ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605
http://www.tourismthailand.org/chiangmai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
เริ่มต้นจากลานจอดรถ การเดินทางมายังวัดโลกโมฬีในวันนี้นั้นต้องยอมรับเลยครับว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาตั้งแต่แรก ในช่วงเวลา 2-3 วันที่ผมได้เดินทางไปที่เชียงใหม่และพักอยู่ในตัวเมือง เช้าวันหนึ่งผมออกมาหาข้าวเช้ากินขับรถวนไปวนมารอบๆ คูเมือง แล้วมาสะดุดที่วัดแห่งนี้เข้า ด้วยความสวยงามของพระวิหารและความสูงเด่นเป็นสง่าของพระเจดีย์ทำให้ผมเลี้ยวรถเข้าจอดพร้อมกับกล้องคู่กาย ลานจอดรถของวัดรองรับรถได้ไม่มากนัก มีนักท่องเที่ยวเข้า-ออกตลอดเวลาส่วนใหญ่จะจอดขนานกับวิหารเพื่อให้เดินเข้าวิหารได้ใกล้ที่สุดส่วนผมจอดตรงอีกด้านหนึ่งใกล้ๆ กุฎิคุ้มพญาเกศ เพราะจำเป็นต้องถ่ายรูปวิหารจะจอดขนานกับวิหารรถก็บังแย่
หลังจากที่ได้ถ่ายภาพชุดนี้ผมบูชาหนังสือตำราวัดโลกโมฬีจากวัดมานั่งอ่านถึงได้เห็นข้อความตอนหนึ่งเขียนไว้ในหนังสือว่า หากใครได้ผ่านมาเห็นวัดโลกโมฬีก็อยากจะเข้ามาชมภายในวัดกันทั้งนั้น ช่างเหมือนกับที่ผมเป็นอยู่ในตอนที่ขับรถผ่านมาเลย
กุฎิคุ้มพญาเกศ จากข้อมูลที่ให้ไว้ในเบื้องต้นที่คัดออกมาจากหนังสือตำนานวัดโลกโมฬีเกี่ยวกับกุฎิแห่งนี้ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกได้เลยว่ามีอายุไม่มากแต่สร้างออกมาได้สวยงามมากติดต่อสอบถามเรื่องใดเกี่ยวกับวัดโลกโมฬีเชิญในกุฎินี้ได้เลยครับถ้าท่านเจ้าอาวาสท่านอยู่จะได้สนทนากับท่าน
ลานกว้างหน้ากุฎิหลังนี้ถูกแบ่งออกด้วยอ่างบัวเล็กๆ แต่ยาวตรงไปยังกุฎิเสมือนเป็นขอบทางเดิน ส่วนที่เห็นด้านซ้ายในภาพนี้เป็นวิหารเจ้าแม่กวนอิมหรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
กุฎิแห่งนี้สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2549 ทรงรูปแบบล้านนาเป็นอนุสรณ์แก่พญาเกศเชษฐราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเป็นองค์อุปถัมภ์ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีหลายครั้ง
ด้านหน้ากุฎิคุ้มพญาเกศ ภาพมุมนี้จะปรากฏให้เห็นอยู่อีกหลายๆ เว็บหรือบล็อคต่างๆ ที่เขียนเกี่ยวกับวัดโลกโมฬี ศิลปะการก่อสร้างแบบล้านนาเน้นลวดลายคล้ายงานแกะสลักแต่ทำด้วยปูน ส่วนหน้าบันขึ้นไปประดับได้สวยงามมากเข้ากันอย่างลงตัวกับส่วนอาคารที่มีลวดลายแบบเดียวกัน
วิหารเจ้าแม่กวนอิม สร้างด้วยรูปบบสถาปัตยกรรมเดียวกันกับกุฎิคุ้มพญาเกศ และอยู่ติดกันเลยดูกลมกลืนกันอย่างสวยงามผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพมาหลายๆ มุมแต่ก็ต้องมีด้านหน้าตรงเพื่อให้เห็นลายละเอียดได้มากๆ ความแตกต่างของกุฎิคุ้มพญาเกศกับวิหารเจ้าแม่กวนอิมนี้คงมีตรงบริเวณส่วนหลังคาที่มีลักษณะแบบจีนผสมผสานกันอย่างลงตัว
ดอกบัวขาวแสนสวย ท่ามกลางแสงแดดที่แรงกล้ามีร่มเงาของต้นไม้ให้หลบร้อนได้บ้างเล็กน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่ในวัดโลกโมฬีแห่งนี้เป็นที่โล่งครับ โดดเด่นที่สถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ อย่างวิหาร พระเจดีย์ และกุฎิคุ้มพญาเกศ บางเวลาที่เมฆกลุ่มใหญ่ลอยมาบังแสงอาทิตย์เป็นช่วงเวลาที่ถ่ายภาพวิหารหรืออาคารต่างๆ ได้ยากเพราะผมชอบท้องฟ้าสดใสแดดจัดมากกว่า เวลาเหล่านั้นเอามาเก็บภาพดอกบัวในวัดรอไปก่อน
อนุสาวรีย์พระนางจิรประภา สำหรับผมแล้วความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไม่ค่อยจะมี หากไม่อ่านประวัติของวัดความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 600 ปี ในหนังสือผมก็คงไม่รู้ว่าพระนางจิรประภามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับวัดแห่งนี้ ทางวัดจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นมา อนุสาวรีย์พระนางจิรประภาสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2547 พระนางจิรประภา (กษัตรีแห่งราชวงศ์มังรายองค์ที่ 15) เป็นผู้ได้ทำนุบำรุงวัดโลกโมฬี วัตถุประสงค์ในการสร้าง เพื่อให้อนุชนได้ทราบถึงองค์อุปถัมป์ในอดีต บ้างก็เชื่อกันว่าการได้มาไหว้อนุสาวีย์พระนางจะทำให้สมหวังในความรัก
อนุสาวรีย์พระนางจิรประภา มองจากไกลๆ เห็นรูปทรงการสร้างวิหารแห่งนี้เป็นศาลาเรียบๆ ง่ายๆ อยู่มุมสุดของเขตวัดในปัจจุบัน (ในอดีตวัดนี้มีพื้นที่ใหญ่กว่าที่เห็นในปัจจุบันเยอะมาก)
คำไหว้พระนางจิรประภามหาเทวี
มหาเทวีจิรประภา วันทามิ สิระสา สะทาโสตถี ภะวันตุ เมฯ ข้าพเจ้าของไหว้พระแม่จิรประภาด้วยความนอบน้อมความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเทอญ
วิหารวัดโลกโมฬี แน่นอนอยู่แล้วครับว่าการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะศาสนสถานอย่างเช่นวัดเป็นต้นจะต้องมีมุมมหาชนอยู่ที่หนึ่งแต่ไม่ใช่มุมนี้แน่นอน สำหรับภาพด้านข้างของวิหารนี้เพื่อให้ได้เห็นว่าการก่อสร้างวิหารแบบล้านนาที่เน้นส่วนหลังคาให้สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ด้านข้างมีทางเดินเข้า-ออกวิหารได้ แต่ที่นิยมกันจะเดินเข้าทางประตูหน้ามากกว่าเพราะด้านหน้ามีความสวยงามมาก
เนื่องจากวัดโลกโมฬีมีความสวยงามมากและมีพระเจดีย์ที่โดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกลทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาตลอดทั้งวัน ผมนั่งรอจังหวะและโอกาสดีๆ ที่รถจะเคลื่อนออกไปจากด้านข้างของวิหารและเก็บภาพเหล่านี้ได้
วัดโลกโมฬี มุมมหาชนวัดโลกโมฬีมีให้เห็นได้บ่อยๆ แต่ผมก็ลองเดินหามุมอื่นๆ ดูแล้วจะถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ออกมาได้ยังไงก็คงเป็นมุมด้านนี้จะแตกต่างกันบ้างก็คงไม่มาก ภาพที่ใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายและพยายามให้พระเจดีย์เอียงน้อยที่สุดนี้ต้องใช้เวลานานมากครับ จังหวะดีๆ จะมีมาให้ไม่บ่อย เท่าที่ผมรอว่ารถจะออกจากข้างวิหารหมดทุกคันแบบนี้ พอมีเวลาไม่นานจะมีรถคันใหม่เลี้ยวเข้ามาในวัดและจอดข้างวิหารก็อดได้ภาพและต้องรอต่อไป
คิดๆ ดูแล้วคนที่เลี้ยวรถเข้ามาหลายๆ คนคงมีความรู้สึกคล้ายๆ กันคือทีแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาแต่ขับรถผ่านมาแล้วอดใจไม่ได้ ในหนังสือเรื่องตำนานวัดโลกโมฬีก็กล่าวไว้อย่างเดียวกันว่าหากได้เห็นวัดแห่งนี้แล้วจะต้องมีความรู้สึกอยากเข้ามาเยี่ยมชมกันเสมอ
ด้านหน้าวิหารวัดโลกโมฬี แล้วผมก็กลับมาใช้มุมที่ตัวเองถนัดที่สุดคือมุมด้านหน้าตรง มุมนี้ก็เป็นมุมมหาชนเหมือนกันครับมีนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ในวันที่ผมไปเป็นชาวต่างชาติชางเอเซียครับชาวตะวันตกหรือฝรั่งมีมาเหมือนกันแต่น้อยกว่า
อย่าลืมนะครับว่ามาวัดให้มาช่วงเช้าไม่งั้นย้อนแสงแล้วจะอดได้ภาพสวยๆ กลับบ้าน
ส่วนหน้าบันของวิหารมีการประดับด้วยภาพขนาดเล็กๆ หลายภาพเป็นเรื่องราวต่างๆ และมีภาพพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรอยู่ 2 ด้าน
บันไดของวิหารมีไม่กี่ขั้นภายนอกที่มีแสงแดดแรงกล้าแบบนี้เมื่อเดินเข้าไปในวิหารจะพบว่ามีแสงน้อยมากครับ
พระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในวิหารสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 บรรจุพระบรมธาตุไว้ภายในองค์พระ 2 องค์ พระบรมธาตุองค์หนึ่งได้รับการประทานมาจากสมเด็จพระสังฆราชแห่งลังกา ความสวยงามของวิหารหลังนี้นอกเหนือจากสถาปัตยกรรมภายนอกแล้ว ยังมีภาพและลวดลายบนเพดานวิหารที่สวยงามอีกด้วย
พระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ (ต่อ) ลองขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ภาพที่ชัดกว่าภาพแรก เบื้องหน้าองค์พระมีธรรมาสน์สำหรับใช้ในกิจกรรมทางศาสนาภายในวิหาร
เพดานวิหารวัดโลกโมฬี เมื่อไหว้พระประธานภายในวิหารเสร็จแล้วลองแหงนหน้าขึ้นมองบนเพดานของวิหาร ปกติผมไม่ได้คิดว่าจะมีการประดับวิจิตรพิสดารบนเพดานของวิหารหรือพระอุโบสถของทุกวัด บางครั้งอาจจะพบภาพจิตรกรรมที่สวยงามบนนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เพดานของวิหารวัดโลกโมฬีมีสิ่งที่แตกต่างไปยิ่งกว่า นั่นก็คือภาพนูนต่ำพระพุทธประวัติสีทอง รายล้อมด้วยภาพเทวดาตกแต่งได้งดงามมาก
ภาพพระพุทธประวัติเพดานวิหารวัดโลกโมฬี ขยายให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกหน่อย ภาพล่างเป็นภาพเรื่องประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชดำเนินได้ 7 ก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ
ประตูวิหารจากภายใน หลังจากที่ได้เก็บภาพส่วนต่างๆ ของวิหาร และพระพุทธรูปองค์ประธานในวิหารเรียบร้อยแล้วจะเดินหันหลังกลับออกมาจากวิหารเห็นสภาพแสงที่ส่องเข้ามาจากด้านหน้าตัดกับเสาและผนังวิหารที่สร้างจากไม้มองออกไปถึงกำแพงวัดตรงกันกับประตูของวิหารมีซุ้มประตูวัดสำหรับให้คนเดินเข้า-ออก (ประตูใหญ่สำหรับรถ) ซุ้มประตูเองก็สร้างได้สวยงามกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมอื่นๆ ภายในวัด
โพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ต้นโพธิ์สองต้นที่อยู่ด้านหน้าวิหารมีใบเป็นสีเงินและสีทองอย่างละต้น คนที่นำใบโพธิ์มาติดจะเขียนชื่อตนเองลงบนใบโพธิ์คนละใบๆ จนเต็มต้นอย่างที่เห็น การทำเช่นนี้เชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
พระเจดีย์วัดโลกโมฬี เดินชมบริเวณด้านหน้าของวัดรอบวิหารมาพักใหญ่ ได้เวลาเดินเข้ามายังพระเจดีย์บ้าง จากที่เห็นในภาพจะเห็นว่าพระเจดีย์องค์นี้ยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก มีเพียงส่วนยอดที่หักลงมาและได้ทำการบูรณะใหม่ในปีพ.ศ. 2548 ระหว่างพระเจดีย์กับวิหารมีทางถนนคั่นอยู่ตรงกลางและมีกำแพงกั้นรอบพระเจดีย์ เป็นสิ่งที่ผมยังไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติการสร้างวิหารและเจดีย์ตามแบบวัดของชาวเหนือ เจดีย์จะอยู่ด้านหลังของวิหาร หรืออุโบสถแบบชิดกันเสมอ แต่วิหารหลังนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ในภายหลังปีพ.ศ. 2545 ผมคิดเอาเองว่าในตอนนั้น ถนนหรือทางเดินสายนี้คงมีมาอยู่ก่อนแล้วจึงสร้างวิหารให้แยกออกไปต่างหาก
ซุ้มประตูพระเจดีย์ ในการที่จะเข้าไปสักการะบูชาพระเจดีย์ซึ่งมีกำแพงล้อมอยู่จะต้องผ่านซุ้มประตูแห่งนี้ ลวดลายการสร้างงดงามเหมือนกับซุ้มประตูแห่งอื่นๆ ในวัด มีการประดับด้วยกระจกสีเป็นวงกลมเล็กๆ หลายสีบนลวดลาย มีนกยูงอยู่ทั้ง 2 ข้าง สำหรับนกยูงนั้นถือว่ารูปนกยูงเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งมองดูวิจิตรและสง่างาม เป็นจุดเด่นหนึ่งบนหน้าบันวิหารวัดพันเตา
พระสิวลีกับเสาพญานาค 12 นักษัตร ด้านหน้าเยื้องมาทางขวาขององค์พระเจดีย์ที่มีอายุกว่า 600 ปี องค์นี้มีพระสิวลีประดิษฐานบนแท่นที่สร้างด้วยอิฐสูงขึ้นไปไม่มากนัก ด้านหลังมีแท่นฐานสร้างด้วยอิฐแบบเดียวกันกับฐานพระสิวลีแต่ความสูงต่างกันเล็กน้อย มีเสาที่ทำจากไม้แกะสลักรูปพญานาคมีสามเศียร 2 ตัวพันกันขึ้นไปด้วยระยะการเกี้ยวพันกันของพญานาคมีช่องขนาดเท่าๆ กัน 12 ช่อง แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ 12 ปี 12 นักษัตรจนสุดตรงปลายหางพอดี นับเป็นฝีมือการแกะสลักที่สวยงามและยากยิ่ง ความสูงของเสาต้นนี้นั้นประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของพระเจดีย์เลยทีเดียว
ลอดซุ้มประตูพระเจดีย์ ภาพถ่ายจากมุมลอดซุ้มประตูให้ชมบริเวณพระเจดีย์ได้ทั่วถึงอีกภาพ เป็นมุมที่ทำให้เราได้เห็นว่าบริเวณฐานพระเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์โดยรอบ สถานที่สำหรับจุดเทียนธูปบูชาองค์พระเจดีย์กลางร่มไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ให้ตักบาตรพระประจำวันเกิดด้วยครับ
ซุ้มประตูด้านนอกวัดโลกโมฬี เมื่อสักการะพระเจดีย์ของวัดแล้ว เข้าชมในวิหารแล้ว ก็เป็นเวลาของการเดินหารายละเอียดอื่นๆ เพื่อไม่ให้ตกหล่นจะได้มีภาพมาให้ชมกันได้ทั่วบริเวณของวัด คราวนี้ผมเดินย้อนออกมาด้านหน้าและออกมาด้านนอกของวัด ส่วนกำแพงที่ได้เห็นตั้งแต่แรกเป็นสิ่งที่สะดุดตาผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาได้อย่างดีเหมือนกันเพราะมีความสวยงามมาก
กำแพงและซุ้มประตูนี้สร้างขึ้นในภายหลังแต่รูปแบบการสร้างด้วยอิฐให้กลมกลืนลงตัวกับพระเจดีย์เก่าแก่ของวัดเป็นซุ้มประตูสำหรับให้คนเดิน-ออกอยู่ตรงกันกับหน้าวิหารล้านนา ข้างซุ้มประตูด้านนอกมียักษ์ยืนถือกระบอง ทั้งสองข้าง
วิหารทรงล้านนาจากด้านนอกกำแพง เมื่อออกไปข้างนอกแล้วก็กลับเข้ามาด้านในเห็นภาพนี้มีซุ้มประตูของกำแพงวัดที่หนาพอสมควรและก็เห็นวิหารที่สวยงามอยู่ตรงกลางพอดีนักท่องเที่ยวหลายคนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะมาถ่ายภาพวิหารจากมุมนี้กันหลายคน (แต่คงไม่ได้เอาซุ้มประตูมาเป็นกรอบภาพแบบนี้) ก่อนที่จะเดินเข้าไปชมวิหาร เพราะนักท่องเที่ยวเหล่านั้นใช้วิธีการเดินชมเมืองเชียงใหม่คล้ายๆ กันกับการเดินชมรอบๆ กรุงเทพฯ แต่มีนักท่องเที่ยวบางคนเดินมาถามผมเหมือนกันว่ามีร้านเช่าจักรยานหรือเปล่า ผมก็สอบถามคนในวัดให้เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สุดท้ายคนในวัดก็บอกว่ามีร้านเช่าจักรยานอยู่ห่างจากวัดโลกโมฬีไปตามคูเมืองประมาณ 2 กิโลเมตร (โหงั้นคงไม่ไปเช่าแล้วละครับเดินชมเมืองเชียงใหม่ต่อดีกว่า) ชาวต่างชาติก็คงไม่ได้คิดว่าเมืองเชียงใหม่จะใหญ่ขนาดนี้และถ้าอยากเที่ยวชมวัดให้ได้หลายๆ แห่งต้องเดินกันจนหมดแรงไปข้างละครับ
บันไดทางเดินเข้าวิหาร เพราะส่วนใหญ่การถ่ายภาพวิหารหลังนี้มีมุมมหาชนอยู่ที่มุมเฉียงมองเห็นพระเจดีย์ กับมุมด้านหน้าตรงแต่ถ่ายให้เห็นครบทุกส่วน ผมก็เลยลองถ่ายเฉพาะส่วนที่จะเห็นบันไดกับราวบันไดให้ชัดๆ มาฝากอีกภาพที่จริงก็อยากให้เห็นชัดไปจนถึงลวดลายบนหน้าบันของวิหารแต่พอย่อลงแล้วรายละเอียดปราณีตขนาดนั้นก็คงจะไม่ชัดเจนเหมือนเดิม แบบนี้คงต้องไปดูกันด้วยตัวเองครับ
พระพรหม ภาพสุดท้ายของการพาเที่ยวชมวัดโลกโมฬีในวันนี้แต่ในวัดนี้ยังมีสถานที่สำคัญๆ อีกเช่นศูนย์แสดงศิลปล้านนา และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น "พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาสล่าเมือง" สำหรับพระพรหมเองก็กำลังมีโคงการก่อสร้างวิหารพระพรหมหรือศาลพระพรหมกันอยู่ครับ ท่านใดมีจิตศรัทธาหรือมีโอกาสได้ไปเชียงใหม่อย่าลืมแวะไปชมวัดที่สง่างามวัดหนึ่งของเชียงใหม่ แล้วจะไม่ผิดหวัง
ที่ลานจอดรถบริเวณนี้มีร้านกาแฟสดของวัดโลกโมฬีด้วยขอไปซื้อกาแฟแล้วกลับที่พักก่อนนะครับติดตามชมสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจในเชียงใหม่ได้ใน ข้อมูลเที่ยวเชียงใหม่
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ