ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. พัทยา โทร. 0 3842 7667, 0 3842 8750 Call Center 1337
http://www.tourismthailand.org/pattaya
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
หอพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี ภาพจากด้านข้างนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของเราที่จะแนะนำข้อมูลหอพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี ให้ละเอียด รอบๆ บริเวณหอพระมีพื้นที่กว้างขวางแต่ไม่มีที่ที่เตรียมไว้สำหรับเป็นลานจอดรถอย่างเป็นทางการ ถนนรอบๆ หอพระพุทธสิหิงค์ดูเหมาะจะเป็นทางเดินมากกว่า แต่ก็กว้างพอที่รถจะผ่านไปได้ สำหรับในวันที่ไม่ค่อยมีคนเดินทางมามากก็พอจะหาที่จอดรถเหมาะไม่ขวางทางได้อยู่บ้างแต่ก็จอดได้ไม่กี่คัน หลังจากนั้นเดินเข้าหอพระพุทธสิหิงค์จากด้านข้างที่มีสะพานเชื่อมไป
หอพระพุทธสิหิงค์ ภาพด้านหน้าของหอพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี หอพระที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
แผ่นจารึกหอพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามมินทราธิราชบรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จทรงเปิดหอพระนี้ เมื่อวันเสาร์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ.2509 ตรงกับวันแรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง จุลศักราช 1327
หอพระนี้สร้างด้วยความร่วมมือของข้าราชการ และประชาชนชาวจังหวัดชลบุรี วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2508 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 จุลศักราช 1327 สร้างเสร็จเมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2508 ตรงกับเดือนอ้าย จุลศักราช 1327
พระพุทธสิหิงค์ชลบุรี ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์
พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มตั้งแต่การสร้างและประดิษฐานในลังกา 1,150 ปี นอกจากนี้ได้ไปประดิษฐานยังเมืองต่างๆ ของประเทศไทยอีกหลายแห่ง
พระพุทธสิหิงค์ เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างในลังพระสรีระได้สัดส่วนและงดงามที่สุด เป็นพระพุทธรูปสวยงามศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาติไทย เป็นสิริมงคลและหลักใจของพุทธศาสนิกชน มีอานุภาพสามารถบำบัดทุกข์ในใจให้เหือดหาย เมื่อท้อแท้หมดมานะแล้วได้มาสักการะ จะทำให้ดวงจิตที่เหี่ยวแห้งกลับสดชื่นมีความเข้มแข็ง จิตที่เคยหวาดกลัวจะกลับกล้าหาญ จิตที่เกียจคร้านจะมีวิริยะ ผู้หมดหวังจะมีกำลังใจ
พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปซึ่งตามประเพณีจะมีพิธีอัญเชิญเสด็จออกให้ประชาชนทำการสักการะบูชาสรงน้ำ ตามจารีตประเพณีของไทยในวันสงกรานต์อันเป็นวันขึ้นปีใหม่มาแต่โบราณทุกปี
พระพุทธสิหิงค์ ประวัติความเป็นมาปรากฏตามตำนานของพระโพธิรังษี พระเถระปราชญ์ชาวเชียงใหม่ ซึ่งเป็นไว้เป็นภาษามคธ ราวปี พ.ศ.1960 กล่าวว่า พระพุทธสิหิงค์นี้เจ้าแห่งลังกา 3 พระองค์ได้ร่วมพระทัยกันพร้อมด้วยเหล่าพระอรหันต์ในเกาะลังกาสร้างขึ้นราว พ.ศ. 700 ถ้านับอายุถึงเวลานี้ก็เกือบ 2000 ปีมาแล้ว และประดิษฐานอยู่เกาะลังการาว 1,150 ปี ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ.1820-1860) ซึ่งเป็นสมัยต้นที่ประเทศสยามกำเนิดขึ้น พระองค์ด้ทรงทราบถึงพุทธลักษณะที่งดงามของพระพุทธสิหิงค์ จากพระภิกษุชาวลังกาที่เข้ามาสู่ประเทศไทย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตเชิญพระราชสาส์น ไปขอประทานพระพุทธสิหิงค์ จากพระเจ้ากรุงลังกา พระองค์ได้ถวายมาตามพระราชประสงค์ ในคราวนั้นพ่อขุนรามคำแหงฯ เสด็จฯ ไปรับองค์พระพุทธสิหิงค์ ถึงเมืองนครศรีธรรมราช แล้วอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ กรุงสุโขทัยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ราว พ.ศ.1850)
ต่อมาราว พ.ศ. 1920 กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง พญาไสลือไทยจึงอัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองพิษณุโลก จนพระไสลือไทยสิ้นพระชนม์ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองพิษณุโลก 5 ปี
ราว พ.ศ. 1925 สมเด็นพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาได้อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาอยู่ได้ราว 5 ปี
ราว พ.ศ. 1930 พระยายุธิษฐิระ ราชบุตรเลี้ยงของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้ครองเมืองกำแพงเพชร ได้มีอุบายร่วมกับพระมารดาทูลขอพระพุทธรูปไปบูชาและได้ให้สินบนขุนพลพุทธบาล จึงเลือกพระพุทธสิหิงค์ส่งไป และพอถึง พ.ศ. 1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จสวรรคต
ในปี พ.ศ. 1930 เจ้ามหาพรหมผู้ครองนครเชียงราย ได้ชวนเจ้ากือนา พระเชษฐาผู้ครองนครเชียงใหม่ ยกทัพไปเมืองกำแพงเพชร และทรงขู่ขอพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธสิหิงค์จึงได้ไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงราย ในปี พ.ศ. 1931 ราว 20 ปี
พอถึง พ.ศ. 1950 นครเชียงใหม่กับเมืองเชียงรายเกิดวิวาทถึงกับรบกัน เชียงใหม่ชนะ เจ้าแสนเมืองมาผู้ครองนครจึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานอยู่ที่นครเชียงใหม่ และอยู่นานถึง 255 ปี
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2204 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงตีเมืองเชียงใหม่ได้ จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา อยู่ราว 105 ปี ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 เชียงใหม่เข้ากับพม่า จึงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับไปนครเชียงใหม่อีกครั้งใน พ.ศ.2310 คราวนี้อยู่นานถึง 28 ปี
ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2338) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพไปขับไล่พม่าให้พ้นจากนครเชียงใหม่ และทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมากรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว จึงโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
จนถึงรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2394 โปรดให้อัญเชิญกลับมาไว้ที่วังหน้าอีกครั้งหนึ่งต่อมามีพระราชประสงค์จะประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ ณ วัดบวรสิทธาวาส (วัดพระแก้ว วังหน้า) จึงโปรดให้ช่างเขียนตำนานพระพุทธสิหิงค์ที่ฝาผนังข้างในพระอุโบสถ ยังมิทันเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระพุทธสิหิงค์จึงประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์จนมาถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์ในเมืองไทยมีอยู่ด้วยกัน 3 องค์ คือพระพุทธสิหิงค์องค์ข้างต้น พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานอยู่ในหอพระพระพุทธสิหิงค์บริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช และพระพุทธสิหิงค์ในวิหารลายคำในวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทั้ง 3 องค์ พุทธศาสนิกชนในท้องถิ่นนั้นๆ ต่างก็เคารพนับถือว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์องค์ที่แท้จริงกันทั้งนั้น ส่วนนักโบราณคดีก็ได้พากันวินิจฉัยว่าองค์ไหนจะเป็นองค์จริงตามตำนานปรากฏว่ายังไม่สามารถที่จะลงมติเป็นเอกฉันท์ได้
หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ทรงวินิจฉัยพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ ไว้ในเรื่อง "พุทธศิลปในประเทศไทย" ว่าพระพุทธสิหิงค์ นั้นตามตำนานได้มาจากเกาะลังกา จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าโดยเหตุที่เคยไปประดิษฐานหลายๆ แห่ง จึงอาจจะถูกขัดแต่งจนกลายเป็นพระพุทธรูปแบบฝีมือไทย หรือองค์เดิมสูญหายไปเสีย จึงสร้างแทนขึ้นในสมัยหลัง
ส่วนพระพุทธสิหิงค์องค์ที่อยู่ในหอพระพุทธสิหิงค์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้นพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปแบบนายขนมต้ม ซึ่งเป็นพุทธศิลปโดยเฉพาะของจังหวัดนครศรีธรรมราช คือพุทธศิลปโดยทั่วๆ ไป เหมือนพุทธศิลปสมัยเชียงแสน (ล้านนา) เป็นแต่ตรงสังฆาฏิต่างกันคือ สังฆาฏิสั้นๆ หลายอันซ้อนกัน ที่เรียกว่าสังฆาฏิแฉก
สำหรับพระพุทธสิหิงค์ที่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ก็มีพุทธลักษณะแบบสิงห์ ๑ (ล้านนา)
ดังนั้นนักโบราณคดีส่วนใหญ่จึงปักใจเชื่อว่า พระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ คือองค์ที่ปรากฏอยู่ในตำนานที่พระโพธิรังษี พระเถระชาวเชียงใหม่แต่ไว้เมื่อ 600 ปี มาแล้ว...
พระพุทธสิหิงค์ชลบุรี สมเด็จพระสังฆราช ได้ทรงพระกรุณาทำพิธีถวายพระนามพระพุทธสิหิงค์องค์นี้ว่า "พระพุทธสิหิงค์มิ่งมงคลสิรินาถ พุทธบริษัทราษฎร์กุศลสามัคคีชลบุรีปูชนียบพิตร" เป็นพระประจำเมืองชลบุรี ชาวชลบุรีได้ริเริ่มร่วมแรงร่วมใจกันสร้างให้เป็นพระประจำเมืองชลบุรี มาตั้งแต่ พ.ศ.2502 และในปี พ.ศ. 2503 ได้มีการหล่อรูปองค์พระพุทธสิหิงค์ด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ จัดหล่อโดยกรมศิลปากร ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์ที่สร้างด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์เป็นองค์แรก และองค์เดียวในประเทศไทย ที่จัดสร้างโดยกรมศิลปากร องค์พระเป็นเนื้อเงินบริสุทธิ์หนักถึง 53 กิโลกรัม ฐานพระเป็นทองสำริดหนัก 73 กิโลกรัม เป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ มีพระพุทธลักษณะงดงามดึงดูดศรัทธาจากผู้พบเห็นและยังเป็นพระพุทธรูปที่นิยมใช้แห่แหนเป็นประเพณี ในพิธีวันสงกรานต์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดหอพระพุทธสิหิงค์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2509 ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ในบริเวณหอพระ เพื่อความร่มเย็นเป็นสิริมงคล หลังจากนั้นวันที่ 15 กันยายน พงศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายนมัสการพระพุทธสิหิงค์อีกครั้งหนึ่ง ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ และการจัดสร้างศาลารายรอบหอพระพุทธสิหิงค์ นับว่าชาวชลบุรีได้บุญบารมีได้พระคู่บ้านคู่เมืองมีพระพุทธสิหิงค์อันศักดิ์สิทธิ์มีหอพระที่สง่างาม
ลวดลายบนหน้าต่างหอพระ หน้าต่างแต่ละบานของหอพระพุทธสิหิงค์เป็นช่องเปิดปิดด้วยกระจก มีบานหน้าต่างไม้ลวดลายสวยงามอยู่ 2 บานต่อหนึ่งช่องหน้าต่าง
ต้นไม้รอบหอพระพุทธสิหิงค์ รอบบริเวณหอพระพุทธสิหิงค์ จะปลูกต้นไม้ไว้หลายชนิด จะมีชื่อของต้นไม้นั้นให้ได้ศึกษา หนึ่งในจำนวนนี้มีต้นศรีมหาโพธิ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกไว้ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2509 เป็นต้นโพธิ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ลำต้นสูงประมาณ 9 นิ้ว ปัจจุบันเป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ในบริเวณหอพระพุทธสิหิงค์ชลบุรี
"มีโอกาสไปกราบนมัสการพระพุทธสิหิงค์ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 กับทีมงาน NBT เขต 7 จันทบุรี เพื่อบันเทปรายการ อป.มช.หัวเห็ด ซึ่งจะออกอากาศในช่วงเดือน เมษายน 2561 มีโอกาศได้ไปไหว้พระใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ด้วย ( ดูภาพประกอบ )"
หนุ่มเมืองชล คนยโส
2018-03-16 16:39:44
5/5 จาก 1 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ