ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605
http://www.tourismthailand.org/chiangmai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
การเดินทางสู่ม่อนจอง เริ่มต้นของการเดินทางในทริปนี้ เราวางแผนมานอนท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ 2 คืน ออกเดินทางพฤหัสเย็นกะว่าเช้าที่เชียงใหม่ หรือไปให้ใกล้อำเภออมก๋อยที่สุด เพื่อที่ว่าจะได้เข้าไปติดต่อเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย เรื่องของการใช้รถกระบะพาเราไปส่งที่จุดเริ่มต้นเดินเท้าดอยม่อนจองที่เราได้จองไว้ก่อนแล้ว เอาเข้าจริงเรามาเช้ากันที่จอมทอง ซึ่งก็นับว่าไม่เลวสำหรับทริปการเดินทางด้วยรถตู้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าเราลงไปกินข้าวเช้า แล้วเดินเที่ยวไหว้พระธาตุจอมทองด้วย เลยใช้เวลาเกินไปนิดหน่อย ออกจากจอมทองไปอมก๋อย 121 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริง ก็มีทั้งโค้งทั้งหลุม ท้ายสุดเราใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เลยต้องกินข้าวเที่ยงที่อมก๋อย แล้วต้องไปต่ออีกไม่ใช่น้อยกว่าจะถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย
สรุปว่าเรามาถึงเกือบบ่ายโมง รถที่เราจองเจ้าหน้าที่ไว้ก็ยังรอเราอยู่ เราเอาของที่เตรียมไว้ได้แก่ เต็นท์ อาหาร ก็มีมาม่า ปลากระป๋อง ข้าวสาร น้ำ ฯลฯ เสื้อสำหรับใส่นอนคนละตัว (เปลี่ยนกับเสื้อเดินป่าเอาไว้ลุยอย่างเดียว) เสื้อกันหนาว เรียกว่าเอาแต่ของจำเป็นมาจัดใส่กระสอบที่เราซื้อมาเหมือนกระสอบโรงเกลือ จะได้ง่ายสำหรับลูกหาบ อาหารที่เราเตรียมเราจะต้องเตรียมเผื่อลูกหาบและเจ้าหน้าที่ด้วย แปลกจังที่อื่นไม่เห็นต้องเตรียมเผื่อ แต่ไม่เป็นไร เค้าก็ต้องกินเหมือนเรา
ด้วยความที่คิดว่าจะนอนสักสองคืนเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติให้มากหน่อย เลยเตรียมอาหารเยอะสำหรับ 3 วัน ดูปริมาณของสัมภาระ เราว่าลูกหาบ 4 คนน่าจะเหมาะ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า 3 คนสบายมาก เอ้าว่าไงก็ว่่าตามกัน ขึ้นกระบะไปรับลูกหาบที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง เป็นโรงเรียนกศน. อมก๋อย ลูกหาบจะรอเราอยู่ที่นั่น ทำงานอย่างเป็นระบบดี แล้วจากนั้นทุกคนก็ออกเดินทางด้วยรถกระบะไปบนดอย
เส้นทางขึ้นมาดอยม่อนจองเป็นคอนกรีตสลับกับดิน ดูๆ แล้วก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น หรือว่าพอสุดเขตอบต.แต่ละที่ถนนก็เป็นคนละแบบ อบต.ไหนดีก็ได้ถนนคอนกรีต ส่วนอีกอบต.หนึ่ง ก็ยังเป็นทางดินอยู่หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ ดูแล้วตลกดีเหมือนกัน ถนนคอนกรีตมาสุดอยู่ที่แถวๆ หน่วยพิทักษ์ป่าอุ้มหลอง จากนั้นก็เหลือแต่ทางดินโค้งไปตามสันเขา ทั้งโค้งทั้งหลุมทำเอาหัวโยกหัวคลอนกันไป ทางแคบอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้ามีรถสวนกันก็ต้องหลบไปจอดให้พ้นทาง คนไหนได้นั่งก็จะดีหน่อย คนไหนยืนก็ต้องจับราวเหล็กไว้ให้แน่นๆ เกร็งกันจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก กว่าจะถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินขึ้นดอยม่อนจอง
รถมาส่งเราที่ลานจอดรถขนของลงมาจากนั้นลูกหาบก็จะเอาสัมภาระเราไปแบ่งกัน แบ่งไปแบ่งมาเหลือตั้งเยอะ สรุปว่าลูกหาบ 3 คนที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเหลือๆ มันไม่เหลือแถมไม่พออีกต่างหาก เราเลยต้องแบกของบางอย่างทั้งส่วนตัวและของกองกลางขึ้นไปคนละนิดคนละหน่อย ก่อนจะเดินขึ้นไปก็ยกมือไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ตรงลานจอดรถกันซะก่อนเพื่อความอุ่นใจ เมื่อเรากลับลงมาจากม่อนจองรถก็จะมารอรับเราอยู่ที่นี่เป็นวิธีปฏิบัติของดอยม่อนจอง
เมื่อแบ่งของกันลงตัวแล้ว คนที่มั่นใจว่าเดินเก่งหน่อยก็จะถือมากหน่อยเผื่อคนที่เดินไม่ค่อยไหวจะได้ไม่ต้องแบกมากเป็นน้ำใจขั้นพื้นฐานของการเดินป่า เจ้าหน้าที่เดินนำเราและคอยบอกเสมอว่านี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ ช่วงแรกเป็นการเดินขึ้นเนินเบาๆ ชิลๆ ไปเรื่อยๆ พอขึ้นถึงจุดสูงสุดของเนินจะเป็นทางเดินลงอย่างเดียว เป็นทางลงยาวมากๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า นี่เค้าเรียกเนินวัดใจ ลูกหาบของคนที่ขึ้นไปเมื่อวานเริ่มทยอยเดินลงมาการเดินขึ้นเนินสวนทางกับเราทำให้เรารู้เลยว่าขากลับเราจะลำบากขนาดไหน ภาพล่างซ้ายคือเนินที่เราหันหลังกลับไปถ่าย
รองเท้านารี กล้วยไม้ที่จะออกดอกให้เราได้เห็นบ้างระหว่างทางในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ก็คือรองเท้านารี แต่ปกติเราจะมองไม่เห็นเพราะอยู่สูงและออกนอกเส้นทางไปมาก จนเจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูถึงจะเห็น เราถนัดการเดินป่าแบบเรื่อยๆ เจออะไรก็หยุดถ่ายรูป บางทีเราก็เดินหลังสุดบางทีเราก็เดินนำไปไกลๆ แล้วหยุดถ่ายรูปจนเพื่อนเดินตามทัน เวลาที่เราเริ่มเดินดูเหมือนจะบ่ายสองโมง เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังคร่าวๆ ก่อนว่า จะไปที่ลานกางเต็นท์เลย เพราะคิดว่ายังไงๆ ก็ไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกแน่ๆ เส้นทางนี้ยาวประมาณ 3.5 กิโลเมตร แล้วจุดชมวิวต้องไปต่ออีกเกือบ 2 กิโล เห็นจะได้ กลุ่มอื่นๆ มาเดินจะเริ่มเดินประมาณ 10-11 โมงเช้า แต่เราเริ่มกันตั้งบ่ายสองจะไปทันได้ยังไง
จุดพักระหว่างทางจุดนี้น่าจะอยู่ที่ระยะประมาณ 2.5 กิโลเมตร หลังจากที่พบรองเท้านารีที่เป็นเส้นทางเดินในป่ามีต้นไม้คลุมตลอดทาง มาถึงเนินเล็กๆ นี้แทบไม่มีต้นไม้เหลือเลยเป็นลักษณะทุ่งหญ้ายอดเขา ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่พื้นที่ทุ่งหญ้าสีทองของดอยม่อนจองกันแล้ว หลายคนจะพักที่เนินแต่ไม่มีต้นไม้ต้องเดินให้พ้นทุ่งหญ้านี้ไปจะมีต้นไม้ใหญ่พอให้หลบแดดได้บ้าง แต่ดูเหมือนลูกหาบจะชอบพักที่เนินมากกว่า ด้านข้างของเนินจะมีผาหินเล็กๆ ยื่นออกไปพอให้ได้ยืนถ่ายรูปวิวป่าสีเขียวที่อยู่ด้านล่างได้
การเดินมาถึงเนินเล็กๆ นี้ จะแบ่งความสามารถของการเดินป่าของเพื่อนเราได้ชัดเจนเลย คนเดินเร็วจะหายไป ส่วนคนเดินช้าก็หายไปเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนพอเจอแดดเราก็ต้องเดินให้พ้นทุ่งหญ้าไปหาต้นไม้ให้ได้กันทุกคน
จากจุดพักกลางทาง พอออกเดินทางกันต่อจะเป็นเหมือนป่าผืนสุดท้ายของทางเดินนี้แล้ว ทางขึ้นเนิน ขึ้นๆๆๆ กว่าจะพ้นป่าก็เอาเรื่องเหมือนกัน แต่พอพ้นป่าออกมาแล้วเจอเนินทุ่งหญ้าสีทองเนินแรก เห็นแล้วต้องขอพักใต้ร่มไม้อีกสักทีก่อนที่จะก้าวขึ้นเนินที่ไร้ร่มเงาของต้นไม้ เนินนี้นับเป็นเนินที่ชันที่สุดของการเดินขาไป ในรูปอาจจะดูไม่ชันเท่าไหร่ แต่หลายคนลื่นล้มกันที่นี่ ไม้เท้าที่ถือมาจะมีประโยชน์ก็ช่วงนี้แหละ ภาพบนขวาเป็นภาพที่ถ่ายหลังจากพิชิตเนินได้แล้วมองกลับไป คนที่เดินลงก็จะต้องลงอย่างช้าๆ บางทีก้าวไปด้านข้างเหมือนปูไต่จะง่ายกว่าเยอะ ป่าสีเขียวที่เห็นข้างล่างก็คือป่าผืนสุดท้ายที่บอกนั่นแหละ ต่อจากนี้ไปภาพล่าง 2 ภาพ จะเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ ที่คนชอบมาถ่ายรูปกันสวยๆ นั่นเอง แต่จะได้ภาพสวยต้องยอมร้อนหน่อย
ทุ่งหญ้าสีทองของดอยม่อนจองค่อนข้างโล่งและยาว ลักษณะเป็นเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ ถ้ามาเห็นวิวตรงภาพล่างซ้าย จะมีทางแยกเป็น 2 ทาง คือตรงไปกับเลี้ยวซ้าย ถ้าตรงไปจะไปผาหัวสิงห์ ส่วนเลี้ยวซ้ายจะเป็นทางเดินลงหุบเขา ไปลานกางเต็นท์ แต่ทีแรกไม่รู้ว่าลานกางเต็นท์ไปทางไหน เลยเดินถ่ายรูปอยู่บนทุ่งหญ้ารอเพื่อนๆ และเจ้าหน้าที่มาจะได้ไปพร้อมกัน
ถึงแล้ว ดอยม่อนจอง ตอนนี้เวลาประมาณใกล้ 5 โมงแล้ว หลังจากที่เราเจอทางแยกแล้วไม่รู้ว่าไปไหนต่อ เราก็เดินถ่ายรูปอยู่ตรงนี้อีกเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่เดินประกบเพื่อนๆ เราที่เดินไม่ค่อยจะไหวแล้วมาถึงตรงที่เราอยู่แล้วบอกว่าลานกางเต็นท์ไปทางซ้าย ลูกหาบกับเพื่อนกลุ่มที่เดินเร็วก็ลงไปอยู่ในหุบเขากันหมดแล้ว เห็นทีว่าเราคงต้องตามไปที่ลานกางเต็นท์ทั้งๆ ที่อยากอยู่ตรงนี้เพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ตกซะก่อน แต่เดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าไม่มาช่วยกันกางมันจะโวยวายเอาได้ ก็เลยต้องลงไปดูซะหน่อยกางเสร็จเร็วๆ จะได้มาเก็บภาพกันทัน
ทางแยกไปลานกางเต็นท์ เจ้าหน้าที่เดินตรงมาทางนี้ คงจะมาตามเราให้ลงไปลานกางเต็นท์ก่อน ส่วนเพื่อนๆ ร่วมทริปกลุ่มเดินช้ากำลังแยกไปทางลานกางเต็นท์ บนดอยม่อนจองไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ทุ่งหญ้า ถ้ามาช่วงฝนจะเป็นต้นหญ้าสีเขียว ส่วนหน้าแล้งและอยากเห็นหญ้าเหลืองทองอร่ามทั้งดอยแบบนี้ ต้องประมาณมกราคม
ทางลงลานกางเต็นท์ พอสุดเส้นทางทุ่งหญ้า จะมีทางเดินลงไปในหุบเขา เนื่องจากลมที่พัดผ่านดอยม่อนจองเป็นลมแรงและพัดทิศทางเดิยวตลอดจนต้นไม้ไม่สามารถขึ้นได้ ต้องมาขึ้นด้านตรงข้ามที่เป็นหุบเขาลึกลงไป คนเราก็ใช้หุบเขานี้เป็นลานกางเต็นท์เพื่อหลบลมไปด้วย แต่ทางลงหุบเห็นแล้วปวดขาชะมัด ไม่รู้ว่าลงไปแล้วจะอยากขึ้นมาถ่ายรูปอยู่หรือเปล่า ขาขึ้นคงเอาเรื่องน่าดู
ลานกางเต็นท์ดอยม่อนจอง ที่พักของเราสำหรับค่ำคืนนี้ พอเดินลงมาก็เห็นลูกหาบนั่งก๊งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เต็นท์ก็กางครบทุกหลัง เหลือแต่ทำอาหารเย็นกินกันเท่านั้นเอง เห็นแล้วปวดใจ ว่าจะไม่ลงมาแล้วเชียว เป็นห่วงว่าเพื่อนจะกางเต็นท์โดยไม่มีคนช่วย รู้งี้ถ่ายรูปอยู่ข้างบนก็ดีเหมือนกัน ยิ่งคนที่เดินไม่ค่อยไหวเพราะหมดแรงมาถึงทีหลังแล้วรู้ว่าเต็นท์กางหมดแล้วแล้วต้องกลับขึ้นไปบนดอยเพื่อดูพระอาทิตย์ตก โมโหอย่าให้พูดเลยดีกว่า แต่ไม่รู้จะทำไงเพราะเราไม่มี ว. คุยกันนิ 555
พอพักกินน้ำกินท่ากันแล้วก็มีแรงเดินกลับขึ้นมาบนสันเขา แล้วก็เดินไปหาจุดเหมาะๆ ที่จะนั่งชมพระอาทิตย์ตกให้สมกับความเหนื่อยที่เดินมาหลายชั่วโมง
จุดชมวิวดอยม่อนจอง จากลานกางเต็นท์ เดินขึ้นมาบนสันเขา จะเป็นทางเดินยาวไปตามสันเขาทางขวากลับทางที่เรามา ทางซ้ายไปจุดชมวิวผาหัวสิงห์ ระยะทางเดินไปผาหัวสิงห์เกือบจะถึง 2 กิโลเมตร สันเขาดอยม่อนจองยาวไปตามทิศเหนือและใต้ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็เห็นพระอาทิตย์ตกชัดเหมือนกัน ต่างกันแต่วิวข้างล่างนิดหน่อย เราเลยคิดว่าเดินไปแค่ 2 เนินน่าจะพอ เอาเนินที่สูงๆ หน่อย แค่ 2 เนินมองกลับไปทางลานกางเต็นท์ก็ไกลโขแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องเวลา เดินไปผาหัวสิงห์ยังทันเลยแต่ในเมื่อวิวมันไม่ต่างกันจะเดินให้เหนื่อยทำไม เดี๋ยวเช้าก็ต้องไปอยู่แล้วด้วย
ผืนป่าในหุบเขา ระหว่างที่พระอาทิตย์เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ แสงสีที่เรามองเห็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ป่าที่อยู่ด้านล่างมีต้นไม้ขึ้นแปลกตาดี ดูแล้วน่าจะเป็นป่าอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง
ผาหัวสิงห์ จากทางแยกลานกางเต็นท์เดินมาตั้ง 2 เนิน ยังเหลือระยะทางไปผาหัวสิงห์ขนาดนี้ ไกลแค่ไหนคิดดู ตรงยอดของผาถ้าเดินไปมองใกล้ๆ มุมดีๆ จะเหมือนสิงโตชูคอมองพระอาทิตย์ตกเลย พรุ่งนี้เช้าเราจะไปพิชิตผาหัวสิงห์ชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน เพราะจากจุดอื่นๆ มองไปด้านตะวันออกจะมีต้นไม้บังหมดเลย ผาหัวสิงห์จึงเป็นจุดหมายเดียวสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยม่อนจอง
เมื่อเวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เวลาที่พวกเรารอคอย ทุกคนรีบหยิบกล้องมาถ่ายรูปวิวสวยๆ นี้เอาไว้ก่อนที่จะมืด อากาศบนนี้เย็นลงอย่างรวดเร็ว แทบปรับตัวไม่ทัน จากร้อนๆ เพราะแสงแดดตรงๆ ไม่มีร่มไม้ กลายเป็นเย็นทันทีแล้วก็เย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ลมที่พัดมาช่วยคลายร้อนตอนนี้เป็นลมที่พัดเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาหาเรา ถึงเวลาที่ต้องใส่เสื้อกันหนาวแล้ว
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าหายไปแล้ว บรรยกาศก็เริ่มมีความมืดมาแทน บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ทุ่งหญ้าบนดอยม่องจองยังสว่างพอที่จะถ่ายรูปได้อยู่ เราถ่ายรูปจนหายอยากแล้วเดินกลับลงหุบเขาที่เป็นที่กำบังลมของเรา เก็บขาตั้งและกล้องเข้ากระเป๋า ปาก มือ ขา เริ่มสั่น เพราะบนนี้หนาวมากๆ
ถึงเต็นท์หุงหาอาหารโดยมีลูกหาบคอยช่วย เราก็แบ่งอาหารให้ลูกหาบไปส่วนหนึ่งตามที่เจ้าหน้าที่บอกดูเหมือนเค้าจะพอใจกันมากเพราะเราเลือกสรรไปให้อย่างดี อย่างน้อยก็ไม่ใช่มาม่าเปล่าๆ แน่นอน
อิ่มหนำสำราญกันแล้ว สาวๆ ก็ชวนกันไปเข้าห้องน้ำจะได้ไม่มีปัญหาตอนดึก ส่วนผู้ชายไม่ต้องเรื่องมากเป็นอันรู้กัน จากนั้นก็แปรงฟันแยกย้ายเข้านอน ลูกหาบจะนอนเฝ้ากองไฟอยู่หน้าเต็นท์เรา
เช้าวันที่ 2 วันแรม 1 ค่ำแล้ว พระจันทร์ยังไม่ตก ส่วนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เวลายังไม่ตี 5 ดี เราก็พากันตื่นแล้วเดินจากหุบลานกางเต็นท์ขึ้นมาบนสันเขา ลมพัดแรงด้วยความเย็นยะเยือก อุณหภูมิน่าจะไม่ถึง 20 องศา ปกติก็หนาวพออยู่แล้วยังมาเจอลมเข้าให้อีก เรียกว่าเสื้อกันหนาวแทบไม่ช่วยอะไรเลย
ทุกคนเดินขึ้นมาบนสันเขาครบหมดแล้ว ก็ขอถ่ายรูปกับฉากหลังพระจันทร์เต็มดวงเอาไว้สักรูป สปีดชัตเตอร์ค่อนข้างต่ำเพราะเป็นกลางคืน ลมพัดแรงจนหญ้าดูไหวๆ เพื่อนๆ ที่ไปยืนเป็นแบบก็ตัวสั่น บอกให้ยืนนิ่งๆ เท่าไหร่ก็ไม่ได้ ถ่ายกันมาหลายรูปดูเหมือนจะใช้ได้อยู่รูปเดียว แต่ก็เป็นรูปม่อนจองที่ไม่เหมือนใครดี
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าพิชิตผาหัวสิงห์ที่อยู่ทางใต้ ระยะทางไม่ใช่เรื่องสำคัญ เดินตามแสงไฟฉายไปทีละก้าวเดี๋ยวก็ถึงเอง เจ้าหน้าที่นำทางเราไปที่ผาหัวสิงห์ ระหว่างทางก็แวะเก็บภาพไปเรื่อยๆ พระจันทร์ยังไม่ตก ส่วนแสงสีแดงของพระอาทิตย์เริ่มโผล่มาให้เห็นในด้านตรงข้าม เลยเป็นภาพที่สวยงามทั้งสองด้านเลย การขึ้นมาบนนี้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงช่วยให้เราได้ภาพสวยมากกว่าคืนเดือนมืด
ผาหัวสิงห์ ดอยม่อนจอง คนกลุ่มอื่นๆ ที่มาในคืนเดียวกันเดินนำหน้าเราไปไกลมากแล้ว เปิดหน้ากล้องสปีดต่ำๆ ได้แสงไฟฉายเป็นทางยาวพุ่งไปทางผาหัวสิงห์ แสงจันทร์ทำให้เราได้ภาพท้องฟ้าสีน้ำเงินสวยหมู่ดาวยังคงพร่างพราวระยิบระยับ ดาวฤกษ์ดวงโตเหมือนดาวเหนือจะเห็นได้ชัดมาก ถ้าอากาศหนาวน้อยกว่านี้สักหน่อย คงได้ภาพดาวหมุนบนนี้แน่ๆ
จุดสูงสุดดอยม่อนจอง ในที่สุดเราก็เดินมาถึงบนยอดผาหัวสิงห์ ช่วงท้ายๆ ก่อนจะขึ้นมาบนนี้ได้เป็นทางชันมาก ต้องป่ายปีนก้อนหินในบ้างช่วงแต่ไม่มีเวลาเก็บภาพ กลัวว่าจะขึ้นไม่ทันแสงเช้าของวันใหม่ ส่วนด้านตะวันตกพระจันทร์ยังคงส่องแสงสวยงาม ทำให้เรามองเห็นแนวเขาด้านล่างได้
เรารอไม่นานเท่าไหร่ พระอาทิตย์ก็โผล่มาจากแนวเมฆหนาเป็นเส้นเหมือนใครเอาผ้าใบไปขึงเป็นฉากเอาไว้ โผล่มาปุ๊บแสงแรงปั๊บ การถ่ายภาพควบคุมแสงได้ยาก แต่ก็ยังดีที่ได้ภาพ และที่สำคัญกว่านั้นความสวยงามนี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ผาหัวสิงห์ขนาดไม่กว้างมากมาย คนมาสัก 20 คนก็หาที่ยืนถ่ายรูปได้ยากแล้ว ด้านล่างห่างจากเรานิดเดียวเป็นต้นกุหลาบพันปี รู้สึกโชคดีจังที่มาในช่วงนี้ กุหลาบพันปีบานสะพรั่งเต็มต้น มีอยู่เยอะแยะเลย
เมื่อแสงแดดแรงขึ้น เราก็เก็บภาพบรรยากาศรอบๆ จากนั้นก็ทยอยเดินลงจากผาหัวสิงห์ เสร็จสิ้นภารกิจการเก็บภาพของดอยม่อนจองแบบละเอียดเลย ภาพล่างซ้ายเป็นทางเดินที่เราปินขึ้นไปตอนเช้ามืด ตอนขึ้นมองอะไรไม่ค่อยเห็น ตอนลงเลยถ่ายมาให้ดู ทางมันเล็กๆ แคบๆ ปีนไปตามก้อนหินซ้ายบ้างขวาบ้าง ต้องคอยดึงต้นไม้ไปด้วย เดินชิดๆ ต้นไม้เอาไว้เผื่อมันเซมันลื่นจะได้คว้าทัน ส่วนภาพล่างขวาเป็นกำไรของทริปนี้ ได้เห็นนกพญาไฟเกาะกิ่งกุหลาบพันปีด้วย
ดอกไม้ดอยม่อนจอง แสงอ่อนๆ ยามเช้า ทำให้เราเก็บภาพบรรยากาศอันสดชื่นของธรรมชาติได้มาก พุ่มกุหลาบพันปีบานสะพรั่ง ดอกหญ้าเล็กๆ ที่แอบซ่อนความสวยเอาไว้ให้คนตาดีได้เห็น แม้แต่ยอดผักกูดป่าที่มีหยดน้ำเกาะก็ยังสวยเลย
ผากอลิล่า ปกติบนดอยม่อนจอง มีแต่ผาหัวสิงห์เพราะรูปร่างเหมือนสิงห์นอนหมอบแหงนหน้ามองฟ้า ส่วนผากอลิล่า เราตั้งชื่อให้มันเองแหละ เพราะมันเหมือนออกซะขนาดนั้น แต่เราจะมองไม่เห็นผากอลิล่าถ้าไม่เดินมาอยู่ด้านผาหัวสิงห์ ผากอลิล่าภาพขวา ใครเห็นบ้างว่าอยู่ส่วนไหนของแนวผาในภาพซ้าย ไม่น่ายากนะ ^^
ในที่สุดเราก็มาอยู่ที่ทางแยกไปลานกางเต็นท์ ความสวยงามของดอยม่อนจองในระยะเวลา 18 ชั่วโมงของเรา ก็คงต้องจบเพียงเท่านี้ จากนนี้เราก็เดินลงไปที่เต็นท์กินข้าวเช้ากัน แล้วก็แบกของลงจากเขา แผนที่จะค้างบนนี้ 2 คืน คงจะไม่ได้อะไรมากไปกว่าที่เราอยู่มาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกก็เก็บหมดแล้ว จะเหลือค้างในใจก็คงมีแต่ทะเลหมอกที่ไม่โผล่มาให้เราเห็นเลย ปีหน้าคงจะต้องมาซ่อมกันใหม่
แสงยามเช้าที่ลานกางเต็นท์ การเก็บเต็นท์ของเรารวมไปถึงการเก็บขยะด้วย นักเดินป่าที่ดีต้องเก็บขยะออกจากป่า ส่วนไหนที่เผาได้ก็เผา อาหารใช้การฝังกลบ ควันไฟจากการเผาขยะของลานกางเต็นท์ทั้ง 3 ลานลอยไปโดนแสงแดดที่สาดลงมาในป่า เป็นเส้นๆ สวยๆ ให้เราเก็บภาพได้อีกหน่อย ลาก่อน ดอยม่อนจอง เราคงได้พบกันอีก
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ