เพิ่งรู้ว่าจักรยานแรลลี่มันสนุกขนาดเน้
ปั่นจักรยานเที่ยวเส้นทางแสนสนุก นครปฐม ดำเนินสะดวก อัมพวา ผ่านหลายตลาด หลายวัด หลายชุมชน พบปะผู้คนมากมาย ได้เพื่อนใหม่ๆ และที่สำคัญ นี่มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้ปั่นจักรยาน นั่งรถ ลงเรือ เดินเที่ยว ในทริปเดียวกัน
เส้นทางปั่นจักรยานแรลลี่ที่ทำให้เราได้ประสบการณ์แปลกใหม่เส้นทางสายนี้มันครบรสจริงๆ เริ่มตั้งแต่ ศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาไทยปิยะชนก
ที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องราวของภูมิปัญญาไทยตามชื่อของศูนย์ที่เปิดขึ้นมา ตั้งอยู่ที่ถนน บ้านดอนยายหอม หมู่ 2 ตำบล ดอนยายหอม อำเภอเมืองนครปฐม เป็นสถานที่นัดหมายพบกันของเหล่านักปั่นจากหลายจังหวัดที่สนใจมาร่วมเส้นทางปั่นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวหิน สมุทรปราการ กรุงเทพ สิงห์บุรี ฯลฯ เราเลือกที่จะมาเรียนเรื่องการทำเทียนอบขนม หนึ่งในภูมิปัญญาไทยที่หาดูยาก ที่สอนก็น้อย ที่เอามาทำขนมขายยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ จนทุกวันนี้คนไทยคงจะเริ่มลืมไปแล้วว่าขนมอบควันเทียนกลิ่นมันหอมยังไง
ที่จริงการทำเทียนอบขนมมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดส่วนผสมมันก็ทั่วๆ ไปหาไม่ยาก แล้วแต่ว่าเราจะทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ นอกจากจะใช้อบขนมเพิ่มความหอมด้วยกลิ่นอันแสนพิเศษ ที่ศูนย์ปิยะชนกยังใช้เทียนอบขนมทำกาแฟอบควันเทียน หนึ่งเดียวในโลกด้วยนะนี่ อยากรู้ว่าจะหอมหวลแตกต่างจากกาแฟทั่วไปยังไงลองแวะมาชิมกัน
ทุกคนเดินชมรอบบริเวณศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาไทยปิยะชนก กินข้าวจากพืชผักที่ปลูกในศูนย์ มีเมนูง่ายๆ ให้อิ่มท้อง ลองชิมกาแฟอบควันเทียนกันจนเป็นที่เรียบร้อยเราก็พร้อมที่จะออกเดินทาง กับกิจกรรมปั่นแรลลี่ทวารวดี เส้นทางนครปฐม ดำเนินสะดวก กันแล้ว มีการแนะนำตัวอย่างคร่าวๆ พอให้รู้จักหน้าค่าตาแล้วการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น
เส้นทางแรกของเราวันนี้เป็นเส้นทางที่ชุ่มฉ่ำด้วยฝนที่โปรยปรายนิดหน่อยก่อนเดินทาง เมฆครึ้มอากาศเย็นสบาย ปั่นท่ามกลางธรรมชาติและท้องทุ่ง จากศูนย์ปิยะชนกเดินทางไปวัดหนองสองห้อง จุดพักรถจุดแรก
ในวัดหนองสองห้องมีเจดีย์สวย มีวิหารหลวงพ่อพระพุทธสิลา ชาวบ้านนับถือศรัทธากันมาก มีสายน้ำเล็กๆ อยู่ข้างวัดกลายเป็นวังมัจฉามีปลาแรดตัวโตๆ มารออาหารจากพวกเรา มีสะพานไม้ให้ถ่ายรูปกันเพลิน สำหรับการพบกันครั้งแรกของนักปั่นแปลกหน้า เราคุยกันอย่างสนุกเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทางให้มากขึ้น กิจกรรมแรลลี่มีการแบ่งกลุ่ม ให้แต่ละคนที่มาด้วยกันคละไปอยู่กลุ่มอื่น คราวนี้ได้เพื่อนใหม่อีกเพียบ
พักผ่อนกันจนหายเหนื่อย เราก็ออกเดินทางกันต่อไปที่โครงการสวนพาฝันโคโคนัทสตอรี่ ตอนนี้กำลังสร้างอยู่เลยคาดว่าจะเสร็จเร็วๆ นี้ เลยยังไม่มีอัพเดทอะไรมาเล่า เดี๋ยวคงได้กลับมาใหม่ จากนั้นเราก็ไปกันต่อที่จุดหมายของการปั่นสำหรับวันแรก วัดปราสาทสิทธิ์ หรือวัดประสาทสิทธิ์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือวัดหลัก 5 เป็นที่จอดรถที่ดีที่สุดสำหรับคนมาเที่ยวตลาดหลัก 5 ได้ไหว้พระทำบุญ กันด้วย
รถจักรยานของพวกเราจะจอดไว้ที่นี่ ทีมเซอร์วิส จะยกขึ้นรถตู้ ต่อจากนี้ไปพวกเราจะเดินทางกันด้วยทางเรือ เป็นอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับการปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง ปกติเราจะปั่นๆๆๆ เที่ยวอย่างเดียว แต่นี่จะมีการได้นั่งเรือด้วย ทีมจัดถือว่าจัดได้แปลกดีไม่เหมือนใคร
ที่ตลาดหลัก 5 เราไม่ได้แค่มาเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้นนะ ยังมีกิจกรรมแรลลี่สะสมคะแนนอีกหลายอย่างที่ทำให้พวกเราต้องเดินวนไปวนมารอบตลาด เดินไปช้อปไป หาภาพปริศนาไป อย่างฮาเลยทริปนี้
แต่ละกลุ่มสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร ถึงเราจะมาจากคนละที่แต่พอมาที่นี่ความสามัคคีต้องมาก่อน
หมดเวลาของกิจกรรมเก็บสะสมคะแนนแรลลี่ที่ตลาดหลัก 5 ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะออกเดินทางกันด้วยเรือ การนั่งเรือวันนี้ยาวมาก ไม่มีใครเคยมาที่นี่และนั่งเรือยาวแบบนี้มาก่อน คือนั่งจากหลัก 5 ไปหลัก 6 จากนั้นเข้าสวนมะพร้าว แล้วออกมาที่ตลาดเหล่าตั๊กลัก ขึ้นท่าที่ดำเนินสะดวก การนั่งเรือทริปนี้ทำให้เรารู้ว่าการขุดคลองสายนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับคนสมัยก่อนที่มีแค่สองมือ ไม่มีรถแบคโฮอย่างทุกวันนี้ เพราะนั่งเรือเฉยๆ ก็นานแล้ว แล้วนึกถึงตอนที่ขุดกันทีละเมตรสองเมตร มันจะนานขนาดไหน นับถือบรรพบุรุษของพวกเราจริงๆ
ถึงหลัก 6 มีชุมชนเล็กๆ ที่ยังอาศัยอยู่ริมน้ำ เงียบกว่าที่หลัก 5 เยอะเลย แต่ที่นี่ของขึ้นชื่อที่เปิดขายกันมานานก็ยังคงอยู่ อย่างน้อยๆ เห็นอยู่ 3 อย่าง คือ ขนมเปี๊ยะ ลี้ไพรวรรณ ข้าวต้มกุ๊ยเจ๊หมวยหลัก 6 และร้านขายยาสมุนไพร เก่าแก่มากๆ ทำให้นึกถึงสมัยที่เราต้องไปเจียดยาตามที่แม่สั่ง ใช้คำว่าเจียดยาจริงๆ เพราะสมุนไพรจะขายด้วยการชั่งน้ำหนัก เอากี่บาทกี่ชั่ง ว่ากันไปตามสูตรยาที่ได้มาส่วนมากก็จะได้มาจากวัด เข้าโรงงานขนมเราก็อยู่กันนาน มาเจอร้านข้าวต้มกุ๊ยก็กินกันอีก มาร้านยาก็ยิ่งอยู่นานเข้าไปใหญ่เพราะร้านยาสมุนไพรแบบนี้นับวันจะน้อยลงๆ จนหาไม่เจอแล้ว
สำหรับข้าวต้มกุ๊ยเจ๊หมวยหลัก 6 ไม่มีป้ายชื่อร้านนะ แต่คนที่นี่เค้ารู้จักดีเพราะทำมานานมาก กับข้าวที่กินกับข้าวต้มกุ๊ยมีขายด้วยชอบแบบไหนก็ซื้อกันไป เก็บไว้ได้นานเลย
ยาสมุนไพรแผนโบราณ ที่หลัก 6
หลังจากที่เดินชิมนู่นนี่นั่นกันจนอิ่ม บางคนก็จัดซะเต็มที่อิ่มจริงจัง เพราะขนมอร่อย ข้าวต้มก็อร่อย เราเดินทางต่อด้วยเรือไปที่สวนแม่ทองหยิบ เจ้าของสวนอายุ 88 ปี แล้วยังคงเดินเหิรได้อยู่ ถือว่าแข็งแรงอยู่มาก ในสวนนี้มีพื้นที่กว้างแบ่งปลูกพืชผักหลายอย่าง ทั้งมะพร้าว ส้มโอ มะนาว กล้วย ฯลฯ ประสบความสำเร็จในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืนแท้จริง จนกำลังจะเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตร สวนผสมผสาน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อีกไม่นานคงมีคนเข้ามาใช้บริการ ด้วยหลักการนี้จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีพืชผลตัวไหนราคาตกต่ำ เพราะยังมีอีกหลายตัวช่วยสร้างรายได้ให้ครอบครัวต่อไปได้
วันนี้ฝนตก ทำให้พวกเราอดนั่งเรือเล็กเข้าไปชมสวนของคุณยาย ก็เลยกินมะพร้าว ชิมส้มโอ ฝรั่งกันจนหมด (นี่ขนาดว่าอิ่มมาจากหลัก 6 ละนะ ยังกินได้อีก ^^) ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกแล้วเดินทางกันต่อไป จะว่าไปแล้วสวนแม่ทองหยิบมาทางรถก็เข้าถึงได้นะแต่ถ้าจะเอาบรรยากาศต้องมาทางเรือ
เราก็นั่งเรือชมวิวและวิถีชีวิตสองฝั่งคลองมาเรื่อยๆ จนมาถึงป้ายที่ว่า ชาวดำเนินสะดวกยินดีต้อนรับนี่แหละ ทีนี้ก็ขึ้นรถที่ทีมงานจอดรอต้อนรับอยู่ที่ตลาดดำเนินสะดวก เดินทางเข้าที่พัก ไม้แก้วดำเนินรีสอร์ท เพื่อที่จะพักผ่อนก่อนที่เราจะต้องปั่นต่อวันที่ 2 ดูรูปกับอ่านตัวหนังสือคงไม่มันเท่าดูคลิป ประมวลเหตุการณ์ของการเดินทางในวันแรกของทริป ปั่นจักรยานแรลลี่ทวารวดี
เช้าวันที่สองของทริปปั่นแรลลี่เรายังไปตามแผนเส้นทางการปั่น จากไม้แก้วดำเนินรีสอร์ทไปตามเส้นทางสวนผลไม้แบบชิลๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทางของเราที่วัดปรกเจริญ
วัดปรกเจริญ เป็นวัดใหญ่มีสายน้ำไหลผ่าน ทุกคนพอมาถึงก็เดินสำรวจรอบวัด ไหว้พระทำบุญเลี้ยงปลาในวังมัจฉา พระหลายองค์ยังใช้การพายเรือเดินทางและออกบิณฑบาตร ที่สำคัญทุกๆ เสาร์-อาทิตย์ที่นี่จะมีตลาด ชาวบ้านจะเอาของมาขาย เรียกกันว่าตลาดบ้านปรกเจริญ ของกินแปลกๆ อร่อยๆ ให้ช้อป ให้ชิม เพลินกันไป นอกจากนั้นวันนี้คณะของเราโชคดีที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดให้เกียรติมาร่วมเปิดงานการปั่นจักรยานแรลลี่เที่ยวของพวกเราด้วย
ช้อปชิมของอร่อยๆ จากตลาดกันไปพอสมควรพักผ่อนมีแรงแล้วก็ปั่นกันต่อ จากวัดปรกเจริญมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จะไปวัดเกาะแก้ว หรือตลาดน้ำบางน้อย ระหว่างเส้นทางเป็นสวนของชาวบ้านอันแสนร่มรื่นสำหรับการปั่นวันนี้ เส้นทางสายนี้รถน้อยการปั่นก็ไปแบบสบายๆ อากาศบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับการปั่นเที่ยวมากๆ
ระหว่างเส้นทางจากวัดปรกเจริญไปตลาดน้ำบางน้อย จะผ่านสถานที่น่าสนใจมากคือ จั่นหวาน หรือชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือศูนย์เรียนรู้การทำน้ำตาลมะพร้าวตาหลวง ที่นี่เป็นพื้นที่ตำบลตาหลวง อำเภอดำเนินสะดวก ไฮไลท์สำคัญๆ คือการดูการทำน้ำตาลมะพร้าว ที่นี่มีเตาภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 40 ปี เตาเคี่ยวน้ำตาลเตาเดียวแต่เคี่ยวน้ำตาลได้มากถึง 5 กะทะ พร้อมๆ กัน ช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงและเวลาในการเคี่ยว การเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวใช้เตาแบบนี้เชื้อเพลิงก็ใช้ทางมะพร้าวแก่ที่ร่วงลงมาในสวน เป็นวิธีในการลดต้นทุน น้ำตาลมะพร้าวหอมหวานอร่อยจากสวนก็เอามาทำขนม วันนี้ได้ชมปลากริมไข่เต่า ดูการเคี่ยวน้ำตาล ดูฟาร์มกบที่ทำผสมกับสวนมะพร้าว ดูการปีนต้นมะพร้าวปาดจั่น (บางที่เรียกงวง ปาดแล้วก็เอากระบอกไปรองไว้เพื่อเก็บน้ำตาล) ปีนต้นมะพร้าวเล่นกันสนุกสนาน ก่อนที่จะปั่นกันต่อ
พอมาถึงตลาดน้ำบางน้อย ต่างคนต่างกระจายกันออกไปช้อป หากินข้าวเที่ยงตามอัธยาศัย ตลาดน้ำบางน้อยดูคึกคักกว่าเมื่อหลายปีก่อนที่เราเคยมา ต้อนนี้แม่ค้าพ่อค้าเปิดแผงกันเยอะขึ้นของกินมากขึ้น ของที่มาวางขายก็มีทั้งผักผลไม้ของชาวบ้านชาวสวน ส่วนร้านกาแฟและร้านอาหารเดิมๆ ที่เราเคยมากินก็ยังอยู่ ที่นี่ร้านกาแฟหลายร้านแต่จะว่าไปชอบไอเดียของชาวบ้านที่มีวิธีการทำให้ร้านกาแฟของตัวเองมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกับร้านข้างๆ การตกแต่งให้ร้านดูเก่ามันก็ปกติ แต่กาแฟที่ขาย มีทั้งกาแฟสด กาแฟโบราณ และกาแฟบางน้อย หรือ Bang Noi Coffee ที่เราเลือกมีเครื่องดื่มมากมายหลายอย่างให้เลือกมากกว่ากาแฟ มีสมุนไพรหลายชนิด อย่างชาฝาง ชาสี่แผ่นดิน ฯลฯ ความรู้สึกดีกว่าตลาดอื่นหลายที่ที่ร้านกาแฟขายแต่กาแฟเหมือนกันไปหมด
ปกติเมนูเด็ดไฮไลท์ของตลาดน้ำบางน้อยต้องมานั่งกินข้าวผัดปลาทู แต่วันนี้เจอของแปลกเลยขอลองซะหน่อย เป็นเย็นตาโฟเส้นกะพรุน ใช้กะพรุนแทนเส้นสำหรับคนที่ชอบกินกะพรุนกรุบๆ ในเย็นตาโฟ ร้านนี้จัดเต็มเลย อร่อยด้วยไม่ผิดหวังจริงๆ ร้านนี้หาไม่ยากใกล้ๆ สะพานข้ามแม่น้ำมีร้านเดียวขายก๋วยเตี๋ยวและเย็นตาโฟ คนเยอะมาก
กิน ช้อป แชะ แชร์ภาพ กันหนำใจ เราปั่นออกจากตลาดน้ำบางน้อย ตามเส้นทางไปเรื่อยๆ มาทางวัดอินทาราม มีตลาดขายส้มโอมีให้เลือกหลายร้านหลายสวน ไหว้หลวงพ่อโตขอพร ทำบุญ แล้วก็ไปกันต่อ
ไม่ไกลจากวัดอินทารามมาทางวัดละมุดก็จะมาถึงวัดราษฎร์บูรณะ เราจอดแวะที่นี่เพื่อทำกิจกรรมเล่นเกมสะสมคะแนนแรลลี่ แน่นอนว่าแต่ละเกมที่คิดออกมาให้เราเล่นมันสนุกมาก หัวเราะกันสนั่น ทั้งวาดรูปใบ้คำ ทั้งบิงโก สรุปคะแนนกันไป
เฮฮากันไปพอสนุก เล่นเกมครบจบทุกเกมก็ได้เวลาปั่นกันต่อไป สถานีต่อไปของพวกเราอยู่ที่วัดแก้วเจริญ เป็นวัดชื่อดังสมัยหลวงปู่หยอด วัดนี้สร้างมานานมากก่อนที่จะชื่อวัดแก้วเจริญมีการพบวัดโบราณที่เหลือแต่ศิลาแลงมาก่อนอีกด้วย สรุปแล้วไม่รู้ว่าถ้านับตั้งแต่สร้างวัดครั้งแรกจะอายุเท่าไหร่ ตรงที่ตั้งของวัดแก้วเจริญเป็นปากน้ำคลองบางนางสูญตัดกับคลองแควอ้อม คลองทั้งสองสายคือเส้นแบ่งอำเภอ คลองแควอ้อมแบ่งระหว่างอัมพวากับบางคนที คลองบางนางสูญแบ่งระหว่างอัมพวากับวัดเพลง ริมสองฝั่งคลองเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน หลายบ้านเปิดเป็นร้านค้า เคยทำเป็นตลาดริมน้ำ 3 อำเภอ ก็เคยมีคนมาเที่ยวเยอะ พอเวลาผ่านไปตอนนี้ตลาดเริ่มมีความเงียบเหงาลงอีก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ปังเหมือนที่อื่น แต่ที่นี่ยังมีร้านค้าหลายร้านให้เราเดินเที่ยวได้ ชมวิววิถีชีวิต 2 ฝั่งคลองของ 3 อำเภอได้อยู่ เวลามาเที่ยวตลาดน้ำ 3 อำเภอ มาได้ 3 ทาง ทั้งทางอัมพวา บางคนที และวัดเพลง แต่ละทางก็จะบรรยากาศต่างกันไป ระหว่างอัมพวากับวัดเพลงเป็นคลองเล็กๆ มีสะพานเชื่อมถึงกัน แต่ฝั่งบางคนทีเป็นคลองสายใหญ่ ต้องข้ามด้วยเรือ
ตลาดน้ำ 3 อำเภอวันนี้อาจจะเพราะฝนตกด้วยเลยมีร้านค้าน้อยกว่าปกติ แต่ก็มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ให้เราได้เดินเก็บเซลฟี่กันได้หลายมุมตลอดทางเดิน
บรรยากาศร้านค้าและบ้านเรือนริมน้ำ ตลาดน้ำ 3 อำเภอ
ทุกวันนี้เป็นยุคของการท่องเที่ยววิถีชุมชน ก็จะมีหลายคนที่เข้ามาเยี่ยมชมตลาดแห่งนี้ และแน่นอนว่าเราก็จะได้เห็นภาพตามโซเชียลกันมากขึ้น
ตลาดน้ำ 3 อำเภอเป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีทางเดินเลียบคลองแควอ้อมกันได้ยาวๆ พวกเราเล่นเดินจากตลาดมาทะลุถนนเพลินเพลงกันเลย ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินมีตลาดคึกคักดีอยู่ในพื้นที่ทางเข้าสถานีตำรวจภูธรวัดเพลง เกือบๆ 1 กิโลอยู่เหมือนกันมาถึงถนนเพลินเพลงกำลังตั้งร้านเปิดตลาดกันอยู่พอดี ดูไปแล้วที่นี่คงจะคนเยอะมากช่วงก่อนค่ำ จากตรงนี้เราก็ต่อรถเข้าเมืองไปที่พักของเราที่ราชบุรี พักผ่อนเตรียมพร้อมกับเส้นทางปั่นในเช้าวันใหม่
ชมบรรยากาศของการปั่นแรลลี่ทวารวดี วันที่ 2
เช้าวันที่ 3 แล้วจ้า ออกเดินทางกันต่อไป วันนี้ปั่นเที่ยว 3 วัด และชุมชนที่อยู่รอบๆ วัด วันนี้อากาศแจ่มใสแดดแรงมาก ที่จริงอยากให้อากาศเหมือน 2 วันแรก แต่ก็ช่างเถอะ ถึงแดดจะร้อนพวกเราชาวทัวร์ริ่งก็ไม่หวั่นหรอก ออกเดินทางจากที่พักมุ่งหน้าไปเจ็ดเสมียน ชุมชนเก่าแก่ 119 ปี ที่ว่ากันว่าไชโป๊วดีต้องมาที่เจ็ดเสมียน ที่นี่ทำไชโป๊วมายาวนานมาก เส้นทางช่วงแรกออกจะไกลสักหน่อยแต่ค่อยๆ ไปกันเรื่อยๆ เกาะกลุ่มกันไปไม่ทิ้งกัน แวะผ่านไปชมสถานีรถไฟราชบุรี เลาะไปตามถนน ออกจากตัวเมืองไปหน่อยก็จะเริ่มมีสวนให้เห็น
ชุมชนเจ็ดเสมียนเป็นชุมชนที่ดีนะ มาทางรถไฟก็ง่าย มาทางเรือก็ได้ ถนนหนทางก็มีพร้อม ชาวบ้านที่นี่อยู่แบบสโลไลฟ์ไม่ต้องรีบร้อนกันมาก มีวัดเจ็ดเสมียนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิดใจ และหลอมรวมกันไปกับความเชื่อชองชาวไทยเชื้อสายจีนที่ยังคงมีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ในชุมชน
ข้างๆ วัดเป็นตลาดเล็กๆ มีขายของกันทุกวันๆ ละ 2 รอบ คือรอบเช้า แม่ค้าจะมาตั้งกันแต่เช้าพอสายหน่อยก็เก็บของกลับไปพักผ่อนเพราะคนน้อย แล้วค่อยมาเปิดกันอีกทีในตอนเย็น ตลาดนี้ยังคงมีชีวิตไม่ได้เปิดมาเพื่อให้คนมาเที่ยวแต่เปิดตามปกติของชีวิตประจำวัน พอเสาร์-อาทิตย์ร้านค้าจะมาเยอะหน่อยโดยเฉพาะรอบเย็น เพราะจะมีนักท่องเที่ยวขาจรแวะเวียนเข้ามาเที่ยวอยู่ประจำ
ทางเข้าศาลเจ้าเจ็ดเสมียนเป็นตรอกเล็กๆ ข้างตัวบ้านเดินเข้าไปนิดเดียวก็ถึง ศาลเจ้าไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นที่ชาวไทยเชื้อสายจีนได้มากราบไหว้สักการะกันอยู่ประจำ
ต่อจากวัดเจ็ดเสมียนมุ่งหน้าไปทางเหนือเลาะเลียบไปตามแม่น้ำ แม่กลอง รูทนี้ค่อนข้างยาวไปจนถึงวัดคงคาราม สถานที่ที่มีความพิเศษด้วยศิลปะล้ำค่าของภาพจิตรกรรมฝาผนัง และพิพิธภัณฑ์ของเก่าที่สร้างด้วยกุฎิทรงไทย 9 ห้อง ถนนสายนี้เป็นถนนสายเล็กๆ ปกติไม่ค่อยมีรถยนต์ผ่านเพราะความเล็กนี่แหละ มีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาบ้างเรื่อยๆ สำหรับการปั่นค่อนข้างสบายๆ
ถึงที่วัดคงคาราม ท่านเจ้าอาวาสรอต้อนรับคณะของเราอยู่ ท่านก็จะพาเที่ยวชมบริเวณของวัด โดยเฉพาะในโบสถ์หลังเก่าที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่น่าจะเขียนในสองสมัย ด้านบนของผนังมีสีเขียวกับแดงเป็นหลัก ส่วนครึ่งด้านล่างจะเป็นภาพที่มีการใช้สีเหลืองเข้ามาเพิ่ม ลายเส้นงดงามทั้งสองสมัย น่าจะเป็นวัดสำคัญมากๆ ในสมัยก่อน มีเจดีย์มอญเก่าแก่รอบโบสถ์อยู่ 7 เจดีย์ด้วยกัน พระประธานเป็นพระพุทธรูปที่งดงามมีพระองค์เล็กๆ ประดิษฐานเรียงความสูงเป็นขั้นๆ ข้างละ 4 องค์ ด้านหน้าก็มีพระอีกหลายองค์ แต่เดิมเจ้าอาวาสเล่าว่าวัดมอญไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าโบสถ์หลังนี้ จนผ่านมานานมากๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนังกลายเป็นศิลปะล้ำค่าหายากจึงได้เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาศิลปะไทย เลยเปิดให้ผู้หญิงเข้าได้ ส่วนในงานบวชก็ยังคงห้ามผู้หญิงเข้าเหมือนเดิมเพราะขนาดของโบสถ์เล็กมาก ตามหลักบัญญัติจะต้องมีพื้นที่ระหว่างพระสงฆ์กับสีกาประมาณ 25 ศอกแต่ในโบสถ์ยาวไม่ถึงก็ต้องห้ามผู้หญิงเข้าตามเดิม
ชมงานจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ล้ำค่าและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบนกุฎิทรงไทย 9 ห้อง (ที่ห้ามถ่ายภาพ) กันอยู่นานพอสมควรจากนั้นเราก็ปั่นกันไปเที่ยวต่อที่วัดใหญ่นครชุมน์ เป็นสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ แต่ที่นี่เรามีกิจกรรมให้เล่นสนุกกันเยอะมาก เริ่มจากการต้อนรับอย่างสนุกสนานของชาวนครชุมน์ ชาวไทยเชื้อสายมอญที่เก่าแก่มาก มีกลองยาวและปี่พาทย์ตามฉบับชาวมอญ รำวงกันอย่างสนุกสนาน
ต่อด้วยการชิมอาหารท้องถิ่นที่หากินยาก ทั้งแกงกล้วยดิบ แกงมะตาด ผัดหมี่ ขนมไทยทั้งทองหยิบทองหยอด หม้อแกง ยังมีที่แปลกกว่านั้นคือข้าวตอกลอยกะทิ ล้วนแล้วแต่เป็นตำรับของชาวไทยเชื้อชายมอญทั้งนั้น กับข้าวประเภทแกงจะรสจัดเรียกว่าเผ็ดพอสมควร ส่วนอย่างอื่นก็สบายๆ โดยเฉพาะของหวาน ข้าวตอกลอยกะทิ จะเป็นอะไรที่แปลกที่สุดเพราะมีทั้งหวานทั้งเค็มรวมๆ กันอยู่อย่างกลมกล่อม ใส่น้ำแข็งเข้าไปชื่นใจดี
อิ่มหมีพีมันกันไปเรียบร้อยแล้วก็จะมีการพาเดินทัวร์วัดใหญ่นครชุมน์ ที่มีโบสถ์เก่าแก่หลายร้อยปี มีขนาดใหญ่มาก ว่ากันว่าโบสถ์ขนาดใหญ่นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่านครชุมน์ คือมาจากคำว่า ชุมนุม เพราะเป็นวัดที่พระสงฆ์มาร่วมชุมนุมกันได้หลายรูป ชาวไทยเชื้อสายมอญนับถือศาสนาพุทธมายาวนานมากมีกฎระเบียบบางอย่างที่เคร่งครัดอย่างการห้ามผู้หญิงเข้าโบสถ์ ส่วนการสวดมนต์พระสงฆ์ที่วัดใหญ่นครชุมน์ใช้ภาษามอญในการเจริญธรรม เมื่อพบว่าโบสถ์ที่เก่าแก่ของวัดนี้เริ่มชำรุดทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ก็ได้มีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ที่ใหญ่และสวยงามขึ้นมา
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เรายังมานั่งล้อมวงทำกิจกรรม work shop พวงมโหตร กันต่อ ปกติแล้วเราจะเห็นพวงมโหตรได้ในงานมงคลต่างๆ ของชาวไทยหลายพื้นที่ สำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญก็มีการสืบทอดการทำพวงมโหตรนี้สำหรับงานมงคลต่างๆ ด้วยเหมือนกัน กระดาษแก้วเอามาตัดไม่ยากอย่างที่คิด สีสันเลือกได้ตามใจชอบ การผสมสีของกระดาษถ้าลงตัวก็จะออกมาดูดีสวยงามสำหรับคนเลือกสีไม่เก่งมันอาจจะออกมาแปลกๆ ใช้ได้ตั้งแต่ 2 สี ถึง 3 สี หรือบางทีก็มี 4 สี สำคัญที่จะต้องตัดพร้อมๆ กัน กรรไกรจึงต้องคมพอสมควร แล้วแยกออกจากกันเอามาร้อยเป็นพวงซะใหม่ ขั้นตอนต่างๆ จะต้องค่อยๆ ทำอย่างใจเย็น กระดาษบางมากๆ จะขาดได้ตลอดเวลา
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการดวลสะบ้าระหว่างทีมเหย้าชาวนครชุมน์ กับทีมเยือนอย่างพวกเรา ชาวบ้านก็อธิบายกฏกติกาต่างๆ แต่กว่าจะเข้าใจได้ก็ใช้เวลาไม่น้อย พอเข้าใจกติกากันดีแล้วก็เริ่มการดวล การเล่นสะบ้าเป็นขนบธรรมเนียมที่สืบทอดกันยาวนานในชาวไทยเชื้อสายมอญไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ที่มีชุมชนมอญกลุ่มใหญ่ๆ อาศัยอยู่เราจะได้เห็นการเล่นสะบ้า อย่างเช่นที่พระประแดงจะมีการเล่นสะบ้าในวันสงกรานต์ถือเป็นงานใหญ่ มีหลายบ่อน ลองเดินๆ เข้าไปชมไปศึกษากันได้ เป็นการละเล่นที่สนุกสนาน บางชุมชนใช้การเล่นสะบ้าเป็นโอกาสในการจีบสาวเพราะสะบ้าแต่ละเกมใช้เวลานาน จะได้พูดคุยกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว ถึงแม้ทุกวันนี้การจีบสาวจะเปลี่ยนไปมากแต่ชาวมอญก็ยังคงพยายามรักษาการเล่นสะบ้านี้เอาไว้สืบทอดให้คนรุ่นหลังๆ ต่อไป
การปั่นจักรยานแรลลี่เที่ยวแบบสุดมันส์ของเราก็จบลงด้วยความประทับใจ ได้เพื่อนใหม่ๆ จากที่ใหม่ๆ ได้เรียนรู้ชุมชนมากมายหลายชุมชน ได้ลองเที่ยวที่ใหม่ๆ แบบละเอียดๆ ชนิดเดินเที่ยวบ้านต่อบ้าน เห็นครบทุกหลังเลยทีเดียว ความทรงจำดีๆ เหล่านี้ก็คงจะยังอยู่กับเราไปอีกนานแล้วพบกันใหม่ในเรื่องราวต่อไปของทัวร์ออนไทยครับ
ฝากกดไลค์เป็นแฟนเพจกันนิดนึงที่ เที่ยวไหนต่อ touronthai.com
ค้นหาภาพและโพสต์ทางโซเชียลของกิจกรรมดีๆ แบบนี้ได้ที่
ขอขอบคุณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดราชบุรี สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวดีๆ แบบนี้ครับ