ข้อมูลเพิ่มเติม:ศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยา ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า โทร. 0 3532 2730-1
http://www.tourismthailand.org/ayutthaya
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ศาลพันท้ายนรสิงห์ หนึ่งในจุดที่น่าสนใจของวัดตึกแห่งนี้ก็คือ ศาลพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในวัดย่อมได้เห็นศาลพันท้ายนรสิงห์วัดตึกนี้ก่อนเสมอ ภายในวัดที่ไม่กว้างขวางมากนักอย่างวัดตึก ประกอบด้วยอาคารสำคัญๆ จำนวนหนึ่ง มีต้นไม้ร่มรื่น หาที่จอดตามอัธยาศัย หลังจากนั้นสักการะศาลพันท้ายนรสิงห์หน้าอุโบสถแล้วเดินเข้าอุโบสถที่เรียกกันว่าโบสถ์มหาอุตม์
พันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้ายเรือในสมัยพระเจ้าเสือ หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พ.ศ. 2246 – 2251) วันหนึ่งพระเจ้าเสือได้เสด็จประพาสต้นด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัย มาตามคลองโคกขาม โดยมีพันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือ คลองนี้คดเคี้ยวและน้ำเชี่ยวมากไม่สามารถบังคับทิศทางเรือได้ ทำให้หัวเรือชนเข้ากับต้นไม้จนหัวเรือหัก พันท้ายนรสิงห์จึงขอให้พระเจ้าเสือประหารตน
พระเจ้าเสือจึงให้ประหารตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ แล้วจัดทำศาลขึ้นพลีกรรมพร้อมทั้งหัวเรือ ซึ่งเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่ตามเกร็ดเล่าว่า พันท้ายนรสิงห์ทราบว่าจะมีพวกกบฏมาดักทำร้ายพระเจ้าเสือ เลยจำเป็นต้องทำให้หัวเรือหักเพื่อมิให้ไปถึงจุดที่กบฏวางแผนเอาไว้ โดยยอมให้ตนเองถูกประหารเพราะเป็นกฎมณเฑียรบาลที่ทำหัวเรือพระที่นั่งหักจะต้องถูกประหาร เมื่อพระเจ้าเสือทรงทราบจึงได้ให้บันทึกไว้ในพงศาวดาร และให้ตั้งศาลขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ถ้าเรื่องตามละครพระเจ้าเสือไม่ยอมประหารแต่ให้ปั้นรูปปั้นแล้วทำการตัดหัวรูปปั้นแทน แต่พันท้ายนรสิงห์ไม่ยอมเพราะจะเป็นการขัดมณเฑียรบาลจึงขอให้ประหาร มิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ก่อนที่จะประหารพันท้ายนรสิงห์ซึ่งบ้านน่าจะอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้นได้กลับบ้านไปล่ำลาภรรยา และพันท้ายนรสิงห์จึงถูกประหารในวันเดียวกัน
ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำนวน 3000 คน ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน กว้าง 5 วา ลึก 6 ศอก สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. 2252 ได้พระราชทานนามคลองนี้ว่าคลองสนามไชย ต่อมาเรียกเป็นคลองมหาชัย ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านเรียกว่าคลองถ่าน
ศาลพันท้ายนรสิงห์ เป็นอนุสาวรีย์แห่งความซื่อสัตย์ รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน
**ศาลพันท้ายนรสิงห์ บ้านพันท้ายนรสิงห์ ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 2 เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2498 กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ 100 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็น "อุทยานพันท้ายนรสิงห์" ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าของจริงในท่าถือท้ายคัดเรือ
*ข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki/
โบสถ์มหาอุตม์ ที่เรียกกันว่าโบสถ์มหาอุตม์ นั้นหมายถึงอุโบสถที่สร้างในลักษณะพิเศษคือมีช่องทางเข้าออกได้ช่องเดียวคือประตูหน้า เป็นโบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่าง การสร้างโบสถ์มหาอุตม์นั้นมีความเชื่อหลายกระแสบ้างก็ว่าเป็นเพราะช่างต้องการเขียนภาพจิตรกรรมที่สวยงามขนาดใหญ่บนผนังโดยเป็นภาพเดียวต่อกันตลอดจึงไม่มีช่องหน้าต่าง บ้างก็ว่าเป็นการสร้างเพื่อเป็นสถานที่ถ่ายทอดหรือกระทำการด้านมนต์คาถา และไม่ต้องการให้วิชารั่วไหล แต่โบสถ์มหาอุตม์ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีประชาชนศรัทธากันมากมาแต่โบราณ
ทางเข้าโบสถ์มหาอุตม์ คราวนี้จะเดินเข้าไปด้านในครับ ภายในมองเข้าไปเห็นองค์พระประธานปางมารวิชัยทรงเครื่องที่งดงามประดิษฐานบนฐานชุกชีสูง รายล้อมด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ และขนาดต่างๆ กันอีกหลายองค์ ภายนอกมีรูปเหมือนพระบูรพาจารย์ และพระสังกกัจจายน์ ประชาชนสามารถจุดธูปเทียนบูชาพระด้านนอกอุโบสถ
พระประธานวัดตึก เป็นโบสถ์ขนาดเล็กที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมากเมื่อเทียบกับขนาดของโบสถ์ โดยมากก็จะเป็นปางประทานพร ปางห้ามสมุทร ปางมารวิชัย แต่ก็ยังมีพระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าด้วย
วัดตึก ภาพพระพุทธรูปองค์พระประธานในโบสถ์มหาอุตม์ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยขนาดใหญ่พระพุทธศิลป์งดงาม
ทางเข้าตำหนักพระเจ้าเสือ ออกจากพระอุโบสถหรือโบสถ์มหาอุตม์แล้ว เดินไปทางด้านข้างของโบสถ์จะมีอาคารหลังใหญ่เป็นตำหนักพระเจ้าเสือ ด้วยความกว้างใหญ่ภายในอาคารจึงเป็นศาลาการเปรียญได้ด้วยในยามที่ต้องการกระทำพิธีทางศาสนา ด้านหน้าตำหนักพระเจ้าเสือประดิษฐานพระสังกกัจจายน์มีป้ายพระประวัติของพระเจ้าเสือให้ศึกษากันด้วยครับ
ตำหนักพระเจ้าเสือ ตำหนักพระเจ้าเสือวัดตึกประดิษฐานพระบรมรูปพระเจ้าเสือเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน ซึ่งจะเดินทางมาสักการะบูชาอย่างต่อเนื่อง
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าเสือ-หลวงสรศักดิ์
พระสรรเพชญ์ที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) พระองค์ทรงครองราชย์เป็นพระองค์ที่ 29 แห่งกรุงศรีอยุธยาราชธานีระหว่าง พ.ศ. 2240-2249 รวม 9 ปี พระองค์ประสูติในที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร พระบิดาถือเอานิมิต นามบัญญัติชื่อเจ้าเดื่อ เพราะได้ฝังรกเจ้าเดื่อไว้ที่ต้นอุทุมพร (มะเดื่อ) กับต้นโพธิ์ เมื่อปีขาล พุทธศักราช 2205 แรกขึ้นเสวยราชสมบัติ พระชนม์ได้ 36 พรรษา ดำรงอยู่ในราชสมบัติได้ 9 ปี และได้สวรรคต ณ พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ในปีพุทธศักราช 2249 สิริพระชนมายุได้ 45 พรรษา จำเดิม วันเสด็จขึ้นเถลิงถวัลราชสมบัติ ของสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าเสือหรือ ขุนหลวงสรศักดิ์) พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 29 แห่งกรุงศรีอยุธยา ตรงกับขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู พุทธศักราช 2240 ครั้งเสด็จประพาสเมืองสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) ครั้นถึงจุลศักราช 1166 (พ.ศ.2247) ปีวอก สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัยจะไปประพาสปากน้ำสาครบุรี เรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขาม คลองที่นั่นคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งได้ทราบข่าวล่วงหน้ามาว่า ระยะทางข้างหน้านั้น มีผู้ดักลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเสืออยู่ ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเหนือหัว พันท้ายนรสิงห์จงใจคัดท้ายเรือให้โขนเรือชนกิ่งไม้ เพื่อยุติการประพาสทางทะเลในครั้งนั้น เมื่อโขนเรือพระที่นั่งกระทบกิ่งไม้ใหญ่ก็หักตกลงน้ำ พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงกระโดดขึ้นจากเรือพระที่นั่งขึ้นบนฝั่ง แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ พระอาญาเป็นล้นเกล้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทำศาลขึ้นที่นี้ สูงประมาณเพียงตา และจงตัดเอาศรีษะข้าพระพุทธเจ้ากับโขนเรือพระที่นั่งซึ่งหักตกลงไปในน้ำนั้นขึ้นบวงสรวงไว้ด้วยกันที่นี้ ตามพระราชกำหนดในบทพระอัยการเถิด พระเจ้าเสือจึงจำต้องยอมตามพันท้ายนรสิงห์ ต่อมาพระเจ้าเสือถวายตำหนักเดิมนาม วัดตึก แบบที่กษัตริย์นิยมทำในสมัยนั้น
ภายในตำหนักพระเจ้าเสือ ภายในกว้างขวาง ประดิษฐานพระพุทธรูปอีกหลายองค์ ใช้เป็นศาลาการเปรียญได้ด้วยครับ
ช้างคู่หน้าตำหนักพระเจ้าเสือ หลังจากสักการะพระเจ้าเสือแล้วก็เดินออกมาด้านหน้า (ตอนเข้าเข้าทางข้างโบสถ์ ตอนออกออกมาด้านหน้าครับ) จะได้เห็นบริเวณด้านหน้าที่มีช้างคู่ขนาดใหญ่พร้อมไก่อีกมากมายที่นี่ เท่านี้ก็ถึงลานจอดรถข้างศาลพันท้ายนรสิงห์แล้ว เดินทางไปวัดต่อไปกันครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ