เปิดตัวอาช่าเซรั่ม เปลี่ยนหอยทากร้ายกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ พลิกชีวิตเกษตรกรไทย

    วันนี้ทัวร์ออนไทยพามาเที่ยวชมของแปลกแต่จริง อึ้ง ทึ่ง อย่างไม่น่าเชื่อ หัวข้อก็บอกไปแล้วว่าเกี่ยวกับหอยทาก สัตว์ชนิดหนึ่งที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันแทบจะทุกที่ ในเบื้องลึกรายละเอียดเราคงไม่เคยรู้กันมาก่อนว่าหอยทากที่เราเห็นกระดืบๆ อยู่ทั่วไปทุกหนแห่งมันกินอะไรเป็นอาหาร พอได้มาร่วมเดินทางทริปนี้ทำให้เรารู้จักหอยทากกันมากขึ้น หอยทากในบ้านเรามีหลายสายพันธุ์ สายพันธุ์หนึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกา ชื่อพันธุ์ Achatina fulica หรือเรียกสั้นๆ ว่า อาช่า หอยทากสายพันธุ์นี้เข้ามาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ทหารญี่ปุ่นนำเข้ามากินเป็นอาหารของกองทัพหลังจากสงครามจบลงได้ทิ้งหอยทากนี้ให้อยู่ในระบบนิเวศน์ของบ้านเรา หอยทากอาช่าเป็นหอยทากที่สามารถวางไข่ได้ทุกตัว (มี 2 เพศในตัวเดียวกัน) แต่ละตัววางไข่ครั้งละ 1000 ฟอง แล้วโอกาสรอดเป็นตัวหอยทากสูงถึง 50% เติบโตและขยายพันธุ์ได้ดีในเมืองไทย อินเดีย อินโดนีเซีย ฯลฯ อาหารของหอยอาช่าคือใบไม้ในบ้านเรามันสามารถกินเป็นอาหารได้ 100 กว่าชนิด รวมทั้งข้าว ผิวเปลือกไม้ พืชผักต่างๆ ของเกษตรกร ทำให้เกิดความเสียหายให้พืชผักต่างๆ ปีละ 1000 ล้านบาท

    เป็นไงละได้ยินแบบนี้อึ้งเลยใช่มั้ย แน่นอนว่าเกษตรกรไทยย่อมไม่ชอบหอยทากชนิดนี้เอามากๆ แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส หอยทากอาช่าถึงจะกินพืชผักและขยายพันธุ์เร็ว จนทำให้คนมองเห็นแต่ด้านร้ายๆ ของหอยทาก แต่วันนี้ บริษัท ACHA Thai International จำกัด ได้นำเอาเมือกของหอยทากมาวิจัยจนพบว่า เมือกของหอยทากอาช่าสามารถสกัดออกมาเป็นเซรั่มสำหรับบำรุงผิวให้อ่อนกว่าวัยได้ดีมาก จึงเริ่มแนะนำให้เกษตรกรไทยหันมาเลี้ยงหอยทากอาช่าเพื่อเป็นรายได้เสริมในครัวเรือน

    วิธีการเลี้ยงหอยทากเป็นอะไรที่ลงทุนไม่มาก ไม่ต้องอาศัยอะไรที่เป็นพิเศษไปกว่าสภาพแวดล้อมปกติที่เราเห็นหอยทากเดินไปเดินมานั่นแหละ หลังจากได้ทดลองเลี้ยงหอยทากกันมานานประมาณ 8 เดือน ก็พบว่าวิธีการเลี้ยงหอยทากแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือทำกรงให้หอยทากอยู่กับดิน แบบกรงยกสูงจากพื้น และแบบท่อซีเมนต์ เนื่องจากหอยทากเป็นสัตว์ที่กินพืชได้มากมายหลายชนิดอาหารหอยทากจึงไม่ใช่ของหายาก แล้วแต่เทคนิคการเลี้ยงของแต่ละคน แต่เน้นว่าพืชผักที่เอามาให้หอยทากกินนั้นจะต้องไม่มีสารเคมี ไม่มียาฆ่าแมลง ควรเป็นผักที่ปลูกเองเพื่อใช้เลี้ยงหอยทาก พื้นที่จำนวนไม่มากก็สามารถเลี้ยงหอยทากได้หลายพันตัว

    การเพาะเลี้ยงหอยทากต้องเน้นความสะอาดเป็นหลัก นอกจากให้กินผักปลอดสารพิษหรือผักออร์แกนิกส์ปลูกเองแล้ว เมื่อได้หอยทากจากธรรมชาติที่รับซื้อจากชาวบ้านต้องนำมาทำความสะอาดล้างตัวหอยทาก ให้กินกระดาษทิซซู่ในช่วงแรกเพื่อเป็นการดีทอกซ์ภายในให้หอยทากก่อนจะนำหอยทากเข้ากรงเลี้ยง

    การเก็บเมือกของหอยทากเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเกษตรกรไทย แต่ได้รับความรู้จาก อาจารย์ ดร.ปราโมทย์ ชำนาญปืน และ อาจารย์ ดร.ธีรศักดิ์ เอโกบล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาแนะนำวิธีการเก็บเมือกหอยทาก ด้วยการใช้น้ำพ่นบริเวณหลังคอหอยทาก จากนั้นแล้วต้องนำเมือกที่ได้เข้าแช่แข็งในช่องฟรีซทันที การเก็บเมือกต้องใส่ถุงมือ สวมหมวกและหน้ากาก เพื่อให้เมือกที่ได้ไม่มีสิ่งเจือปน

    หอยทากที่เลี้ยงเป็นอย่างดีก็จะสามารถวางไข่ได้จำนวนมากและโอกาสรอดค่อนข้างสูงกว่าหอยทากในธรรมชาติ แต่ละครั้งหอยทากวางไข่ประมาณ 1000 ฟอง และยังวางไข่ได้ทุกตัว เพียงไม่นานไข่หอยทากก็จะโตเต็มวัย การเริ่มต้นเลี้ยงหอยทากเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยทากจะประกาศหาซื้อหอยทากจากชาวบ้าน ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท ในช่วงแรกทำให้เกิดรายได้กระจายให้ชาวบ้านและเป็นการกำจัดศัตรูพืชได้ดีอีกทางหนึ่งด้วย ทุกวันนี้มีคนหันมาทำฟาร์มหอยทากจำนวนเกือบ 70 ราย ในจังหวัดนครนายก และปราจีนบุรี

    คุณธันยพร ชินคชบาล ผู้อำนวยการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หนึ่งในเกษตรกรรุ่นบุกเบิกในการเลี้ยงหอยทาก ได้ทำการทดลองเลี้ยงหอยทากเนื่องจากบริษัทเอเดนขอให้ช่วยแนะนำอาชีพเลี้ยงหอยทากให้เกษตรกร "...แต่การจะแนะนำคนอื่นได้ ตนเองต้องลองทำให้เห็นผลก่อน..." คุณธันยพร กล่าว พร้อมกับเปิดเผยฟาร์มหอยทากที่สร้างติดกับพื้นเหมือนเล้าไก่ ที่มีหอยทากจำนวน 3000 ตัว ด้วยเงินลงทุนในช่วงแรก 40,000 บาท ตอนนี้เก็บเมือกหอยทากส่งขายมีรายได้รวม 100,000 บาทโดยประมาณ ในแต่ละเดือนถ้าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ หอยทากแต่ละตัวจะให้เมือกเฉลี่ยคิดเป็นเงินได้ตัวละ 10 บาท ในบางเดือนที่หอยทากให้เมือกเต็มที่ คุณธันยพรจึงมีรายได้สูงถึง 30,000 บาทเลยทีเดียว

    นอกจากเรื่องรายได้ คุณธันยพร ยังได้เสริมอีกว่า กิจกรรมการเลี้ยงหอยทากเป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากเลิกงาน และเลิกเรียนแล้วทุกคนอยากจะรีบกลับบ้านเพื่อมาดูแลหอยทากในฟาร์ม และมีความผูกพันธ์ระหว่างทุกคนในบ้านอีกด้วย

    คุณธันยพร ใช้วิธีการเพาะถั่วเขียวเพื่อนำเอาต้นถั่วงอกไปเป็นอาหารหอยทาก แต่ละเดือนต้นทุนค่าถั่วงอกประมาณ 2000 บาท แต่มีรายได้เฉลี่ยที่ 20,000 บาท 

    เพื่อเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ ACHA งานนี้ก็มีน้องเอย ธัญวรรณ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับเซรั่มที่ผลิตจากหอยทากอาช่า และมีผลการทดลองยืนยันว่า เซรั่มอาช่า สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบบลาสของผิวหนังมนุษย์ เมื่อทำการทดสอบที่ความเข้มข้น 0.1 mg/ml สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบบลาสของผิวหนังมนุษย์ ได้ถึงร้อยละ 96.85 + 1.62 ส่วนวิตามินซี สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ ร้อยละ 61.32 + 0.81 ผลการทดลองนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า เซรั่มอาช่าจะลดร่องรอยให้ผิวหน้าอ่อนกว่าวัยได้เป็นอย่างดี

    ด้วยการเพาะเลี้ยงหอยทากอาช่าในระบบเกษตรอินทรีย์ ในพื้นที่เกษตรห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรม จึงทำให้เซรั่มอาช่าเป็นเครื่องสำอางค์ที่อยู่ในระบบนิเวศน์สีเขียวปลอดจากสารพิษที่มีโอกาสจะเจือปนในเมือกหอยทาก และนับเป็นเครื่องสำอางค์แบรนด์ไทย ที่ช่วยเหลือเกษตรกรไทยในวงกว้าง เมือกหอยทากที่ได้จากเกษตรกรนอกจากจะผลิตเป็นเซรั่มอาช่าแล้วยังส่งขายไปต่างประเทศอีกหลายประเทศด้วยกัน เพราะตลาดเครื่องสำอางค์มีความต้องการเมือกหอยทากนี้มาก

    ทั้งนี้เมือกหอยทากอาช่านอกจากจะมีคุณสมบัติทางเครื่องสำอางแล้ว ยังมีประโยชน์ทางการแพทย์ มีความสามารถลดความอักเสบของผิวหนัง คนที่เลี้ยงหอยทากอาช่าจะมีมือที่นุ่มและลื่น บาดแผลบริเวณมือจะหายเร็วกว่าปกติ

    ส่วนประกอบของเมือกหอยทากอาช่า

• ไกลโคลิคแอซิด (Glycolic acid) เร่งการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง
• อลันโทอิน (Allantoin) ช่วยสมานแผล
• คอลลาเจน (Collagen) ช่วยผิวหนังนุ่มเปล่งปลั่ง
• อีลาสติน (Elastin) และสารปฏิชีวนะธรรมชาติ (Nutural antibiotics) ช่วยต้านเชื้อจุลินทรีย์ทุกชนิด

    วิธีใช้ ใช้ครั้งละ 1-2 หยดทาให้ทั่วใบหน้า ใช้ 3 วันหยุด 1 วัน , ได้ผลดีกับแผลไฟไหม้, แผลติดเชื้อ, ทารักแร้ชะลอการงอกของขนและดับกลิ่นได้ดี

    สำหรับคนที่สนใจเซรั่มอาช่า ตอนนี้มีจำหน่ายที่ 

• ร้านปลอดสารพิษเอเดน 1311 ไวท์มอลล์ ถ.ประชาราษฎร์สาย 1 (ติดโรงเรียนโยธินบูรณะ)
• บจก. อาช่าไทย อินเตอร์เนชั่นแนล 599/330 หมู่บ้านกลางกรุง-เวียนนา ถ.รัชดาภิเษก จตุจักร กรงเทพฯ 10900 โทร. 02-587-4607,  02-587-4616
• ศูนย์ศึกษาเรียนรู้การเลี้ยงหอยทากอาช่า : วิลล่าเอเดน ออแกนิครีสอร์ท 177/1 ซ.สาริกา-นางรอง 42 ตรงข้ามโรงเรียนบ้านดง ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก โทร.081-306-4172, 081-375-0342
• หรือ IG: acha_thai , Facebook: acha_thai , Line: @achathai

    ราคาจำหน่าย ขนาด 30 ซีซี ขวดละ 1900 บาท , ขนาด 5 ซีซี ขวดละ 350 บาท

    ในแต่ละเดือนเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยทากก็จะนำเอาเมือกหอยทากที่เก็บได้มาส่งที่ วิลลา เอเดน ออแกนิค รีสอร์ท นครนายก เจ้าหน้าที่จาก บริษัทอาช่าไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มาตรวจรับเมือกหอยทากพร้อมแนะนำวิธีการเก็บเมือกหอยทากให้ได้คุณภาพดี เพื่อให้นำไปปรับปรุงในล็อตต่อไป เกษตรกรหลายรายเริ่มยึดอาชีพการเลี้ยงหอยทากเป็นอาชีพหลักแทนการเกษตรเพียงอย่างเดียว บางคนมีหอยทากในฟาร์มมากถึง 4,000 ตัว หอยทากแต่ละตัวจะเก็บเมือกได้เดือนละครั้ง และมีอายุถึง 5 ปี จึงเป็นการเพาะเลี้ยงที่ลงทุนต่ำมากเมื่อเทียบกับการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่น

    การเก็บเมือกจากหอยทาก ใช้แค่น้ำเปล่าฉีดพ่นบริเวณหลังคอของหอยทาก ถ้าหอยทากหดเข้าไปในกระดองก็พ่นน้ำเข้าไปบริเวณปากกระดอง แต่ละตัวใช้เวลาประมาณ 1 นาที เป็นวิธีการเก็บเมือกหอยทากตามมาตรฐานสากลที่ใช้ในยุโรป และหอยทากก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปตามปกติ น้ำเมือกหอยทากที่เก็บได้ต้องนำไปแช่แข็งภายใน 30 นาที เพื่อรักษาคุณภาพของเมือก ในงานนี้ จ.ส.ต.สกล ทองคำ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายกก็เข้ามาชมกระบวนการเลี้ยงและเก็บเมือกหอยทากด้วย

    ปิดท้ายงานเปิดตัว เซรั่มอาช่า ด้วยการแถลงข่าวโดยมี ดร.ประดิษฐ์ ยมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นประธาน กล่าวถึงเซรั่มแบรนด์ไทยที่นอกจากจะเป็นเครื่องสำอางสกัดจากเมือกหอยทากที่มีสรรพคุณดีมากเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วยังทำให้เกษตรกรไทยจำนวนมากมีรายได้เสริมพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ อีกด้วย เซรั่มอาช่า จึงนับว่าเป็นเครื่องสำอางคุณภาพที่เกิดมาโดยคนไทยเพื่อคนไทยโดยแท้