ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605
http://www.tourismthailand.org/chiangmai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
วัดธาตุน้อย จุดเริ่มต้นเดินทางท่องเวียงโบราณเวียงกุมกาม (อันที่จริงเนื่องจากเวียงกุมกามมีขนาดกว้างใหญ่ มีวัดอยู่มากมายในพื้นที่จะเริ่มจากจุดไหนก็ได้ แต่เนื่องจากวัดธาตุน้อยและวัดช้างค้ำ มีลานกว้างจอดรถบริการเช่นรถม้าได้จึงเหมาะแก่การเริ่มต้น) ที่ลานกว้างแห่งนี้สามารถเลือกจอดรถไว้แล้วใช้บริการรถม้าหรือรถบริการนำเที่ยว หรือจะขับรถไปเองก็ได้ แต่การขับรถไปเองจะผ่านเส้นทางวกไปเวียนมาและอาจจะเสียเวลามากกว่า
เมื่อจอดรถได้แล้วก็เดินมาที่วัดธาตุน้อยในภาพบนซ้ายก่อน เป็นวัดที่มีโบราณสถานหลงเหลืออยู่ไม่มาก แล้วจากนั้นก็เดินเข้าไปในวัดกานโถม (ช้างค้ำ) ซึ่งหน้าวัดมีรถม้าจอดรอให้บริการอยู่ เข้าไปในวัดมีบริการนวดแผนโบราณ ฝีมือเยี่ยม นวดตามอาการที่ต้องการ ปวดเมื่อยตรงไหนก็บอกไป ในทริปนี้มีสมาชิกหลายคนที่ลงมาจากวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพแล้วเกิดอาการคลื่นเหียนวิงเวียนเมารถ ก็เลยลองนวดแก้อาการเมารถ ปรากฏว่านวดขมับกับต้นคอ ไม่นานก็หายจากอาการเมารถเป็นปลิดทิ้ง อาการปวดหลังปวดเอวของคนขับรถก็หายเหมือนกัน
ประวัติวัดธาตุน้อย วัดธาตุน้อยนี้ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดกานโถม (ช้างค้ำ) ไม่ปรากฎประวัติความเป็นมาในตำนานทางประวัติศาสตร์ และเอกสารใด จึงเรียกชื่อโบราณสถานตามลักษณะของเจดีย์ที่มีขนาดเล็ก เดิมมีดินปกคลุมสูงประมาณ 60-70 เซนติเมตร กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะระหว่าง พ.ศ.2528-2529 พบโบราณสถานประกอบด้วย วิหารและเจดีย์
วิหารตั้งหันหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างอีก 1 แห่ง พื้นวิหารปูอิฐ พบร่องรอยฐานเสาทำจากศิลาแลงและก่ออิฐด้านบน ท้ายวิหารก่อเป็นซุ้มสำหรับประดิษฐานพระประธานปูนปั้น ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนฐานของซุ้มและส่วนหน้าตักของพระประธานกว้าง 2 เมตร เจดีย์ตั้งอยู่ด้านหลังวิหาร คงเหลือหลักฐานเพียงชั้นหน้ากระดานสี่เหลี่ยมชั้นล่าง โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากการขุดแต่งได้แก่ พระพิมพ์ดินเผา ปูนปั้นรูปเศียร เทวดา ยักษ์ และสัตว์ต่างๆ เช่น นาค กินนร นก หรือ หงส์ เป็นต้น พิจารณาจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรม สามารถกำหนดอายุวัดนี้ได้ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 19-20
เวียงกุมกามวัดกานโถม (ช้างค้ำ) เมื่อนวดกันจนหายเมารถ หายปวดเมื่อยแล้วต่อจากนี้ก็เดินชมภายในวัดกานโถม โบราณสถานที่ขุดพบที่นี่มีเพียงส่วนฐาน โคนเสา หลงเหลืออยู่ไม่มาก แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ หลายอย่าง เพราะวัดกานโถม (ช้างค้ำ) เป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา มีการก่อสร้างอาคารใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนหลายหลัง
หอพญามังราย เป็นอาคารไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนักอยู่เยื้องกับโบราณสถานวัดกานโถม ใกล้กับต้นศรีมหาโพธิ์
ประวัติหอพญามังราย พญามังราย ปฐมกษัตริย์ของแคว้นล้านนา ผู้สร้างเวียงกุมกาม เมื่อ พ.ศ. 1829 และสถาปนาวัดกานโถมเมื่อ พ.ศ. 1831 หอหรือศาลพญามังรายนี้เป็นที่สถิตย์ของเทพและเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในละแวกนี้มาแต่โบราณกาล
พระรูปพญามังราย ภายในหอพญามังรายมีพระรูปอยู่ภายใน ด้านหน้าหอพญามังรายวัดกานโถมแห่งเวียงกุมกาม มีควันธูปขโมงไปทั่วบริเวณ เพราะประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาที่เวียงกุมกามนี้จะสักการะพญามังรายด้วยความศรัทธาเคารพอย่างมาก
ต้นศรีมหาโพธิ์และพระธาตุช้างค้ำ ภาพซ้าย พระศรีมหาโพธิ์นี้เชื่อว่าเป็นแขนงที่เหลืออยู่ของพระศรีมหาโพธิ์ที่พญามังรายทรงโปรดให้หมู่พระมหาเถระไปบูชา และนำพันธุ์มาจากลังกาประเทศ จำนวน 4 ต้น โดยต้นหนึ่งทรงโปรดให้นำไปปลูกเมืองฝาง ตำบลรั้วนางต้นหนึ่ง เวียงพันนาทะการ(เวียงท่ากาน) ต้นหนึ่ง และต้นดังกล่าวนี้ทรงถวายพระราชมารดาของพระองค์ให้ปลูกไว้ ณ วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ)
ภาพขวา พระธาตุช้างค้ำ อยู่ห่างจากต้นศรีมหาโพธิ์ไม่ไกลนัก โดยมีพระวิหารอยู่ด้านหน้า และมีพระพุทธรูปปางประทานพรประดิษฐานอยู่
พระธาตุช้างค้ำ คำไหว้พระธาตุช้างค้ำ (กานโถม) เวียงกุมกาม
ตั้งนะโม 3 จบ
อะหัง วันทามิ อิธะ ปติฎฐิตา
พุทธะ ธาตุโย ตัสสานุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุเม
ข้าพเจ้าน้อมนมัสการกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ ณ ที่เวียงกุมกาม ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าประสพแต่ความสุขสวัสดีตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ
สัตว์ในวรรณคดี ภายในวัดช้างค้ำ หรือว่าวัดกานโถมมีรูปปั้นปูนเป็นสัตว์ในวรรณคดีอยู่หลายแห่ง เช่น รอบโบสถ์โบราณหลังเก่า ทางเดินหน้าหอพญามังราย หน้าพระวิหาร ซึ่งลักษณะลานปูนปั้นสวยงามแต่ละจุดเป็นสัตว์ไม่เหมือนกัน ทำให้ได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องสัตว์ในวรรณคดีเหล่านี้ได้
วิหารวัดกานโถม ถัดจากพระธาตุช้างค้ำเป็นพระวิหารซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ซุ้มประตูและหน้าต่างสร้างแบบเดียวกันทุกช่องบันไดนาคสร้างสวยงามทั้ง 2 ด้าน มีกระถางธูปเชียงเทียนให้จุดได้ที่ด้านหน้าเท่านั้น ภายในวิหารวัดกานโถมไม่ให้จุดธูปเทียน
หน้าบันวิหารวัดกานโถม พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์บนฐานลดหลั้นกันลงมาประดับด้วยงาช้างตามแบบอย่างโต๊ะหมู่บูชาชาวเหนือ
พระอุโบสถโบราณวัดกานโถม จากพระวิหารของวัด เดินย้อนกลับออกมาที่ทางเข้าหน้าวัดจะพบพระอุโบสถโบราณวัดกานโถม เป็นอุโบสถเก่าแก่สร้างเมื่อปี พ.ศ.1834 ที่อยู่ในสภาพดีมาได้อย่างทุกวันนี้เนื่องจากการบูรณะซ่อมแซมอย่างดีมาโดยตลอด จุดเด่นของอุโบสถหลังนี้ยังมีสัตว์ในวรรณคดียืนล้อมรอบ 4 มุม หันหน้าเข้าหาอุโบสถ โดยสร้างเป็นสัตว์แบบเดียวกัน 2 คู่ คู่หน้าและหลังโบสถ์
ภาพขวา สัตว์ในวรรณคดีข้างหน้าหอพญามังราย
พระอุโบสถโบราณวัดกานโถม ปัจจุบันด้านในของอุโบสถหลังนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์เล็กๆ และไม่ค่อยได้ใช้ในพิธีกรรมมากนัก เนื่องจากมีขนาดเล็กสามารถเข้าไปด้านในได้ไม่กี่คน
วัดศรีบุญเรือง ในวัดศรีบุญเรืองนี้ไม่ได้มีการพบโบราณสถานแต่อยู่ในพื้นที่เวียงกุมกามและหากขับรถไปเองก็จะเป็นทางผ่าน ปัจจุบันเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา สถานที่ที่น่าสนใจของวัดศรีบุญเรืองได้แก่ วิหารที่สร้างได้อย่างสวยงามทั้งด้านหน้า (ภาพบนขวา) และด้านข้าง (ภาพบนซ้าย) เดินเข้าไปด้านในวัดจะเห็นวิหารพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) โดยมีสะพานเดินเชื่อมต่อไปถึงวิหาร
พระเจดีย์วัดศรีบุญเรือง อยู่ด้านข้างของวิหาร เป็นเจดีย์ประดับกระจกสีทองย่อมุมไม้ยี่สิบ ล้อมด้วยกำแพงแก้ว มีฉัตรที่มุมทั้งสี่
พระเจดีย์วัดศรีบุญเรือง รอบกำแพงแก้วที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านมีประตูเข้าได้ด้านเดียว ภายในเป็นลานประทักษินขนาดไม่กว้างขวางนัก แต่ก็พอที่จะเดินทักสินาได้รอบพระเจดีย์
พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี เดินเข้ามาด้านในของวัดมากขึ้นจะพบพระธาตุเกตุแก้จุฬามณี ที่สวยงามมาก ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วใบเสมาขนาดกว้างขวาง องค์พระธาตุสีทองสวยงามสะดุดตา
ข้อมูลการสร้าง "...ภิกษุศรัทธาวัดศรีบุญเรืองร่วมสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ในวาระครบ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ในบริเวณเดียวกันมีการสร้างกำแพงล้อม มีพระพุทธรูปประทับยืน ประดิษฐานบนฐานยกสูงจากพื้นประมาณ 2.5 เมตร..."
วัดเจดีย์เหลี่ยม จากวัดศรีบุญเรืองเดินทางต่อมาอีกหน่อยก็จะถึงวัดเจดีย์เหลี่ยมอันเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งที่เหลืออยู่ของเวียงกุมกาม เนื่องจากองค์เจดีย์ที่ยังคงความสมบูรณ์ได้อย่างมากที่สุดในบรรดาวัดทั้งหมด เข้ามาที่ลานจอดรถข้างวิหารจากนั้นก็เดินชมรอบๆ บริเวณวัดสิ่งหนึ่งที่เห็นคือพระเจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ เด่นตระหง่านอยู่ในวัด
ประวัติวัดเจดีย์เหลี่ยม
วัดเจดีย์เหลี่ยม หรือ เจดีย์กู่คำ สร้างขึ้นในรัชสมัยของพญามังราย เมื่อปี พ.ศ. 1831 กล่าวคือ หลังจากที่พระองค์ได้ยกทัพมาตีเมืองลำพูนแล้วทรงมอบเมืองลำพูนให้อำมาตย์คนสนิทชื่อ อ้ายฟ้า ครองเมืองแทน ส่วนพระองค์ก็ยกทัพไปสร้างเมืองใหม่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ได้ 5 ปี จึงยกทัพไปสร้างเมืองใหม่อยู้ใกล้ฝั่งแม่น้ำปิง เมื่อปี พ.ศ. 1820 ให้ชื่อเมืองนี้ว่าเวียงกุมกาม จนถึงปี พ.ศ. 1830 พระองค์ทรงให้ช่างไปถ่ายแบบพระเจดีย์มาจากวัดจามเทวีลำพูน เพื่อนำมาสร้างให้เป็นที่สักการะแก่คนทั้งหลาย
หลังจากนั้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปี วัดนี้ได้ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง จนถึงปี พ.ศ. 2451 มีคหบดีชาวพม่าคนหนึ่งได้มาเห็นเข้า เกิดความเลื่อมใส ได้บูรณะขึ้นใหม่ โดยให้ช่างชาวพม่าเป็นผู้ดำเนินการ จึงมีศิลปแบบพม่าเข้ามาแทนที่ศิลปแบบขอม ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม คงมีแต่โครงสร้างที่ยังเป็นรูปเดิมอยู่เท่านั้น
ยอดเจดีย์วัดเจดีย์เหลี่ยมและพระพุทธรูปศิลปะพม่า แผ่นทองคำที่ปิดส่วนยอดขององค์เจดีย์ได้สั่งรีดจากศรีลังกา แผ่นทองนี้มีชื่อเรียกเฉพาะ *ข้อมูลจากไกด์ท้องถิ่น
วัดเจดีย์เหลี่ยม เวียงกุมกาม พระพุทธรูปบนเจดีย์ องค์เจดีย์มีขนาดใหญ่สามารถประดิษฐานพระพุทธรูปได้จำนวนหลายองค์ในแต่ละด้าน ไกด์ท้องถิ่นเล่าว่าองค์เจดีย์ขนาดใหญ่นี้มีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้ช่างจำนวนมากในการสร้างพระพุทธรูปแต่ละองค์รวมทั้งลักษณะของซุ้มก็มาจากฝีมือของช่างแต่ละคนซึ่งมีฝีมือและความถนัดต่างกันไปทำให้มองเห็นความแตกต่างขององค์พระและลักษณะของซุ้มในแต่ชั้นได้
นอกจากนี้สิงห์ที่อยู่ที่มุมพระเจดีย์ทั้งสี่ ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อยโดยบางมุมเป็นสิงห์ศิลปแบบพม่า
ภาพล่างขวาเป็นลานกว้างที่สามารถจอดรถได้ในวัดเจดีย์เหลี่ยมใกล้กับวิหารของวัด โดยมีรถม้ามาคอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะนั่งรถม้าชมเวียงกุมกาม หากเดินทางด้วนรถส่วนตัว อาจจะพบกับเส้นทางวกวนและไปไม่ครบวัดสำคัญๆ ในเวียงกุมกาม
พระอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยม เป็นอาคารที่สร้างแบบล้านนาได้อย่างสวยงาม อยู่ด้านข้างพระวิหารหลังใหญ่ของวัดเจดีย์เหลี่ยม บันไดนาคทั้งสองข้างตรงด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถมีลักษณะที่สวยงามรับกับหน้าบัน
พระอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยม อาคารหลังเล็กๆ ที่สร้างได้อย่างสวยงามสะดุดตาเป็นอย่างมาก เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากเป็นอันดับสองรองจากพระเจดีย์เหลี่ยมเลยทีเดียว ลักษณะลวดลายที่งดงามของซุ้มเหนือช่องหน้าต่างแต่ละช่อง ประดับด้วยนกยูงอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือ วัดสำคัญๆ หลายแห่งในภาคเหนือจึงพบเห็นรูปนกยูงประดับอยู่ที่ประตูหรือหน้าต่าง พระวิหาร หรือ พระอุโบสถหลายแห่ง
พระอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยมมีกำแพงแก้วล้อมรอบไม่สูงมากนัก ประตูทางเข้ากำแพงแก้วมีมอม ทั้ง 2 ข้าง (มอม เป็นสัตว์ในวรรณคดีแบบล้านนา มักพบเห็นอยู่ที่ทางเข้าพระวิหารหรือพระอุโบสถของวัดในภาคเหนือหลายแห่ง การสร้างมอมได้รับอิทธิพลมาจากจีน)
พระประธานพระอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยม สำหรับพระอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยม รวมทั้งภายในกำแพงแก้วที่ล้อมรอบองค์พระเจดีย์ เป็นเขตห้ามสุภาพสตรีเข้าภายใน ด้วยความเชื่อในการสร้างวัด อุโบสถ หรือพระเจดีย์ จะมีการฝังวัตถุมงคล ไว้ที่ฐานเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมแก่สถานที่ รวมทั้งสุภาพสตรีเอง จึงไม่ควรเข้าภายในเขตที่ทางวัดกำหนดไว้
หน้าบันที่สวยงามของอุโบสถวัดเจดีย์เหลี่ยม
วัดอีค่าง หลังจากได้เดินทางชมเวียงกุมกามที่วัดหลักๆ 2 วัด คือวัดกานโถม และวัดเจดีย์เหลี่ยม ซึ่งหากขับรถไปเองก็อาจจะหาวัดอื่นๆ ไม่พบหรือเสียเวลามากเพราะเส้นทางค่อนข้างวกวน จึงเปลี่ยนแผนมาใช้วิธีเดินทางด้วยรถม้าชมเวียงกุมกาม และได้พบกับวัดหลายแห่งที่คนขับรถม้าจะพาผ่านไปตามเส้นทางอย่างชำนาญและประหยัดเวลา
ประวัติวัดอีค่าง แต่เดิมเป็นป่ารกร้าง มีฝูงลิงค่างอาศัยอยู่มาก คำว่า "ค่าง" ตามภาษาท้องถิ่นออกเสียงว่า "อีก้าง" ซึ่งใช้เรียกเป็นชื่อวัดสืบต่อมา กรมศิลลปากรเข้าดำเนินงานขุดแต่ง โบราณสถานวัดอีค่างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘-๒๕๒๙ พบเจดีย์ตั้งอยู่หลังวิหารซึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือสู่ลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิง ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๔๖ มีการขุดตรวจพบแนวกำแพงแก้วในพื้นที่ทางด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ และจะมีการขุดค้นขุดแต่งต่อไป
เจดีย์วัดอีค่างยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานบัวลูกแก้วสูง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกับวิหาร และมีลานกว้างสำหรับประทักษินรอบเจดีย์ วิหารคงเหลือเพียงฐานขนาดใหญ่ พบร่องรอยฐานเสาบนพื้นอาคารถึง ๑๖ ต้น มีบันไดทางขึ้น-ลงด้านหน้าวิหารและด้านข้างบริเวณลานประทักษิน ซึ่งประดับปูนปั้นรูปตัวเหงาที่หัวบันได
การวิเคราะห์ตะกอนวิทยาของชั้นดินจากวัดอีค่าง ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาประเด็นเรื่องน้ำท่วมเวียงกุมกาม จากการศึกษาหลักฐานบ่งบอกให้ทราบถึงการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ซึ่งมีความรุนแรงพอที่จะพัดพาตะกอนมาทับถม ประกอบกับการเกิดน้ำท่วมเป็นระยะๆ ทำให้ชั้นดินมีตะกอนทรายหยาบสลับทรายละเอียดและสลับกับกรวด ได้พบโบราณวัตถุที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เช่นเศษภาชนะดินเผาจากเตาสันกำแพง และเตาเวียงกาหลงถูกขัดสีจนสึกกร่อนและขอบบนทับถมรวมกันอยู่ในชั้นตะกอนทราย แสดงว่าการเกิดน้ำท่วมซึ่งพัดพาตะกอนทรายและโบราณวัตถุมาทับถมน่าจะเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๒๒ หรือหลังจากนั้น
พิจารณาจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรม วัดนี้น่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษ ที่ ๒๑-๒๒ การพบจารึกอักษรฝักขามและอักษรธรรมล้านนาเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวัดนี้มีการดำรงอยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
โบราณสถานอื่นๆ ในเวียงกุมกาม ตามเส้นทางที่รถม้าพาไปชมนั้นยังมีวัดอีกหลายแห่งที่จะพบได้ระหว่างทาง ได้แก่
วัดปู่เปี้ย ถือเป็นวัดที่มีความงดงามแห่งหนึ่งในเวียงกุมกาม รูปแบบผังการสร้างวัด และ รูปแบบเจดีย์ประธานมณฑปมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โบราณสถานประกอบด้วยวิหารสร้างยกพื้นสูง เจดีย์ อุโบสถ ศาลผีเสื้อ และแท่นบูชา พร้อมทั้งมีลวดลายปูนปั้นประดับเจดีย์ที่สวยงามมาก
วัดพระธาตุขาว (วัดธาตุขาว) ที่เรียกกันว่าวัดธาตุขาวเนื่องมาจากแต่เดิมนั้นตัวเจดีย์ยังคงปรากฏผิวฉาบปูนสีขาวนั่นเอง โบราณสถานประกอบด้วยวิหาร เจดีย์ อุโบสถ และมณฑป โดยมีการก่อสร้างขึ้นมา 2 ระยะคือ ระยะแรกก่อสร้างเพียงเจดีย์ วิหาร อุโบสถ แต่ต่อมาเกิดการชำรุดจึงต่อเติมฐานเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้น ระยะที่สองมีการก่อสร้างมณฑปสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป
วัดพระเจ้าองค์ดำ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกาม โดยอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนมีการขุดแต่งนั้นเป็นสวนลำไย มีพื้นที่เป็นเนินดิน 2 แห่ง ชาวบ้านเรียกว่า เนินพญามังราย และเนินพระเจ้าดำ และสันนิษฐานว่าที่เรียกวัดพระเจ้าองค์ดำนี้ เพราะวัดแห่งนี้เคยมีพระพุทธรูปสีดำประดิษฐานอยู่ โบราณสถานที่พบส่วนใหญ่เป็นวิหารหลายหลัง มีซุ้มประตูโขงและแนวกำแพง ถัดจากซุ้มโขงเข้ามามีวิหารและเจดีย์
วัดพญามังราย ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดพระเจ้าองค์ดำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อวัดพญามังรายนี้เป็นชื่อเรียกที่ตั้งขึ้นมาใหม่โดยกรมศิลปากร เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวัดนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากการที่เห็นว่าตั้งอยู่ใกล้วัดพระเจ้าองค์ดำมากที่สุดจนดูเหมือนเป็นวัดเดียวกัน เอกลักษณ์ของวัดนี้อยู่ที่การสร้างพระวิหารที่ไม่มีทางขึ้นลงหลักไว้ที่ด้านหน้า แต่สร้างไว้ที่ด้านซ้าย (กรณีที่หันหน้าไปทางหน้าวัด) ในส่วนพระเจดีย์พบร่องรอยการตกแต่งปูนปั้นลายช่องกระจกสอดไส้
วัดหัวหนอง ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามใกล้กับกำแพงเมืองทางด้านเหนือ ภายในประกอบด้วยซุ้มโขงประตูใหญ่ อุโบสถ มณฑป วิหารและเจดีย์ มีลวดลายปูนปั้นประดับซุ้มประตูวัดเป็นรูปกิเลน สิงห์ หงส์ที่มีความงดงาม
วัดกุมกาม ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านทิศเหนือของวัดกานโถม สิ่งก่อสร้างภายในวัดประกอบด้วยวิหารพร้อมห้องมูลคันธกุฏี และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม
วัดไม้ซ้ง ตั้งอยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ภายในเวียงกุมกาม บริเวณรอบวัดเป็นทุ่งนา สถาพก่อนการขุดแต่งเป็นเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีต้นไม้ใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่าไม้ซ้งอยู่ (เป็นที่มาของชื่อวัด) โบราณสถาน ประกอบด้วยวิหารเจดีย์แปดเหลี่ยม และฐานซุ้มประตูโขงพร้อมกำแพง
วัดกู่ขาว ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สภาพรอบๆ วัดก่อนการขุดแต่งพบเจดีย์มีความสูงประมาณ 5 เมตร และรอบๆ องค์เจดีย์เป็นเนินดิน หลังจากขุดลอกดินที่ทับถมอยู่ได้พบโบราณสถาน 3 แห่งคือ กำแพงแก้วและซุ้มประตูอยู่หลังเจดีย์, เจดีย์ประธานเป็นศิลปะล้านนา เรือนธาตุมีลักษณะสูงก่อทึบตันทั้ง 4 ด้าน (ไม่ทำซุ้มพระ) ส่วนยอดเจดีย์เป็นฐานบัวแปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆัง และวิหารที่มีมุมฐานบัวลูกแก้ว ฐานชุกชีเดิม และลายกลีบบัว
วัดกู่ป่าด้อม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นอกเวียงกุมกาม ชื่อของวัดนี้ได้ตั้งชื่อตามเจ้าของที่ดิน โบราณสถานของวัดมีขนาดใหญ่ประกอบด้วย วิหารฐานใหญ่ มีบันไดทางขึ้นวิหาร มีราวบันไดด้านปลายเป็นรูปตัวเหงา ส่วนเจดีย์เหลือเพียงฐานเท่านั้น มีกำแพงแก้วก่อล้อมรอบโบราณสถาน กำแพงแก้วด้านหน้าทางเข้าวิหารมีซุ้มโขง วัดแห่งนี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21-22
วัดโบสถ์ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกนอกเวียงกุมกาม โบราณสถานประกอบด้วยวิหารซึ่งเหลือเพียงฐาน และเจดีย์มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
วัดกู่อ้ายหลาน เป็นวัดขนาดเล็กตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเวียงกุมกาม ชื่อวัดเรียกตามเจ้าของที่ที่ชื่ออ้ายหลาน โบราณสถานประกอบด้วยวิหารที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจดีย์ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แท่นบูชา กำแพงแก้ว และซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก
วัดกู่อ้ายสี เป็นวัดขนาดเล็ก โบราณสถานประกอบด้วย วิหาร เจดีย์ ซึ่งเหลือเพียงฐาน และแท่นบูชา
วัดกู่มะเกลือ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านทิศตะวันออก เรียกชื่อวัดตามชื่อต้นไม้ที่ขึ้นบนโบราณสถาน หลังจากทำการขุดลอกดินออกแล้ว พบเจดีย์และวิหารตั้งอยู่บนฐานเดียวกันและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
วัดกู่ลิดไม้ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านใต้ วัดนี้เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันเนื่องจากมีต้นเพกา (ต้นลิดไม้) ขึ้นอยู่บนเนินวัด โบราณสถานประกอบด้วยวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจดีย์ด้านหลังวิหารเหลือเพียงฐาน และเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม มีซุ้มประตูโขงและกำแพงแก้ว
วัดกู่จ๊อกป๊อก ตั้งอยู่นอกกำแพงเวียงกุมกามทางทิศตะวันออกฉียงใต้ โบราณสถานประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ ซึ่งเหลือเพียงฐาน
วัดเสาหิน ตั้งอยู่เขตท้องที่ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของวัดนี้ในอดีต
วัดหนองผึ้ง ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเป็นวัดในสมัยเวียงกุมกาม-เชียงใหม่ หรือบางทีอาจจะมีสภาพเป็นวัดดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยหริภุญไชย มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณวัตถุประเภทพิมพ์แบบลำพูน สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้คือ วิหารพระนอน เป็นองค์พระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์ขนาดยาว 38 ศอก (39 เมตร)
วัดข่อยสามต้น อยู่ในบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเขตเวียงกุมกาม ชื่อวัดนี้ตั้งตามจุดสังเกตที่เป็นต้นข่อยจำนวน 3 ต้น ที่ขึ้นเจริญเติบโตในพื้นที่บริเวณวัด และไม่ปรากฏความเป็นมาในเอกสารและตัวแทนทางประวัติศาสตร์
วัดพันเลา อยู่ในท้องที่ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดร้างขื่อดั้งเดิมที่ชุมชนเรียกสืบทอดต่อกันมา คาดว่ามาจากชื่อวัดที่มีคำนำหน้าว่า “พัน” นำหน้านั้น น่าจะหมายถึง ยศทางทหาร หรือขุนนาง ที่เดิมวัดนี้อาจเป็นวัดอุปถัมภ์ของนายทหารหรือขุนนางชื่อ “เลา” ตั้งอยู่ริมถนนท่าวังตาลซึ่งอยู่นอกเวียงกุมกามทางด้านทิศเหนือ สภาพโบราณสถานมีการก่ออิฐกระจายหลายแห่ง พบชิ้นส่วนของพระพุทธรูป และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอะไร และยังคงคาดว่ามีอีกหลายวัดที่จมอยู่ใต้พื้นดิน และบ้านเรือนของชาวบ้านที่กำลังรอการบูรณะขึ้นมา
วัดหนานช้าง โบราณสถานข้างหน้านี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบออกร่องรอยของอุทกภัยที่มีผลต่อเวียงกุมกามในอดีตกาล ชั้นตะกอนทรายและชั้นดินที่ทับถมหนาถึง 1.80 เมตร ได้ถูกขุดค้นในปี พ.ศ. 2545-2546 เปิดเผยให้เห็นซากของอาคารต่างๆ ที่เหมือนกันกับวัดอื่นๆ ในเวียงกุมกาม จะต่างกันคือที่นี่มีการสร้างทับซ้อนกันอย่างน้อย 2 สมัย
สมัยแรกสร้างซุ้มประตูโขงและแนวกำแพงแก้วล้อมรอบวิหารและเจดีย์ สมัยต่อมามีการขยายขอบเขตของวัดออกไปอีกด้วยการรื้อกำแพงแก้วด้านหลังออกและสร้างอาคารต่างๆ ภายนอกเพิ่มเติมขึ้นมา โดยเฉพาะซากของอาคารทรงมณฑปหลังที่มีราวบันไดทางขึ้นเป็นปูนปั้นรูปมกรคายนาค ทับอยู่บนส่วนของกำแพงแก้วที่รื้อออกแล้วสร้างกำแพงแก้วต่อขยายออกไปล้อมอาคารต่างๆ ไว้โดยรอบ
วัดนี้มีชื่อว่าวัดหนานช้าง เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่บรรพบุรุษของเจ้าของที่ดิน ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ วัดนี้หันหน้าไปทางทิศเหนือ ต่างจากวัดส่วนใหญ่ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาจเพราะสร้างเพื่อหันหน้าไปสู่เส้นทางสัญจรทางน้ำที่เรียกว่า "ปิงห่าง"
ศิลปกรรมปูนปั้นสวยงามที่พบ นอกจากมกรคายนาคที่กล่าวมาแล้วได้พบลายปูนปั้นรูปสัตว์ในเทพนิยายเช่น กิเลน เหมราช สิงห์ บริเวณท้องไม้ด้านตะวันตกของฐานชุกชี บนวิหารหลังใหญ่
นอกจากนั้นได้พบเครื่องลานครามสมัยราชวงศ์หมิงของจีน (พ.ศ.1911-2187) จำนวน 2 กลุ่ม รวม 55 ใบ กลุ่มหนึ่งจำนวน 47 ใบ บรรจุอย่างเป็นระเบียบในไหและฝังอย่างตั้งใจ บริเวณระหว่างอาคารทรงมณฑปกับอาคารอื่นๆ อาจด้วยเหตุเพราะต้องอพยพจากไปเพราะภัยสงครามก่อนหน้าถูกตะกอนทราบทับถมในเวลาต่อมา หนึ่งในจำนวนภาชนะกลุ่มนี้เป็นผลิตภัณฑ์จากเตาเผาหลวงในสมัยจักรพรรดิ์ต้าหมิงวันลี่ (พ.ศ.2116-2162) ซึ่งตรงกับสมัยที่มาปกครองเชียงใหม่ ภาชนะอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน 8 ใบถูกฝังอยู่ในชั้นตะกอนทรายบริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นผนังดินกั้นน้ำทางทิศเหนือของวัด นับเป็นหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์กับจีนและสามารถไขปัญหาได้หลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเวียงกุมกาม
กำหนดอายุของวัดนี้ในราวพุทธศตวรรษที่ 21-22
บ้านโบราณล้านนา นั่งรถม้าชมโบราณสถานเวียงกุมกามจำนวน 10 แห่ง ได้แก่ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดธาตุน้อย วัดช้างค้ำ วัดธาตุขาว วัดพญามังราย วัดพระเจ้าองค์ดำ กู่ป้าด้อม วัดปู่เปี้ย วัดหนานช้าง และวัดอีก้าง ใช้เวลานำชมประมาณ 45 นาที หลังจากนั้นรถม้าจะมาส่งที่จุดเริ่มต้นคือวัดกานโถม นอกเหนือจากบริเวณศาสนสถานที่น่าสนใจหลายอย่างในวัด ยังมีบ้านล้านนาโบราณที่สร้างเหมือนกับในอดีตไว้ให้ชมเป็นความรู้ นอกจากนี้ยังมีตลาดที่จำหน่ายสินค้ามากมายหลายอย่าง ที่เด่นๆ คือผ้าลายสวยๆ หลายแบบ บริการนวดแผนโบราณและร้านไส้อั่วที่รสชาดอร่อยสุดยอดมีคนสั่งซื้อโดยส่งทางรถไฟทั่วประเทศทีเดียว
จบการนำเที่ยวเวียงกุมกามไว้เท่านี้ก่อนครับหากมีอัพเดตใหม่ๆ จะเอามาลงเพิ่มให้ได้ชมกันอีก
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ