ข้อมูลเพิ่มเติม:การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานลำปาง โทร. 054-222-214
https://www.facebook.com/lampang.tourism/
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
บรรยากาศในอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท การเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ตามเส้นทางลำปาง-งาว มีทางแยกเข้าอุทยานฯ อยู่ซ้ายมือ เป็นช่วงทางโค้งลงเข้า ให้มองให้ดีแล้วก็ระวังรถที่ตามมาข้างหลัง พยายามอย่าเบรคกะทันหัน เลี้ยวเข้ามาได้แล้วจะมีด่านตรวจ ซึ่งไม่ได้เก็บค่าบริการเพราะอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท เป็นอุทยานแห่งชาติเตรียมการ ยังไม่เปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ ลานจอดมีพอสมควรมีลานกางเต็นท์และบ้านพักซึ่งต้องจองล่วงหน้า ปกติไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวมาค้างแรมที่นี่เพราะหลังเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่จะกลับกันหมด ไม่มีคนอยู่ให้ความสะดวกในเวลากลางคืน หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอย่างเดียวยังไม่มีที่ทำการอุทยานฯ แต่ผมก็เลือกที่จะค้างคืนที่นี่แม้ว่าจะต้องอยู่คนเดียวตลอดทั้งคืนก็ตาม เมื่อสว่างขึ้นมาอากาศเย็นมีลำแสงของพระอาทิตย์ลอดลงมาให้เก็บภาพสวยๆ กัน ที่นี่ยังไม่มีร้านอาหาร มีแต่ร้านค้าที่ขายเครื่องดื่มกับขนมขบเคี้ยว ถ้าอยากจะค้างที่นี่เหมือนผมก็ควรจะมีอาหารมาปรุงเองด้วยทั้งมื้อเย็นแล้วก็มื้อเช้า
การเดินขึ้นถ้ำผาไท บันไดเพียงไม่กี่ร้อยขั้นที่เป็นทางเข้าถ้ำก็ไม่ได้สูงชันมากนักแต่ก็เหนื่อยได้เหมือนกัน เดินมาถึงครึ่งทางก็จะหอบหน่อยๆ อ้อลืมบอกไปอีกอย่าง การที่จะเข้าไปเที่ยวชมถ้ำผาไท ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่นำทางก่อน ทางอุทยานจะปั่นไฟส่องสว่างในถ้ำให้ ถ้าไม่แจ้งจะไม่เปิดไฟให้ ซึ่งคงจะเดินเที่ยวชมกันลำบาก เจ้าหน้าที่นำทางให้เราโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากเปิดเป็นอุทยานแห่งชาติอย่างเป็นทางการก็คงจะมีการเก็บค่าบริการกันเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะมีไฟฉายไว้ให้บริการเราอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวล
เจดีย์ถ้ำผาไท เป็นเจดีย์เก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยปี คาดว่าน่าจะเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของบุคคลสำคัญในพื้นที่นี้ แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าจะเป็นของผู้ใด เจดีย์นี้ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าถ้ำ
ถ้ำผาไท ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง ได้แก่น้ำตก และหล่มภูเขียว น้ำตกที่มีอยู่ในพื้นที่เป็นน้ำตกขนาดเล็ก จะมีน้ำในฤดูฝน แต่การเดินทางค่อนข้างลำบาก จึงทำให้ไม่เป็นจุดสนใจเท่าที่ควร ส่วนหล่มภูเขียวเป็นการยุบตัวของพื้นดินบนยอดเขาตามธรรมชาติ คาดว่าส่วนที่ยุบตัวลงอาจจะเป็นเพดานถ้ำหินปูนแห่งหนึ่งเกิดเป็นหลุมใหญ่ที่มีพื้นเป็นหินปูน น้ำเข้าไปขังอยู่ตลอดทั้งปีเป็นน้ำสีเขียวมรกตสวยงามมาก การเดินทางค่อนข้างไกลจากที่ทำการอุทยานฯ รถเก๋งไปไม่ถึงต้องต่อด้วยการเดินเท้าตามทางเกวียนอีก 3 กิโลเมตร ผมก็เลยไม่ได้เดินทางไปเก็บภาพ แต่ถ้าเป็นรถกระบะก็น่าสนใจมากทีเดียว (ดูจากรูป) ฉะนั้นผมก็จะเขียนเรื่องราวเฉพาะการเที่ยวถ้ำผาไทเอาไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสไปที่อื่นๆ จะมาอัพเดตเพิ่มเติมกันทีหลัง
พระพุทธรูปในถ้ำ เป็นพระพุทธรูปปางปฐมมรรค ลักษณะคล้ายปางสมาธิแต่พระหัตถ์ขวามีลักษณะคล้ายการจีบนิ้วตั้งขึ้น เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปปางปฐมมรรคเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ปากถ้ำผาไท ชาวบ้านเดินทางมากราบไหว้อยู่เนืองๆ ถ้าหากมาเพื่อไหว้พระเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เข้ามาในถ้ำได้โดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ประวัติการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังไม่ชัดเจน
เสาหินเก้าล้านปี เป็นเสาหินที่อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธรูป ปกติหินงอกหินย้อยในถ้ำจะมีชื่อเรียกกันตามลักษณะของหินงอกหินย้อย สำหรับเสาหินต้นนี้ผมก็ลืมชื่อไปแล้ว แต่จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ความรู้ก็เลยรู้ว่าเสาหินต้นนี้มีอายุประมาณ 9 ล้านปี ปกติหินงอกหินย้อยในถ้ำมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณปีละครึ่งเซนติเมตร ความสูงของเสาต้นนี้ใช้เวลาไม่ถึง 9 ล้านปีในการเติบโตจนเป็นเสาสูงถึงเพดานถ้ำ แต่มีการส่งตัวอย่างหินและดินที่พบในบริเวณเสาต้นนี้ส่งไปเข้าแลบในต่างประเทศจนรู้ว่าเสาต้นนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 9 ล้านปีมาแล้ว
พระปรมาภิไธยย่อ ป.ป.ร. ถ้ำผาไทเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ห้วรัชกาลที่ ๗ เคยเสด็จประพาสในปี พ.ศ. 2469
พระนามพระบรมวงศ์ นอกเหนือจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เคยเสด็จประพาสถ้ำผาไท ยังมีพระบรมวงศ์หลายพระองค์ได้เสด็จมาที่นี่ และจารึกพระนามลงบนผนังหินของถ้ำผาไท และยังมีพระยาพหลพลพยุหเสนาและคุณหญิง ได้มาที่นี่เมื่อ 29/8/2477
หินเกล็ดแก้ว เป็นหินงอกจากพื้นถ้ำที่มีขนาดใหญ่มาก อยู่ห่างจากเสาหินไม่มากนัก บริเวณนับแต่จุดนี้เป็นต้นไปเจ้าหน้าที่ได้ทำที่กั้นด้วยไม้เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสกับหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ เพราะในถ้ำผาไทนับว่ามีหินงอกหินย้อยจำนวนมากที่ยังเป็นอยู่ คือยังมีการทำปฏิกิริยาทางเคมีและตกตะกอนงอกยาวขึ้นอยู่ ส่วนหินที่ไม่มีการงอกเติบโตแล้วเรียกว่าหินตาย การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในถ้ำอย่างไม่มีความรู้มักจะไปจับ หรือปีน หินงอกหินย้อยเหล่านี้ ทำให้หินเป็นกลายเป็นหินตายไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับอนุชนรุ่นหลังที่จะไม่ได้เห็นหินเป็นที่สวยงาม การทำปฏิกิริยาของน้ำและกรดกัดเซาะเราแร่ธาตุบางชนิดมาตกตะกอนรวมกันหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นก็จะมีรูปร่างสีสันแตกต่างกันไปตามแร่ธาตุเหล่านั้น ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากคือหินงอกหินย้อยที่มีประกายแวววับระยิบระยับเมื่อโดนแสงจากไฟฉายคล้ายกับเพชร ก็เลยเรียกหินนี้ว่าเกล็ดแก้ว หินงอกหินย้อยบริเวณนี้มีอายุประมาณ 5 ล้านปี
ทางเดินภายในถ้ำผาไท ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่มีโถงกว้างขวางหลายแห่ง เพดานค่อนข้างสูง แม้จะมีความลึกถึง 405 เมตร แต่ก็มีอากาศหายใจได้สะดวก มีโพรงที่เพดานอยู่ 2 จุด ทางเดินบางช่วงค่อนข้างแคบต้องเดินผ่านซอกหินงอกไป ผู้ชายหุ่นธรรมดาๆ ไม่อ้วนก็ยังผ่านไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ถ้าหากว่าหุ่นไม่ดีจริงคงจะผ่านไปไม่ได้
หินย้อยสีขาว การเกิดขึ้นของหินย้อยมาจากรอยแตกร้าว รอยรั่วของเพดานและผนังของถ้ำ ทำให้น้ำและกรดกรัดเซาะเอาแร่ธาตุในดินมาตกตะกอนรวมกัน ถ้าจุดไหนของเพดานถ้ำมีรอยร้าวขนาดใหญ่เราจะเห็นหินย้อยขนาดใหญ่ แต่ถ้าเป็นรอยเล็กๆ เราก็จะเห็นหินย้อยเป็นสายเล็กๆ ยาวลงมาเรื่อยๆ สีของหินย้อยที่เป็นอยู่จะค่อนข้างขาว หรืออาจจะมีสีอื่นตามแร่ธาตุที่ไหลลงมาแต่สีจะต่างกับผนังถ้ำที่เกิดขึ้นมานานแล้วอย่างชัดเจน
สร้อยอโนดาษ เป็นการเกิดหินย้อยแบบคล้ายน้ำตก ด้านบนเป็นแอ่งกว้าง น้ำที่ไหลลงมาจากเพดานถ้ำมาขังอยู่ในแอ่งในฤดูฝน ชาวบ้านจะมาตักเอาไปกินกันเพราะเชื่อว่าเป็นน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ น้ำที่ล้นออกจากแอ่งทีละนิดๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหินย้อยรอบๆ แอ่งน้ำเป็นความสวยงามยิ่งเมื่อได้เห็น
มหัศจรรย์หินงอกหินย้อย เป็นลักษณะการเกิดของหินงอกที่แตกต่างกัน 2 แบบ แต่เกิดอยู่ใกล้กัน หินงอกแบบนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ด้านซ้ายเป็นแบบฟองสบู่ ส่วนด้านขวาเป็นเกล็ดมีประกายระยิบระยับ
หินน้ำตก การเกิดหินย้อยจากผนังถ้ำมีขนาดใหญ่คล้ายม่านน้ำตก เป็นลักษณะหินย้อยที่สวยงามมากแบบหนึ่งที่เห็นได้ในถ้ำ
หินย้อยตาย เป็นตัวอย่างของหินตาย หินย้อยเหล่านี้ได้หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า มีคนค้นพบถ้ำนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วคงจะหักเอาปลายหินย้อยไปเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง หินย้อยก็เลยมีรูปร่างแปลกๆ เหมือนหินด้วน หลังจากนั้นการเติบโตของหินย้อยจุดนี้ก็หยุดลง
โพรงถ้ำ เป็นโพรงบนเพดานถ้ำที่อยู่ตรงบริเวณเกือบสุดทางเดินชมถ้ำ เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าภายในถ้ำไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ พอเดินมาถึงโพรงนี้ก็จะมีสัญญาณลอดเข้ามาพอให้ใช้โทรศัพท์ได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้นำทางเที่ยวถ้ำผาไทก็คือ ในถ้ำแห่งนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีงูบางชนิดที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นสัตว์ประจำถิ่น คืองูกาบหมากหางนิล เจ้าหน้าที่บอกว่างูในถ้ำส่วนใหญ่ไม่มีพิษแต่บางครั้งบางฤดูงูนอกถ้ำก็จะหลงเจ้ามาทางโพรงเหล่านี้เช่นฤดูแล้งงูหนีไฟป่าเข้ามา อาจจะมีงูพิษได้แก่ งูเห่า งูจงอาง เจ้าหน้าที่นำทางจะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวได้ด้วย
สุดทางถ้ำผาไท จบระยะการเดินทางเที่ยวชมถ้ำผาไทที่จุดนี้ครับ ระยะทาง 405 เมตรของความลึกของถ้ำผมก็เดินมาจนถึงสุดทางแล้ว ที่หลังหินงอกหินย้อยในรูปนี้ยังคงมีโพรงเล็กๆ ไปทางด้านหลัง เจ้าหน้าที่เล่าว่า ที่จริงแล้วถ้ำแห่งนี้มีความลึกประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ทางเดินนับจากจุดนี้ไปเป็นทางเดินที่ลำบาก มีโพรงแคบๆ หลายจุดที่ต้องลอดเข้าไป บางช่วงค่อนข้างอันตรายและลื่น เจ้าหน้าที่จึงเปิดให้เข้าชมได้เพียงครึ่งเดียวของความลึกทั้งหมด
ประกายหินงอกหินย้อย อีกหนึ่งครั้งที่พยายามจะถ่ายภาพประกายเล็กๆ บนหินงอกในถ้ำให้ได้ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร คราวหน้าคงจะต้องลองใช้เลนส์มาโครถ่ายมาให้ได้ แต่ที่เห็นในรูปนี้เราก็จะเห็นประกายจำนวนมากมายบนผิวหิน จบการนำเที่ยวถ้ำผาไทไว้เท่านี้ครับ ว่างๆ แวะลองไปชมกัน เจ้าหน้าที่เข้มงวดกับการเข้าชมถ้ำของนักท่องเที่ยวมาก หินงอกหินย้อยที่นี่จึงค่อนข้างสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยของการสัมผัสหรือเหยียบปีนหินจนเสียหาย
นอกจากนี้ที่เที่ยวก็ยังมีภาพเขียนโบราณอันเป็นจุดเด่นหนึ่งของอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อประตูผา ปัจจุบันภาพได้ลบเลือนไปจนเกือบมองไม่เห็นแล้ว
หล่มภูเขียว สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอุทยานฯ เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่เกิดจากดินบนยอดเขายุบตัวลง กลายเป็นแอ่งน้ำลึกมาก และใสจนมองเป็นสีฟ้าอมเขียว การเดินทางและข้อมูลโดยละเอียดของหล่มภูเขียว
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ