประมาณ 400 บาท นอกจากนี้ยังรับจัดกิจกรรมเลี้ยงขันโตกและสาธิตภูมิปัญญาพื้นบ้านบริเวณเวียงกุมกาม

    สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 08 6193 5049, 08 1027 9513

ประวัติเวียงกุมกาม
แว่นแคว้นแห่งลุ่มน้ำแม่ระมิงค์ เรื่องราวของผู้คนและบ้านเมืองในภาคเหนือตอนบนนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะปรากฏอยู่ในหนังสือพงศาวดารหรือตำนานทางพุทธศาสนา หรือไม่ก็นิทานพื้นบ้านปรัมปรา แฝงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีบุญมาเกิด เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ทวยราษฎร์ให้เล่าขานสืบต่อกันมา เรื่องราวที่จะกล่าวต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของ พญามังราย ซึ่งมีมูลเหตุน่าเชื่อถือได้ว่า เป็นเหตุการณ์ในยุคสร้างบ้านแปงเมืองในดินแดนแถบนี้

เชื่อกันว่า พญามังราย บรรพกษัตริย์ผู้ครอบครอง และสืบทอดราชวงศ์ลวจังกราช เหนือราชบัลลังก์เมืองหิรัญนครเงินยาง แห่งแคว้นโยนโรบราณอันกว้างใหญ่ แถบลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำสาย และแม่น้ำกก ได้เสด็จเร้อมด้วยไพร่พลมาที่ดอยจอมทอง ซึ่งตั้งอยู่ตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ริมแม่น้ำกกที่ไหลมาแต่เทือกเขาสูงทางทิศเหนือ ณ ดอยแห่งนี้ พระองค์โปรดให้สร้างเวียงแห่งใหม่ขึ้น เมื่ประมาณปี พ.ศ.1806 มีนามว่า เชียงราย หรือเวียงแห่งพญามังราย

เพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพและขยายอาณาเขตพระองค์จึงเสด็จขึ้นไปทางเหนือไปรวบรวมรี้พล และสร้างเวียงฝางไว้เป็นเมืองหน้าด่าน อีกมั้งยังได้สำรวจเส้นทางในลุ่มน้ำแม่ระมิงค์หรือสายน้ำแห่งชาวรามัญเพื่อขยายดินแดน ลงมาทางใต้เพราะทรงทราบถึงเกียรติศัพท์อันร่ำลือว่า หริภุญไชยเป็นแคว้นใหญ่ร่มเย็นด้วยพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบสุขมั่งคั่ง มีศิลปะวิทยาการเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาลครั้งพระนางจามเทวี จึงทรงปรารถนาที่จะรวมแคว้นหริภุญไชยให้อยู่ในเขตขัณฑสีมาแห่งพระองค์ ในที่สุด พระองค์ก็ยกกำลังพลเข้ายึดครองหริภุญไชยได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 1824

อีก 2 ปี ต่อมา ทรงดำริว่า หริภุญไชยเป็นเวียงศูนย์กลางพุทธศาสนา มีความคับแคบเกินไป การจะขยายเวียงเพื่อรองรับชุมชนจำนวนมากทำได้ยาก จึงทรงมอบเวียงหริภุญไชยให้อ้ายฟ้าดูแล แล้วนำกำลังรี้พลพร้อมด้วยราษฎรไปตั้งมั่นอยู่ที่ บ้านแซว หรือ ชแว เพื่อพิจารณาทำเลที่เหมาะสมสำหรับสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางการปกครองและการค้าขาย ตลอดจนมีพื้นที่เหมาะสมกับการเกษตรกรรม ทรงเลือกพื้นที่บ้านกลาง บ้านลุ่มและบ้านแห้ม โปรดให้สร้างเวียงใหม่ขึ้นปี พ.ศ. 1829 ณ บริเวณที่แม่น้ำปิงหรือน้ำแม่ระมิงค์ไหลผ่านทางด้านทิศเหรือ และทิศตะวันออก ด้วยพิเคราะห์ว่าแม่น้ำปิงสายนี้จะเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างดินแดนทางด้านทิศเหนือ และทิศใต้ ทรงให้ขุดคูเวียง 3 ด้าน ใช้น้ำแม่ระมิงค์เป็นคูเวียงธรรมชาติด้านทิศเหนือ ก่อกำแพง 4 ด้าน มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมสร้างที่ประทับเรือนหลวงภายในเวียงด้วยฐานะที่เป็นเมืองหลวงควบคุมดูแลการเมืองการปกครองหัวเมืองน้อยใหญ่ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ เวียงนี้จึงได้ชื่อเรียกขานกันทั่วไปว่า "เวียงกุ๋มก๋วม" หรือ "เวียงกุมกาม" ในเวลาต่อมา

อาจด้วยเพราะเวียงกุมกามตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มบริเวณคุ้งน้ำเมื่อย่างเข้าหน้าฝน พื้นที่โดยรอบก็จะชุ่มแฉะ คราวใดที่แม้น้ำปิงมีปริมาณน้ำสูงมาก ก็จะถาโถมเข้าท่วมเวียงได้ง่าย หลักฐานจากชั้นดินในการขุดค้นทางโบราณคดีและการขุดแต่งโบราณสถานในเวียงกุมกาม ยืนยันความจริงว่าเวียงกุมกามประสบปัญหาเรื่องน้ำท่วม ทั้งนี้เห็นได้จาก โบราณสถานวัดร้างหลายแห่งพบอยู่ทั้งในเวียงและนอกเวียงนั้น ถูกดินเหนียวร่วนปนกรวดทราย ซึ่งเป็นตะกอนน้ำพัดพา กลบฝังอยู่ลึกประมาณ 1.50-2.00 เมตร ส่งผลเสียหายแก่บ้านเมืองอยู่เป็นประจำ เป็นเหตุให้พญามังรายทรางย้ายมาสร้างเวียงใหม่ ณ บริเวณที่พระองค์พร้อมด้วยพระสหาย คือ พ่อขุนรามคำแหง แห่งเมืองสุโขทัย และพญางำเมือง แห่งเมืองพะเยา พิจารณาร่วมกันว่าบริเวณพื้นที่ราบลุ่ม มีความลาดเอียงไปทางทิศตะวันออกอยู่ระหว่างอุสุจบรรพตหรือดอยสุเทพทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กับแม่น้ำปิงซึ่งไหลผ่านมาทางด้านทิศตะวันออกนั้น เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม จึงโปรดให้สร้างเวียงแห่งใหม่ มีชื่อว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาแทนเวียงกุมกามเมื่อปี พ.ศ.1839

แม้ศูนย์กลางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ศิลปะ และวิทยาการต่างๆ จะย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้วในช่วงเวลานั้น เวียงกุมกามก็ยังคงความสำคัญโดยเฉพาะกับราชวงศ์มังราย มีผู้คนอยู่อาศัยสืบต่อกันมา เห็นได้จากเมื่อครั้งที่ มีงานอภิเษกแต่งตั้งพระนางปายโคขึ้นเป็นราชเทวี และงานฉลองยศอุปราชเจ้าพญาไชยสงครามราชโอรส พญามังรายโปรดให้มีการเฉลิมฉลองทั้งเวียงเชียงใหม่และเวียงกุมกามถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เมื่อครั้งประชวรก็โปรดที่จะเสด็จมาประทับพักผ่อนที่เวียงกุมกาม ครั้นสิ้นสมัยของพญามังรายแล้ว มีเรื่องเล่ากันว่า นางจีมคำ พระราชเทวีของพญาแสนภู ได้เสด็จเยี่ยมเวียงกุมกามโดยข้ามน้ำแม่โทอยู่บ่อยครั้ง จนได้เรียกบริเวณนี้ว่า ขัวจีมคำ หรือสะพานจีมคำ ล่วงมาถึงสมัยพญากือนา ซึ่งมีความกล่าวไว้ในศิลาจารึกพบที่วัดพระยืนว่า มีผู้คนจำนวนมากจากหริภุญไชย เชียงใหม่ และเวียงกุมกาม ร่วมกันเป็นศรัทธาทำบุญถวายทาน แด่พระสุมนเถระที่พญากือนาอาราธนามาแต่เมืองสุโขทัย เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา จนถือได้ว่าเป็นการเริ่มยุคทองของพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนา ต่อมาในสมัยพญาแสนเมืองมา พระองค์เสด็จมาเวียงกุมกามเพื่อหล่อพระพุทธรูปเจ้าสิกขี 1 องค์ แล้วให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดกานโถมช้างค้ำ กลางเวียง

เวียงกุมกาม เริ่มประสบปัญหาความยุ่งยาก เมื่อท้าวมหาพรหมเจ้าเมืองเชียงราย ได้นำกำลังพลจำนวนหนึ่งเข้ามากวาดต้อนผู้คนที่เวียงกุมกาม เพื่อเข้าตีเวียงเชียงใหม่ แต่ไม่สามารถต้านกำลังรบของพญาแสนเมืองมาได้ จึงยกทัพกลับไป เวียงกุมกาม ใช่จะมีความสำคัญเพราะเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของเวียงเชียงใหม่เท่านั้น แต่ชื่อ กุมกามดูเหมือนจะเป็นชื่อที่คุ้นเคย ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อราชบุตรของพญาแสนเมืองมา คือ ท้าวยี่กุมกาม ด้วย อย่างไรก็ตามในสมัยพญาติโลกราช เวียงกุมกามมีฐานะเป็นเพียงพันนาหนึ่งของเวียงเชียงใหม่ โดยมีหมื่นกุมกาม เป็นผู้ปกครองดูแลต่อมาในสมัยพระเมืองแก้ว พระองค์เสด็จมาบำเพ็ญกุศลสร้างวิหาร และอัญเชิญพระประติมาทองสำริด มาประดิษฐานบนแท่นชุกชีที่วัดกุมกามทีปาราม หรือ วัดเกาะกุมกามด้วย

ในปี พ.ศ.2101 เชียงใหม่เสียแก่พม่า ผลของสงครามและฐานะของความไร้อิสระภาพ ประกอบกับอุทกภัยทางธรรมชาติหลายครั้งหลายหน อาจมีส่วนทำให้เวียงกุมกามหมดความสำคัญสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดสมัยการปกครองของพม่าที่ยึดครองล้านนาอยู่ 216 ปี แม้ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 24 เวียงกุมกามคงเป็นแค่ตำนานของผู้คนในเวียงเชียงใหม่ ครั้งเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชพร้อมด้วยพระยาจ่าบ้านได้ยกทัพมาต่อสู้กับพม่าที่ ท่าวังตาล ยังไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวถึงชื่อ กุมกาม ตราบจนตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเวียงเชียงใหม่พระองค์แรก ได้ฟื้นฟูบ้านเมืองโดยใช้นโยบาย "เก็บผักใส่ผ้า เก็บข้าใส่เมือง" ทำให้ผู้คนมาตั้งถิ่นฐานในเวียงเชียงใหม่มากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงบริเวณเวียงกุมกามด้วย ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีบันทึกชัดเจนว่า ผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยเป็นชุมชนขนาดเล็กที่ "บ้านช้างค้ำ ท่าวังตาล" กระทั่งปี พ.ศ.2527 เป็นต้นมา กรมศิลปากรสำรวจและขุดค้นพบโบราณสถาน วัดร้างหลายแห่ง มิติของเมืองในตำนานเริ่มฉายภาพเด่นชัดขึ้น จนกระทั่งเป็นข้อยุติว่า ท่าวังตาล คือ ที่ตั้งแห่ง "เวียงกุมกาม รุ่งอรุณแห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"

เวียงที่สูญหายและหวนคืน เวียงกุมกามปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าวังตาล องค์การบริหารส่วนตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหอย อำเภอเมือง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 5 กิโลเมตร จากการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศและการสำรวจทางโบราณคดี มีร่องรอยแนวกำแพงเวียงทางทิศใต้คูเวียงทางทิศเหนือและทิศตะวันออก สันนิษฐานตามสภาพว่า เวียงมีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 600 เมตร ยาว 850 เมตร โดยประมาณ สำนักงานศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ กรมศิลปากร ดำเนินการขุดค้นขุดแต่ง และอนุรักษ์โบราณสถาน ทั้งภายในและนอกเวียงแล้ว จำนวน 42 แห่ง ยืนยันว่าฐานโบราณสถานทุกแห่งถูกทับถมด้วยตะกอนน้ำท่วม ในระดับ 1-2 เมตร เวียงกุมกามในปัจจุบันจึงมีสภาพดังเช่น "นครโบราณใต้พิภพ" ที่ถูกเปิดเผยออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้

ศิลปกรรมในเวียงกุมกาม โบราณสถานที่โดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม ล้วนเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนา ได้แก่ เจดีย์เหลี่ยม ที่พญามังรายโปรดให้สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 19 โดยถ่ายแบบสถาปัตยกรรมมาจาก เจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน องค์เจดีย์มีฐานสี่เหลี่ยมประดับซุ้มพระโดยรอบ ซ้อนชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2451 มีการบูรณะซ่อมแซมใหญ่ โดยช่างชาวพม่า ทำให้ลวดลายปูนปั้น และประติมากรรมพระพุทธรูปในซุ้มเป็นศิลปะแบบพม่า
เจดีย์ที่วัดหัวหนอง มีช้างหมอบคู้ขาหน้าล้อมรอบฐานเจดีย์ลักษณะเดียวกันกับช้างล้อมที่เจดีย์รุวันเวลิ ในประเทศศรีลังกา เป็นอิทธิพลศิลปะสุโขทัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-20
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมในเวียงกุมกาม ได้พัฒนาเป็นศิลปะล้านนาอย่างแท้จริง โดยสร้างเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีเรือนธาตุสูง ประดับลูกแก้วอกไก่และชุดมาลัยเถามียอดเป็นองค์ระฆังขนาดเล็ก เช่น เจดีย์ที่วัดกู้ไม้ซ้ง วัดธาตุขาว วัดอีก้าง วัดกู่ขาว เป็นต้น เจดีย์บางองค์มีเรือนธาตุสูง และประดับซุ้มพระ 4 ด้าน โดยมีชุดมาลัยเถารองรับองค์ระฆังขนาดเล็ก เช่นเจดีย์ที่วัดปู่เบี้ย
วัดวาอารามบางแห่งที่เพิ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ.2544 เป็นต้นมาไม่ปรากฏยอดเจดีย์ แต่มีฐานเจดีย์ วิหาร กำแพงแก้ว ผังจมอยู่ใต้พื้นดิน 1-2 เมตร ยังคงรักษางานลวดลายปูนปั้นที่วิจิตร งดงามไว้เป็นอย่างดี เช่นหัวบันไดมกรคายนาค ลายประดับสิงห์ เหมราช กิเลน ที่วัดหนานช้าง หงส์ ที่วัดหัวหนอง เทวดาปูนปั้นแบบนูนสูงและลวดลายปูนปั้นมกรคายมังกร ที่วัดกู่ป้าด้อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์ดินเผาสกุลช่างหริปุญไชย เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง-ชิง และชิ้นส่วนพระพุทธรูป ซึ่งข้อมูลโดยละเอียดรับทราบได้จาก "ศูนย์ข้อมูลเวียงกุมกาม"

วิถีชีวิตของผู้คนในเวียงกุมกาม ย่อมหนีไม่พ้นกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่ด้วยจารีตประเพณีอันสืบเนื่องมาจากข้อกฏหมายโบราณที่เรียกว่า "มังรายศาสตร์" ซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยว เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนมาแต่โบราณกาล ทำให้กลิ่นอายของล้านนายังคงอบอวลอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้คนที่เรียกตนเองว่า "คนเมือง"
ประจักษ์พยานเห็นได้จาก งานรื่นเริง และงานบุญในเทศกาลสำคัญทางพุทธศาสนา ที่ประกอบด้วยพิธีกรรม การแต่งกาย ศิลปะการแสดง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมโดยความร่วมมือของฝ่ายการเมือง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น กำลังดำเนินการฟื้นฟู และอนุรักษ์เวียงกุมกามให้คืนสู่บรรยากาศในอดีตที่รุ่งเรืองของ รุ่งอรุณแห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เป็น "เมืองประวัติศาสตร์" ที่มีวิถีชีวิตของผู้คนอยู่ร่วมกันกับโบราณสถานอย่างเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน


พิกัด GPS เวียงกุมกาม เชียงใหม่:
18.750925,98.998584
กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ
0/0 จาก 0 รีวิว
ผู้ชม 1975 ครั้ง
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่
เวียงกุมกาม เชียงใหม่

แผนที่ เวียงกุมกาม เชียงใหม่คลิกที่นี่

×

วิธีใช้งาน touronthai mini

  ดูข้อมูลของรูปภาพกดที่รูปภาพนั้น

  ใต้รูปภาพจะมีปุ่มอยู่ 6 ปุ่ม
  • ปุ่มแรก คือ ปุ่มวิธีใช้ที่คุณเพิ่งกด
  • ปุ่มที่ 2 คือ ปุ่มแสดงข้อมูลของสถานที่ที่คุณกำลังดู
  • ปุ่มที่ 3 คือ เส้นทางไปยังสถานที่ที่คุณกำลังดู
  • ปุ่มที่ 4 คือ ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่คุณกำลังดู
  • ปุ่มที่ 5 คือ ที่เที่ยวที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่คุณกำลังดู
  • ปุ่มที่ 6 คือ โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ที่คุณกำลังดู
ขอบคุณที่เข้ามาชม touronthai mini หวังว่าเว็บของเราจะมีประโยชน์กับคุณ
insert_emoticon

Log in

สอบถามการใช้งาน/แจ้งปัญหาการใช้งาน
@touronthai

10 ที่พัก/โรงแรมใกล้ เวียงกุมกาม เชียงใหม่

*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ

10 ที่เที่ยวใกล้ เวียงกุมกาม เชียงใหม่

*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ

ร้านอาหารใกล้ เวียงกุมกาม เชียงใหม่

*อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล*
ร่วมส่งร้านโปรดของคุณให้ทุกคนรู้จักคลิก ..

*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ

Access denied for user ''@'localhost' (using password: NO)