ข้อมูลเพิ่มเติม:Tel. 0 2371 3135-6 Fax. 0 2380 0304
http://ancientcitygroup.net/erawan/
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ อธิบายเส้นทางมายังที่นี่สำหรับไม่คุ้นทางแถวปากน้ำ หรือสมุทรปราการแบบง่ายๆ ใช้ถนนสุขุมวิทตรงมาทางเมืองสมุทรปราการที่คุ้นชื่อว่าปากน้ำนั่นแหละครับ พิพิธภัณฑ์เอราวัณที่เราเรียกกันติดปากว่า ช้างสามเศียร อยู่ติดถนน หรือจะมาทางด่วนกาญจนาภิเษกที่เรียกกันว่าวงแหวนอุตสาหกรรมก็มีด่านทางลงข้างช้างสามเศียรได้เลย สะดวกที่สุด พื้นที่อันกว้างใหญ่ใต้ทางด่วนจัดสรรให้เป็นลานจอดรถ แล้วจะมีรถบริการรับส่งจากลานจอดใต้ทางด่วนมาที่พิพิธภัณฑ์ นี่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดยิ่งกว่าไปตระเวนหาที่จอดที่น่าจะเต็มอยู่ใกล้ๆ ทางเข้า ประตูทางเข้าก็มีทั้งด้านข้างและด้านหน้า นี่คือประตูด้านข้าง ถ้าด้านหน้าจะมองเห็นช้างสามเศียรแบบตรงๆ เลย
บรรยากาศรอบๆ ช้างสามเศียร พอเข้าประตูมาแล้วต่างคนต่างก็มุ่งหน้าไปยังทางเดินที่จะตรงไปยังช้างสามเศียร ใครที่ไม่เคยเข้ามาก็คงไม่รู้ว่าข้างในบริเวณอันกว้างขวางไม่ได้มีรูปช้างยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางเท่านั้น แต่รายล้อมไปด้วยหมู่พรรณไม้นานาชนิด และมีน้ำล้อมรอบ ให้บรรยกาศร่มรื่นน่าพักผ่อนอีกด้วย
อาหารและเครื่องดื่ม ไม่เพียงแต่สวนพรรณไม้สวยๆ ร่มเย็น แต่ที่นี่มีบริการที่พร้อมสรรพอย่างเช่นอาหารเครื่องดื่ม ร้านกาแฟสด ฯลฯ อยู่ใกล้ๆ กับห้องขายตั๋ว จะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ก็จะต้องซื้อตั๋ว ถ้าเกิดว่ามาในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็สามารถเดินเข้าไปชมกันได้เลย แต่ถ้ามาจันทร์ - เสาร์ จะเข้าชมได้เป็นรอบๆ ละประมาณ 1 ชั่วโมง ดังนี้
09.00 , 10.00 , 11.00 , 12.30 , 13.30 , 15.00 , 16.00 และ 17.00 น.
รอบสุดท้ายเสร็จเวลา 18.00 น. ได้เวลาปิดพอดีครับ
จากประตูด้านข้างเดินประมาณ 100 เมตร เราก็จะมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเป็นอาคารทรงกระบอกกลมๆ เป็นฐานของช้างเอราวัณ หลายคนก็เดินพุ่งตรงเข้าไปด้านในเพราะอยากจะเห็น หลายคนก็สักการะช้างสามเศียรอยู่ตรงศาลาด้านหน้าก่อนที่จะเข้าไป ส่วนผมก็เดินมาให้สุดทางเดินก่อนจะได้รู้ว่ามีอะไรอีกบ้างก่อนที่จะเข้าไปด้านใน
ขั้นตอนการก่อสร้างช้างสามเศียร ช้างเอราวัณหรือช้างสามเศียร เป็นประติมากรรมลอยตัวด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำจากโลหะทองแดง แผ่นเล็กสุดขนาดเท่าฝ่ามือนำมาเรียงต่อกันด้วยความประณีตนับแสนชิ้น ตัวช้างรวมอาคารมีความสูง 43.60 เมตร (หรือสูงขนาดตึก14-17ชั้นโดยประมาณ)
ความสูงเท่าๆ กับตึกประมาณ 17 ชั้น ทำให้เรามองเห็นช้างสามเศียรได้แต่ไกล โดยเฉพาะเมื่อขับรถอยู่บนทางด่วนสายกาญจนาภิเษกไปทางพระประแดงยามรุ่งสางเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นมา อยากจอดถ่ายรูปเป็นที่สุดแต่นั่นเป็นการทำผิดกฏจราจรและเสี่ยงอันตรายเกินไป จนทุกวันนี้เลยไม่มีภาพพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ใกล้ๆ ช้างเอราวัณมาให้ชมกันเลย
ช้างที่เราเห็นสร้างกันใหญ่โตนั้น ถ้าหากเราลองหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับช้างเอราวัณจริงๆ แล้วละก็จะเห็นว่าความใหญ่โตที่สร้างห่างไกลจากความจริงมากครับ
*ช้างเอราวัณ (อังกฤษ: Erawan : Airavata) ในเรื่องรามายณะ และ ความเชื่อของศาสนาฮินดู กล่าวถึงพระอินทร์มีร่างสีเขียว มีพาหนะเป็นช้าง 3 เชือก เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์ ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง 3 เชือก และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ของพระอินทร์ เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ต้องการจะเสด็จ ไปไหนเอราวัณเทพบุตร ก็จะแปลงกายเป็นช้างเผือก มี 33 เศียร แต่ละเศียรมีงา 7 งา งาแต่ละงายาวถึง 4 ล้านวา
งาแต่ละงามีสระบัว 7 สระ แต่ละสระมีดอกบัว 7 ดอก แต่ละดอกมีกลีบ 7 กลีบ มี 7 เกสร แต่ละเกสรมีปราสาทอยู่ 7 หลัง ปราสาทแต่ละหลังมี 7 ชั้น แต่ละชั้นมี 7 ห้อง แต่ละห้องมี 7 บัลลังก์ แต่ละบัลลังก์มีเทพธิดาสถิต 7 องค์ เทพธิดาแต่ละองค์มีบริวาร องค์ละ 7 นาง เทพธิดาบริวารแต่ ละนางมีนางทาสีนางละ 7 ทาสี รวมทั้งนางเทพอัปสรทั้งหมดประ มาณ 190,248,433 นาง เทพธิดา บริวารรวมกันทั้งหมดประมาณ 13,331,669,031 นาง เศียรทั้ง 33 ของช้างเอราวัณมีอุเปนทเทพยดา สถิตเศียรละ 1 องค์ โดยปกติศิลปินไทยมักจะทำช้าง เอราวัณ เป็นช้าง 3 เศียร
*ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/ช้างเอราวัณ
ชั้นโลก (Hall of Earth) เป็นห้องโถงชั้นแรกที่เราเดินเข้ามาหลังจากที่จุดธูปเทียนสักการะช้างเอราวัณที่ศาลาด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในห้องโถงชั้นแรกเรียกกันว่าชั้นโลก ส่วนชั้นบนขึ้นไปตามบันไดจะมีชั้นจักรวาล บางคนเรียกว่าชั้นสวรรค์ ส่วนชั้นล่างก็จะมีชั้นสุวรรณภูมิ เห็นคนที่เดินเข้ามาบอกว่าชั้นบาดาล ก็เอาเถอะเรียกกันไปตามความถนัดก็แล้วกัน มีเสียงคุยกันระหว่างผู้คนที่เข้ามาชมภายในช้างเอราวัณว่า "ชั้นโลกสวยขนานี้ ชั้นจักรวาลสวยยิ่งกว่านี้อีก" โอ้โห เฉพาะที่เราเห็นอยู่นี้ก็ว่าสวยมากแล้ว แล้วที่จะสวยกว่านี้จะขนาดไหน ทุกคนที่เข้ามายืน ณ จุดนี้ ไม่มีใครเลยที่ไม่ถ่ายรูป ต่างคนต่างก็พยายามที่จะถ่ายรูปตรงนี้ โดยเฉพาะคนที่เป็นสื่อจะใช้รูปเพื่อไปประชาสัมพันธ์ ก็เลยต้องรอให้คนเดินขึ้นไปให้หมด จะได้ภาพสวยๆ ว่างๆ ไม่มีคนเดินผ่าน พอสบโอกาสก็ถ่ายรูปกันใหญ่ ยืนซ้อนๆ กันอยู่ตรงกลางบันได หามุมที่จะเก็บได้มากที่สุดทั้งบันได เสา และเพดานที่สวยงาม บันไดทั้ง 2 ข้างที่พาเราขึ้นไปชั้นบน แลดูเหมือนมังกร 2 ตัวพาดจากสวรรค์ลงมายังโลก ให้เราเดินบนหลังมังกรขึ้นไปยังไงยังงั้น
หลังจากเดินขึ้นบันไดมาเราก็มาอยู่ที่จุดสูงสุดของฐานช้างสามเศียร ตรงนี้คือชั้นจักรวาลหรือสวรรค์หรือ ไม่น่านะ ก็เห็นบอกว่าชั้นบนสวยกว่าชั้นล่าง ก็ต้องไม่ใช่ตรงนี้สิ มองไปรอบๆ ก็เลยเห็นบันไดเดินต่อขึ้นไปอีก คราวนี้เราจะได้เดินเข้าไปในตัวช้างสามเศียรละครับ ฐานสีชมพูด้านนอกที่เราเห็นมาสุดลงตรงนี้นี่เอง
ชั้นจักรวาล จากจุดสูงสุดของชั้นโลก มีบันไดเล็กๆ พาเราขึ้นมาที่ยังชั้นจักรวาลนี้ ตลอดทางเดินของบันไดที่วกไปวกมาหลายขั้น คนที่ขึ้นมาก่อนก็บอกว่าเราต้องขึ้นไปให้ได้เพราะชั้นจักรวาลนั้นสวยงามมาก พอเดินพ้นบันไดขึ้นมาก็เห็นเพดานสีฟ้า มีคนยืนอออยู่ตรงบันไดจนเดินไปไม่ได้ คนที่เค้ายืนจับกลุ่มอยู่ก็เพราะพยายามจะเก็บภาพโดมนี้โดยไม่ติดคนที่นั่งอยู่ด้านใน ก็ทำได้แค่รอไปเรื่อยๆ พอได้จังหวะทั้งเสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชทำงานวูบวาบๆ ไม่รู้ของใครเป็นของใคร ชั้นจักรวาลมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ จะคอยเตือนนักท่องเที่ยวเรื่องจุดที่ห้ามถ่าย ได้แก่พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานอยู่ในตู้กระจกทั้ง 2 ด้านของห้องโถง ห้ามถ่ายรูปครับ
ตรงกลางห้องโถงมีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ ทุกคนที่มาที่นี่ก็ทำบุญด้วยการเอาเงินวางลงในรอยพระพุทธบาทจนเต็มอย่างที่เห็นนี้ละครับ
นอกจากห้องโถงชั้นจักรวาลแล้วทางเดินขึ้นลงจะมีทางแยกเล็กๆ พอให้วางศิลปะวัตถุอื่นๆ ไว้ด้วย ส่วนในชั้นสุวรรณภูมิเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุจำนวนมาก ผมขอข้ามไปก่อนในวันนี้มีโอกาสคงได้ไปเก็บภาพเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ มาให้ แต่ผมว่าเพียงเท่าที่เอามาให้ชมนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินใจเลือกไปชช้างสามเศียรในวันหยุดที่กำลังจะมาถึง ใช่มั้ยละครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ