ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานสุรินทร์ (สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ) 0 4451 8152
http://www.tourismthailand.org/surin
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ทางเข้าวนอุทยานพนมสวาย เป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จังหวัดและคณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ โดยร่วมกันจัดหาระฆัง 1,080 ใบ จากวัดทั้งหมดในจังหวัดสุรินทร์ 1,070 วัด และวัดสำคัญในกรุงเทพมหานคร 10 วัด เพื่อติดตั้งบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวนอุทยานพนมสวายแห่งนี้ ให้มีภูมิทัศน์สวยงามยิ่งขึ้น และให้นักท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไป ที่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้เคาะระฆังบูชาพระรัตนตรัยเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว วนอุทยานพนมสวายมีพื้นที่ 1,975 ไร่ ประกอบด้วยยอดเขา 3 ลูกคือ
ยอดที่ 1 ชื่อพนมเปร๊าะ หรือเขาชาย สูง 220 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล
ยอดที่ 2 ชื่อพนมสรัย หรือเขาหญิง สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งวัดพนมศิลาราม
ยอดที่ 3 ชื่อพนมกรอล หรือเขาคอก สูง 150 เมตร เป็นที่ตั้งสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ยอดพระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนา
วนอุทยานพนมสวายตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 18,145 ไร่ มีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่งเริ่มต้นตั้งแต่ซุ้มประตู เป็นซุ้มที่สลักลวดลายสวยงาม สถาปัตยกรรมขอมโบราณ สร้างขึ้นในปี 2548-2549 ถัดเข้าไปจะมีผาดอกบัว ตามเส้นทางลึกเข้าไปมีเสาหินจำหลักแบบเดียวกันตั้งเรียงรายเป็นแนวอย่างสวยงาม ข้างทางยังมีทางแยกเข้าไปชมสถานที่ต่างๆ ได้แก่ น้ำตกโตงใหญ่ รอยเท้าหลวงตาพรม บ่อสัมฤทธิ์ ลานหินล้านปี บ่อขมิ้น บ่อสกัด คอกโบราณหรือที่เรียกว่า กรอล ฯลฯ
ทางเข้าสถูปอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลังจากที่เดินทางผ่านซุ้มประตูของวนอุทยานพนมสวายเข้ามาได้สักระยะหนึ่งเราก็ได้เจอลานจอดรถใกล้สถูป มีซุ้มขายเครื่องดื่ม มีธูปเทียนดอกไม้ บริการที่นี่ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีไม้สำหรับเคาะระฆัง ราคา 50 บาท เพื่อใช้เคาะระฆัง 1,080 ใบ ในวนอุทยานพนมสวาย ระฆังที่เราเห็นอยู่ที่ทางเข้าสถูป และสถานที่อื่นๆ ทั้งหมด จะมีลายสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ดังนั้นถ้าจะเคาะระฆังเหล่านี้ควรใช้ไม้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ลวดลายบนระฆังเกิดความเสียหาย
ทางเข้าสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และบริเวณรอบๆ จะแขวนระฆังไว้เป็นเสมือนกำแพง โดยเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าระฆังที่นี่มี 540 ใบ อีก 540 ใบจะอยู่ที่ทางขึ้นเขาชายที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล
ระฆังสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา และเพื่อให้ได้เห็นภาพกันชัดเจนขึ้นก็เลยถ่ายลวดลายบนระฆังมาให้ชมกันจะได้เข้าใจว่าทำไมจึงต้องใช้ไม้เท่านั้นในการเคาะระฆัง ระฆังทั้งหมด 1,080 ใบมีลวดลายแบบเดียวกันทั้งหมดครับ
สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และเมื่อเดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นสถูปได้ชัดๆ เป็นการก่อสร้างที่สวยงามด้วยทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ประตูทางเข้าออกได้ 4 ทาง ลานประทักษินปูด้วยอิฐเป็นบริเวณกว้างโดยจะเห็นแนวระฆังที่แขวนไว้รอบๆ ได้
ซุ้มประตูสถูป ชมภายนอกกันแล้วก็มาที่ภายในก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในซุ้มประตู เอาภาพลวดลายที่สวยงามบนซุ้มมาฝากกันด้วยครับ
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล เมื่อเข้ามาด้านในแล้วก็เอาธูปเทียนที่ทำบุญบูชามาจากด้านหน้าทางเข้าสถูปมาจุดสักการะหลวงปู่ดุลย์ เกจิอาจารย์ที่ได้รับความเคารพศรัทธาอย่างสูงสำหรับชาวสุรินทร์ และทั่วประเทศ
บันไดนาคเขาคอก ออกจากสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์แล้ว ก็ได้เวลาสำรวจสถานที่อื่นๆ บนยอดเขาคอก จะมีบันไดนาคแห่งนี้ที่สะดุดตาอยู่นานแล้วและคิดว่าคงเป็นทางเดินไปไหนได้อีกแน่ๆ เลยเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า บันไดนาคนี้เป็นทางเดินขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาอัฐะมุข และศาลเจ้าแม่กวนอิม ยังเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นยอดเขาชายได้ด้วย
สระน้ำข้างบันไดนาค เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สามารถจะทำได้เมื่อมาเที่ยวที่วนอุทยานพนมสวาย คือการให้อาหารปลา ซึ่งซื้อจากซุ้มที่บริการนักท่องเที่ยวอยู่ สระน้ำนี้มองดูขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่มีปลาหลายชนิดอาศัยอยู่ชุกชุม รายล้อมด้วยต้นไม้แน่นขนัดดูครึ้มไปทั่วบริเวณ
ศาลาอัฐะมุข เป็นศาลาที่ตั้งอยู่บนพนมกรอล หรือเขาคอกแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2525 โดยพุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ เป็นอนุสรณ์ครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง
ศาลาอัฐะมุขนี้สร้างเป็นทรงแปดเหลี่ยม มีประตูทางเข้าออกได้ 4 ทาง แต่ปัจจุบันจะเปิดเฉพาะด้านหน้าและด้านข้าง เท่านั้น
รอยพระพุทธบาทจำลอง ภายในศาลาอัฐะมุข เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2470 เดิมประดิษฐานอยู่บนเขาชาย หลังจากสร้างศาลาอัฐะมุขแล้วจึงย้ายมาประดิษฐานที่นี่
ศาลเจ้าแม่กวนอิม อยู่ห่างจากศาลาอัฐะมุขเพียงเล็กน้อยโดยมีทางเดินเชื่อมถึงกันได้ ภายในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมที่งดงาม ผนังด้านในหลังเจ้าแม่กวนอิมมีภาพเทพเจ้าตามความเชื่อแบบมหายาน
พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาชายจากเขาคอกที่เราเดินลงมาจากศาลาอัฐะมุขจะมองเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ได้ชัดเจน จากตรงนี้เราจะเดินทางไปยังเขาชาย ก็คงต้องใช้รถ เพราะระยะทางแม้จะไม่ไกลมากแต่ก็ไม่ควรจะจอดรถไว้ตรงนี้แล้วเดินไปแน่ๆ
เก็บตกเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะเดินทางต่อ ที่เขาคอกแห่งนี้มีห้องน้ำบริการ เป็นห้องน้ำเล็กๆ ที่สร้างได้สวยงามมาก มีการรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี โดยหญิงชราอายุ 74 ปี
บันไดขึ้นเขาชาย (พนมเปร๊า๊ะ) เขาชายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล อยู่บนยอดเขา มีบันไดทางเดินประมาณ 200 กว่าขั้น เดินเพียงไม่นานก็ถึงยอดเขา 2 ข้างทางเดินแขวนระฆังเรียงรายกันเป็นระดับไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จากข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ก็จะมีระฆังทั้งหมด 540 ใบ รวมกับรอบสถูปอัฐิหลวงปู่ดุลย์ ก็เป็น 1,080 ใบพอดี ซึ่งแต่ละใบก็จะมีลวดลายสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาทั้งสิ้น
เมื่อเดินขึ้นไปจะพบกับศาลาหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ดำ
ระฆังจากวัดระฆังโฆสิตาราม ภาพซ้ายมือเป็นระฆังจากวัดระฆังที่มอบให้วนอุทยานพนมสวาย มีสัญลักษณ์ ฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี
ส่วนภาพขวามือเป็นระฆังที่มีจำนวนน้อยใน 1,080 ใบ ที่มีการลงสีทองไว้และหลุดร่อนไปบ้างบางส่วน
ศาลาพระพุทธรูปองค์ดำ อยู่ด้านหน้าของพระพุทธสุรินทรมงคล เป็นศาลาที่สร้างด้วยลวดลายสลักงดงามศิลปะแบบขอมโบราณ
พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่เด่นสง่ามองเห็นได้แต่ไกล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศูนย์รวมจิตใจชาวเมืองสุรินทร์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางประทานพร หน้าตักกว้าง 15 เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามไว้ โดยสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. 2520 ดำเนินการสร้างโดยพุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์
พระพุทธรูปองค์ดำ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 มีหน้าตักกว้าง 120 เซนติเมตร สูง 104 เซนติเมตร
วิวสวยพนมเปร๊าะ ยอดเขาชายหรือพนมเปร๊าะ เป็นยอดเขาที่มีจุดชมวิวที่สวยงามของท้องทุ่งนาเขียวขจีของชาวสุรินทร์ได้กว้างไกล จุดชมวิวนี้อยู่เบื้องหลังของพระพุทธสุรินทรมงคล มีบันไดทางเดินลงซึ่งต้องปีนก้อนหินบ้างเล็กน้อย
วิวสวยพนมเปร๊าะ อีกภาพหนึ่งของท้องทุ่งนาสวยๆ ที่อยู่ระหว่างการดำนา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการปลูกข้าว
วัดพนมศิลาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมสรัย หรือเขาหญิง วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ค่อนข้างสงบ กุฎิสงฆ์สร้างอยู่ห่างออกไปในป่าค่อนข้างห่างจากอุโบสถ (ภาพบนซ้าย)
วัดพนมศิลารามมีอุโบสถที่โดดเด่นขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นชั้นบนของอาคาร ส่วนชั้นล่างใช้เป็นวิหารและศาลา ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์พระครูพนมศิลคุณสร้างไว้ข้างสระน้ำ
ด้วยความสงบของวัดพนมศิลารามมีสัตว์เดินไปเดินมาอย่างสบายอารมณ์ไม่เกรงกลัวคนที่เข้ามาในวัด นอกจากแพะตัวนี้จะเดินเข้ามาหาโพสต์ท่าสุดเท่ห์ให้ถ่ายรูปสบายๆ นอกจากนี้ยังมีแมว สุนัข กระรอก ให้ได้เห็น
บริเวณวัดพนมศิลาราม สิ่งที่น่าสนใจในวัดแห่งนี้ยังมีพระพุทธรูปปางประสูติที่สร้างใหญ่มาก ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นบริเวณที่แสนสงบเหมาะแก่การเจริญสมาธิวิปัสสนา
หอระฆังวัดพนมศิลารามเป็นหอระฆังที่สร้างมานานมากเมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆ ของวัด ใกล้ๆ หอระฆังมีวิหารพระสังกัจจายน์ ให้ประชาชนได้กราบไหว้
เจดีย์บรรจุอัฐิพระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมัน เจดีย์บรรจุอัฐิพระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมัน (จรัณย์) เจ้าเมืองสุรินทร์คนที่ 8 (พ.ศ. 2438) อยู่ในบริเวณวัดพนมศิลาราม ใกล้ๆ ซุ้มประตูและบันไดนาคของวัด
บริเวณรอบๆ ที่น่าสนใจในวนอุทยานพนมสวาย ภาพบนซ้าย เป็นศาลาซึ่่งเป็นชั้นล่างของอาคารหลังใหญ่และเป็นอุโบสถของวัด มีพระประธานที่มีพุทธลักษณะงดงาม ผนังเบื้องซ้ายขององค์พระประธานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิด และมีภาพเขียนฝาผนังที่สวยงาม
ภาพบนขวา เป็นบันไดนาคจากวัดเดินลงไปยังเชิงเขาซึ่งไม่สูงนักมีเส้นทางไปยังหินรูปเต่าศักดิ์สิทธิ์
ภาพล่างซ้าย หินรูปเต่าศักดิ์สิทธิ์ ห่างจากวัดพนมศิลารามประมาณ 500 เมตร โดยมีถนนลาดลงมาถึงเดินทางโดยรถยนต์ได้ รอบๆ เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นที่หาปลาทำมาหากินของชาวบ้านรอบๆ วนอุทยานพนมสวาย ทำให้เราได้เห็นภาพวิถีชีวิตที่สวยงาม
หนองน้ำแห่งชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในบริเวณวนอุทยานพนมสวายเป็นที่พึ่งของชีวิตหลายชีวิต ทั้งคนและสัตว์ สมควรที่จะได้รับการดูแลและอนุรักษ์ไว้เพื่อลูกหลาน
จบการนำเที่ยวชมวนอุทยานพนมสวายด้วยรูปนี้เลยครับ นอกจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด วนอุทยานพนมสวายยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆ อีกได้แก่
รอยเท้าหลวงตาพรหม เป็นปรากฏการทางธรณี ที่ไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน ตามตำนานเล่าว่า หลวงตาพรหมเป็นคนโบราณที่มีรูปร่างใหญ่โตมาก ได้หาบหินผ่านมาถึงบริเวณเขาสวายไม้คานเกิดหัก หินที่หาบมาก็หล่นมากองกันจนกลายเป็นเขาสวาย รอยเท้าหลวงตาพรหมในอดีตได้มีผู้คนค้นพบหลายจุดด้วยกันแต่ในปัจจุบันไม่มีใครทราบทางชัดเจน
ลานหินล้านปี เป็นพื้นที่ลานหินกว้างท่ามกลางโอบกอดของป่าแคระ มีหินเรียงรายติดต่อกันเป็นจำนวนมากทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม
บ่อขมิ้น เป็นบ่อหินธรรมชาติกว้างประมาณ 1 เมตร ลึก 1 เมตร ในอดีตจะมีน้ำสีเหลืองทองคล้ายขมิ้นขังอยู่ตลอดปี โดยไม่ทราบที่มา กระทั่งเมื่อมีผู้คนเดินทางมาชมบ่อขมิ้นเป็นจำนวนมาก บางคนก็โยนสิ่งของลงไปในบ่อ ทำให้สีของน้ำที่เหมือนขมิ้นจางหายไปในที่สุด
เหตุที่ไม่ได้เข้าไปชมให้หมดทุกที่นั้นก็เพราะเวลาสำหรับทริปนี้เราสั้นไปหน่อยยังต้องเดินทางต่อไปชมงานแห่เทียนพรรษาที่อุบลราชธานี ไม่งั้นคงได้เห็นภาพทั้งหมดแน่นอนครับ แต่ยังไงๆ ถ้ามีโอกาสเราจะไปเก็บภาพมาเพิ่มให้ได้แน่นอนครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ