หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2

 หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่เก็บรักษาสิ่งที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ โครงกระดูกของเชลยสงคราม และภาพถ่ายเหตุการณ์ในสมัยนั้น นอกจากนี้บางส่วนยังจัดทำเป็นหอศิลป์ เก็บรวบรวมสิ่งของต่างๆ เช่น แสตมป์ ไปรษณียบัตรโบราณ เพชร พลอย และเครื่องประดับ

 เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 07.00–18.30 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 3451 2596

ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.กาญจนบุรี โทร. 034 511 200
http://www.tourismthailand.org/kanchanaburi

การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก

กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ

หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทางเข้าหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควฝั่งสถานีรถไฟ ประมาณ 200 เมตรโดยทางเข้าอยู่เยื้องๆ กันกับลานจอดรถและตลาดพลอย สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแควเมื่อจอดรถแล้วเดินออกมาก็จะเห็นหลังคาแบบโดมใหญ่ๆ มองเข้าไปเห็นหัวรถจักรโบราณสมัยสงครามโลกจอดนิ่งอยู่

หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ตรงนี้เป็นบริเวณสำหรับซื้อบัตรผ่านประดูเข้าไปภายใน นักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อยหลายคนก็มาถ่ายรูปกับหัวรถจักรแต่ไม่มีโอกาสเข้าไปภายในก็เป็นที่น่าเสียดายแทนจริงๆ เพราะภายในหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 แห่งนี้มีสิ่งน่าสนใจในแง่ประวัติศาสตร์วางเรียงรายสงบนิ่งรอคอยผู้คนเข้ามาศึกษาหาความรู้อยู่เป้นจำนวนมาก

ศาลวีรชน หลังจากเดินผ่านจุดซื้อบัตรเข้ามา (ค่าบัตร 20 บาทเองครับทีแรกนึกว่าข้างในคงไม่มีอะไรมากเพราะค่าบัตรถูกแต่เดี๋ยวดูไปเรื่อยๆ จะรู้ว่า 20 บาทถูกจริงๆ) จะเห็นศาลวีรชนกับพญานาคเลื้อยมีแผ่นหินแผ่นใหญ่เขียนบอกไว้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เพชรพลอยเครื่องประดับและสงคราม อยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนขวามือก็จะมีอาคารขนาดใหญ่อีกอาคารหนึ่งซึ่งเป็นอาคารแรกที่เราจะเข้าไปกัน

พิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า อาคารสูงใหญ่ด้านขวามือนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า ภายในมีข้อมูลและเรื่องราวในประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างไทยกับพม่า รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รูปปูนปั้นบุคคลสำคัญในสงคราม ด้านหน้าอาคารมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหากษัตริย์องค์สำคัญๆ ในการกู้ชาติในสงครามพม่า หรือมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่

พระองค์แรกด้านซ้ายมือ พ่อขุนเม็งรายมหาราช เสด็จขึ้นครองเมืองเป็นปฐมบรมกษัตริย์นครเชียงใหม่ ทรงกอบกู้เอกราชรวมญาติในดินแดนเคว้นลานนาไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทรงเป็นศูนย์อำนาจทางการเมืองฝ่ายเหนือตลอดรัชสมัย
พระองค์ที่สอง สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมาจากพม่าข้าศึกโดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น
ตรงกลางหน้าอาคาร สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ทรงพัฒนาวิชาศิลปและวรรณคดีสู่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า มีสัมพันธไมตรีกับนานาอารยะประเทศอย่างกว้างขวางเกียรติคุณสยามประเทศแห่งกรุงศรีอยุธยาแผ่ไพศาลสู่ประเทศยุโรปในยุคสมัยนั้น
พระองค์ที่สี่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทำสงครามกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมาจากพม่าด้วยสงครามยุทธหัตถีบนหลังช้าง พระมหาอุปราชแม่ทัพพม่าต้องพระแสงของ้าว คอขาดสะพายแล่ง บนหลังช้างศึก ณ สนามรบบ้านดอนเจดีย์ แขวงเมืองกาญจนบุรี พ.ศ. 2135
พระองค์ที่ห้าขวามือสุด พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงขยายราชอาณาจักรไทย ทิศเหนือจรดเมืองหลวงพระบาง ทิศตะวันออก จรดลุ่มแม่น้ำโขงเมืองเวียงจันทน์และเวียงคำ เขมร ทิศตะวันตก จรดหัวเมืองมอญและเมืองหงษาวดี ทิศใต้ จรดตลอดแหลมมะลายูและเกาะสิงคโปร์

งานปูนปั้นบุคคลสำคัญ รอบๆ ผนังของอาคารพิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า มีการสร้างงานปูนปั้นรูปบุคคลสำคัญของไทยเอาไว้มากมายทุกๆ ชั้นของอาคารมองเห็นได้ชัดเจน ยังมีการเขียนประวัติของบุคคลเหล่านั้นไว้ด้วย งานปูนปั้นเหล่านี้จะห้ามจับนะครับเพื่อป้องกันการชำรุดและอาจจะซ่อมได้ยากลำบาก
บุคคลสำคัญในรูปนี้ได้แก่
เจ้าพระยามหาโยธาเจ่ง (ซ้าย)
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (กลาง)
พระองค์เจ้าขุนเณร (ขวา)

ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพิพิธภัณฑ์สงครามไทยพม่า ภายในอาคารมีภาพจิตกรรมฝาผนังสวยงามทุกห้องทุกชั้นของอาคาร โดยภาพเขียนเหล่านี้จะมีเรื่องราวและภาพบุคคลต่างๆ ในการสงครามไทยพม่าทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า

สมเด็จพระสรรเพชญเสกสิทธิ์ศรีสองรัก สมเด็จพระสรรเพชญเสกสิทธิ์ศรีสองรัก เป็นส่วนแรกที่จะได้พบอยู่ทางด้านขวามือทันทีที่เดินเข้ามาในอาคาร เรากราบพระที่นี่ก่อนที่จะเดินเข้าไปต่อ

งานศิลปะบนฝาผนัง ออกแบบได้เหมือนกับโบราณสถานวางเรียงรายเป็นแนวยาวมีมากมายหลายแบบไม่ซ้ำกัน

ของใช้และอาวุธในช่วงสงครามไทย-พม่า ในอาคารพิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า มีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ และที่สำคัญคือดาบแบบต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่ติดชื่อของเจ้าของที่เคยใช้ในระหว่างการทำสงครามโดยชื่อของบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีบทบาทสำคัญๆ ในสงคราม ดาบแต่ละเล่มถูกออกแบบมาเพื่อเจ้าของดาบโดยเฉพาะมีรูปร่างแปลกแตกต่างกันไปมากมายจริงๆ

ภายในอาคารมีแสงสว่างเข้ามาได้น้อยการถ่ายรูปทำได้ยาก รวมทั้งของเหล่านี้แสดงไว้ในตู้กระจกที่มีเงาแสงสะท้อนมากไว้จะกลับไปเก็บภาพสำคัญๆ นี้มาให้ชมกันใหม่ครับ ยอมรับว่าเมื่อแรกได้เห็นรู้ทึ่งมากในความเพียรพยายามค้นหาสิ่งของเหล่านี้มารวบรวมไว้โดยเฉพาะดาบและชื่อของเจ้าของดาบ และจำนวนที่เก็บได้มีมากจริงๆ ห้องเก็บอาวุธนี้มีขนาดเท่ากับห้องทั่วไป 3 ห้องทีเดียว

วิวัฒนาการของมนุษย์ ส่วนหนึ่งของอาคารพิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่าได้จัดไว้เป็นห้องเก็บสมุนไพรไทย(ภาพขวาบน) โดยมีคุณอรัญ จันร์สิริ เป็นผู้รวบรวมสะสมไว้ทีละเล็กทีละน้อย วันที่เดินทางไปเก็บภาพยังเห็นนั่งเรียงสมุนไพรใส่ขวดไว้ ที่เห็นในภาพนี้น่าจะประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมดเท่านั้นเองโดยสมุนไพรที่เก็บรวบรวมไว้นั้นนอกจากจะเป็นพืชแล้วยังมีส่วนของสัตว์ต่างๆ อย่างเช่นเปลือกหอย กระดูกหรือกระดองของหมึก แต่ละอย่างมีสรรพคุณเขียนบนแผ่นกระดาษเล็กๆ ติดไว้อย่างน่าศึกษา หน้าห้องสมุนไพรมีทำเป็นบันไดเดินลงชั้นใต้ดินซึ่งเป็นส่วนแสดงความเป็นมาหรือกำเนิดมนุษย์ อยู่ด้านขวามือเป็นห้องเล็กๆ มีโบราณวัตถุตามยุคสมัยของมนุษย์ เช่นยุคหิน ยุคสำริด ฯลฯ

ส่วนแสดงงานศิลปะและรำลึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านซ้ายมือของบันไดที่เดินลงมาเป็นส่วนแสดงงานศิลปะและรำลึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพขวาบนเป็นงานภาพเขียนบนเพดานซึ่งทำได้ยากกว่าการวาดแบบอื่นๆ อย่างแน่นอน เพราะแม้แต่การถ่ายรูปมาต้องแหงนคอตั้งให้ได้มุม แล้วตอนวาดจะขนาดไหน แถมยังต้องวาดทั่วเพดานหลายตารางเมตรอีกด้วย เดินลึกเข้าไปจะมีรูปปั้นเชลยศึกสร้างทางรถไฟในสมัยสงครามโลก และรถรางแบบมือโยกสำหรับทหารญี่ปุ่นใช้ตรวจงานก่อสร้าง อีกด้านหนึ่งมีงานภาพเขียนตั้งจำหน่ายเรียงรายอยู่มากมายหลายชิ้น

เกวียนสมัยสงครามโลก เป็นเกวียนที่นายทหารกองทัพญี่ปุ่นใช้ในการตรวจดูงานก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะในป่าดงดิบ เมืองมะละแหม่ง-ด่านเจดีย์สามองค์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศพม่า

พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 จากชั้นใต้ดินที่เดินดูงานศิลปะ พาหนะต่างๆ ที่ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วจะมองเห็นตัวอาคารอีกด้านหนึ่งที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมเว้นช่องตรงกลางไว้ เมื่อเดินอยู่ด้านหนึ่งจะมองเห็นอีก 3 ด้านเสมอ อาคารที่มองเห็นอยู่นี้บริเวณชั้นกลางซึ่งก็คือชั้น G เพราะตอนนี้เราเหมือนยืนอยู่ที่ชั้น B1 ของห้างสรรพสินค้า เป็นส่วนแสดงเหรียญกษาปณ์และธนบัตร รวมทั้งเครื่องใช้ของทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแบ่งเป็นห้องๆ ภาพขวาบนและล่างซ้ายเป็นลักษณะจำลองค่ายพักของทหาร ส่วนภาพล่างขวาเป็นห้องแสดงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ และนาฬิกาแขวนผนังและนาฬิกาตั้งพื้นแบบที่เคยเห็นในตลาดน้ำหรือตลาดโบราณมีมากมายหลายเรือน

ธนบัตรและเหรียญ ส่วนแสดงธนบัตรและเหรียญนอกจากจะรวบรวมธนบัตรสมัยสงครามโลกแล้วยังมีธนบัตรและเหรียญในยุคต่างๆ ของไทย รวมทั้งยังมีของต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ห้องนี้จะกั้นกระจกตลอดแนวบางห้องมีแผงเหล็กกั้นอย่างแน่นหนา นอกจากแสดงธนบัตรและกษาปณ์แล้วยังมีการวางปืนสั้นและอาวุธอื่นๆ ไว้เป็นจุดๆ น่าสนใจมาก

หอสมุดภาพและข่าว สำหรับอาคารหลังนี้เป็นอาคารที่รวบรวมสมุดภาพซึ่งมีทั้งภาพสมัยสงครามโลกและภาพข่าวต่างๆ เก็บไว้อย่างมากมาย อยู่ติดกันกับอาคารพิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า บริเวณลานกว้างแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวสะพานข้ามแม่น้ำแควได้อย่างชัดเจน

พระธาตุแควใหญ่ อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารใหญ่ๆ 2 หลัง ด้านซ้ายมือของภาพนี้คือห้องสมุดภาพและข่าวส่วนด้านขวาเป็นพิพิธภัณฑ์เพชรพลอยเครื่องประดับและสงคราม ชั้นบนสุดของอาคารหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วบรมธาตุ เรียกว่าพุทธสถานพระเขี้ยวแก้วบรมธาตุ ซึ่งมีบันไดทางเดินขึ้น-ลง อยู่นอกอาคาร

พระโพธิสัตว์กวนอิม ภายในพระธาตุแควใหญ่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมและเทพเจ้าต่างๆ และพระสัมปันโน รวมทั้งมีระฆังสีทองขนาดใหญ่ ใต้ระฆังมีรูปลอยองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ภาพนี้เป็นวิวที่จะมองเห็นได้จากลานกว้างหน้าพระธาตุแควใหญ่ของหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจะเห็นนักท่องเที่ยวเดินชมสะพานข้ามแม่น้ำแควอยู่เป็นจำนวนมาก บางเวลาจะมีรถไฟสำหรับบริการนักท่องเที่ยวได้เดินทางข้ามแม่น้ำแห่งนี้แล่นไปมา

หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพมุมกว้างอาคารแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย ทางเดินขึ้นพุทธสถานพระเขี้ยวแก้วบรมธาตุ อยู่ใกล้ๆ กับกระท่อมด้านขวามือมุ่งตรงขึ้นไปสู่ชั้นบนสุดของอาคารที่ด้านล่างก็ยังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เพชรพลอยเครื่องประดับ

พิพิธภัณฑ์สงครามไทย-พม่า ภาพจากบนพุทธสถานพระเขี้ยวแก้วบรมธาตุ ซึ่งสามารถมองเห็นอาคารได้ทั้งหลัง และเห็นส่วนยอดของพระธาตุแควใหญ่ในระยะใกล้ๆ ได้ด้วย

ยอดพระธาตุแควใหญ่ การก่อสร้างทำด้วยลวดลายวงกลมหลายสีดูแปลกตาไปกว่าองค์พระธาตุทั่วไป

พุทธสถานพระเขี้ยวแก้วบรมธาตุ ภายในประกอบด้วยพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับนั่งปางมารวิชัย พระพุทธรูปปางบรรทมทิพย์ และพระพุทธรูปประทับยืนสององค์ที่มุมห้อง ทั้งหมดกั้นด้วยกระจก ภาพขวาบนเป็นจิตกรรมฝาผนังพระพุทธรูปประจำวันทั้งเจ็ดวัน ตรงกลางห้องมีรอยพระพุทธบาทจำลองครอบด้วยแก้ว ใกล้ๆ กับประตูเข้าออกมีพระพุทธรูปบูชาและวัตถุมงคลต่างๆ จัดไว้ในตู้กระจกทั้งหมด

งานศิลปะอ่อนช้อยงดงาม

พระพุทธรูปนิล ที่เห็นอยู่ในรูปเป็นพระพุทธรูปสร้างจากผงนิลอัดแน่นซึ่งเป็นผงจากการเจียรนัยนิล เป็นผลงานของร้านพลอยหน้าหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขนาดสูงเกือบ 1 ฟุตงดงามมากครับ
สำหรับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้คงเอาไว้เท่านี้ก่อน เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า ค่าเข้า 20 บาท ถูกมากเมื่อเทียบกับผลงานที่จัดแสดงไว้ทั้งหมดนี้
สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง