ข้อมูลเพิ่มเติม:อุทยานแห่งชาติแม่เมย โทร. 0 5551 9644-45
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
จากถนนเส้นทางหลัก ตาก - แม่สอด ถึงวงเวียนที่แม่สอด เลี้ยวเข้าทางตัวเมืองตรงไปประมาณ 2 กิโลเมตรนิดๆ จากนั้นเลี้ยวขวาเป็นทางหลวงหมายเลข 105 แม่สอด - แม่ฮ่องสอน เป็นถนนสายเล็กๆ เลียบแนวชายแดนประเทศไทยและเมียนมาร์ เดิมทีเดียวไม่ค่อยมีคนสัญจรเพราะถือว่าเป็นเส้นทางที่เปลี่ยวมาก ในยุคหลังๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนใช้เส้นทางสายนี้มากขึ้น ระยะทางจากแม่สอดประมาณ 117 กิโลเมตร มีแยกขวาเลี้ยวเข้าไปอีก 11 กิโลเมตร เป็นเส้นทางขึ้นเขาค่อนข้างชันมีโค้งอันตรายหลายจุด ต้องระวัง รวมระยะทางประมาณ 128 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติแม่เมย เข้าใจว่านักท่องเที่ยวจำนวนไม่มากนักที่จะรู้จักชื่ออุทยานแห่งนี้ อย่างน้อยสมาชิกในรถที่ร่วมทางกันไปก็มีเพียงผมคนเดียวที่รู้จัก และเคยมาที่นี่ หลังจากเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานและค้างคืนแล้ว เราก็สำรวจบริเวณพื้นที่ที่ทำการอุทยานกันสักหน่อย
ภาพบนซ้าย ป้ายอุทยาน
ภาพบนขวา บริเวณที่ทำการอุทยาน
ภาพล่างซ้าย ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและลานกางเต็นท์
ภาพล่างขวา บ้านพัก
นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีร้านค้าสวัสดิการอยู่ใกล้ๆ ที่ทำการอุทยาน อาหารการกินบริการเฉพาะเมนูหมูและไก่เพียงไม่กี่เมนู ถ้าต้องการมากกว่านั้นควรจะเตรียมกันมาเองระหว่างตั้งแคมป์ สิ่งหนึ่งที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองก็คือร้านค้าสวัสดิการทำอาหารค่อนข้างช้า ควรสั่งล่วงหน้าเนิ่นๆ ไม่งั้นอาจจะโมโหหิวได้
บรรยากาศในอุทยานแห่งชาติแม่เมยมีธารน้ำไหลผ่านมีแอ่งลงเล่นน้ำได้สำหรับเด็กๆ รอบๆ ค่อนข้างร่มรื่น บ้านพักบรรยากาศริมธารดีทีเดียวแต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีวิวเปิดให้ชมทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก ถ้าอยากจะดูต้องขับรถไปยังจุดชมวิวต่างๆ ในอุทยาน ซึ่งเรียกว่าม่อน ได้แก่ ม่อนครูบาใส ม่อนพูนสุดา ม่อนกิ่วลม ม่อนครูบาใสจะเป็นม่อนที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง มองเห็นวิวทางทิศใต้และทิศตะวันตกได้สวยที่สุด ม่อนพูนสุดาเป็นม่อนเล็กๆ เหมาะสำหรับแวะถ่ายรูปนิดๆ หน่อยๆ ไม่แนะนำให้ค้างแรมเพราะไม่มีห้องน้ำ วิวหันไปทางใต้และตะวันตกแต่ต้นไม้ปิดวิวเยอะไปหน่อย ม่อนกิ่วลมเป็นม่อนที่อยู่สูงสุดห่างจากที่ทำการ 12 กิโลเมตร มีลานกางเต็นท์และห้องน้ำเหมาะสำหรับการตั้งแคมป์กางเต็นท์ที่สุด วิวมองเห็นด้านตะวันออกได้กว้างส่วนด้านตะวันตกจะค่อนข้างปิด เดี๋ยวไปชมภาพเรื่อยๆ เลยดีกว่า
ป้ายบอกทาง ที่เที่ยวต่างๆ ในอุทยานแห่งชาติแม่เมยก็อย่างที่เห็นอยู่ในป้าย ข้อมูลของม่อนต่างๆ ก็เล่าไปบ้างแล้ว ส่วนน้ำตกก็จะพาไปชมกันเลย
เส้นทางในอุทยานฯ จากที่ทำการหลังจากสำรวจบริเวณรอบๆ ไปแล้วคราวนี้ก็เป็นเวลาของการสำรวจสถานที่ต่างๆ ดูจากป้ายแล้วก็ไม่เท่าไหร่ ไกลสุดแค่ 12 กิโลเมตร ออกเดินทางเลยดีกว่า
สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังในระหว่างการเดินทางในอุทยานแห่งนี้คือ วัว ครับมีเจ้าของเค้าเอาวัวขึ้นมาเลี้ยงบนเขา ด้วยวิธีการปล่อยให้หากินเอง แล้วคอยมาตรวจเช็คเป็นระยะๆ สอบถามชาวบ้านบางคนเล่าว่า เดือนหนึ่งค่อยขึ้นมาดูวัวสักที ในบางปีที่มีอากาศหนาวมากๆ วัวพวกนี้บางตัวถึงกับช็อคตายก็มีให้เห็นในข่าว เจ้าของวัวก็จะมาจุดไฟเอาไว้ให้วัวนอนผิงไฟ วัวก็จะนอนล้อมกองไฟเป็นวงกลมเป็นภาพหาดูยาก
ทางเข้าน้ำตกชาวดอย สถานที่ท่องเที่ยวแรกของอุทยานแห่งชาติแม่เมยที่จะแนะนำก็คือน้ำตกชาวดอย ระยะทางจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตร มีทางเดินเข้าไปอีก 500 เมตร
ระยะทาง 500 เมตรในการเดินเท้าเข้าไปชมน้ำตกชาวดอย แทบจะไม่เห็นน้ำเอาซะเลย ในลำธารมีสายน้ำเล็กๆ ไหลผ่านจนทำให้เราคิดว่าน้ำตกนี้ท่าทางจะไม่ค่อยมีน้ำ เพราะที่เราไปก็เดือนธันวาคมเข้าไปแล้ว แต่พอเดินมาถึงได้เห็นน้ำไหลในธารค่อนข้างมากไหลเย็นและใสมาก ไม่ผิดหวังเลยที่เดินเข้ามา
น้ำตกชาวดอย พอเดินจากลำธารข้างล่างขึ้นมาอีกนิดเดียวก็จะเห็นสายน้ำตกตกจากผาสูงอย่างสวยงาม พวกเราดีใจมากเพราะไม่คิดว่าน้ำตกที่เดินใกล้แค่ 500 เมตรจะสวยถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างเดินเข้าไปถ่ายรูปกับน้ำตกหลายๆ มุมจนพอใจแล้วถึงพากันเดินกลับ
น้ำตกชาวดอย
ระวังวัว หลังจากออกมาจากน้ำตกแล้วขับรถขึ้นเขาไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ชันบางช่วงก็ชิวๆ แต่รถเก๋งขึ้นได้สบายๆ แหละครับ แค่มีหลุมบางช่วงต้องค่อยๆ ไป แต่ที่สำคัญคืออย่าเร็วมากเพราะบางทีอาจจะมีหมาหรือวัวออกมาเดินผึ่งแดดบนถนนเหมือนอย่างที่เห็น
ม่อนครูบาใส เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เราต้องมาร์กเอาไว้ในลิสต์ว่าควรจะได้ไปถ้ามาที่อุทยานแห่งชาติแม่เมยแล้ว เพราะที่นี่จุดชมวิวกว้าง เห็นเทือกเขายาวๆ วันไหนมีหมอกก็จะสวยมากเลย เสียดายที่หันไปทางด้านตะวันตก จึงดูพระอาทิตย์ตกได้แต่ดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นม่อนที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยที่สุดในอุทยานแห่งนี้ที่รถไปถึง
หมอกม่อนครูบาใส เป็นภาพที่ถ่ายได้จากทริปที่แล้ว ไปถึงตอนสายๆ หมอกมีน้อยเพราะลมค่อนข้างแรง จะว่าไปแล้วผมเองยังไม่เคยได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ ในจังหวัดตากเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าจะไปที่ดอยไหนก็เหอะ แต่เท่าที่เห็นอยู่นี้ก็นับว่าสวยไม่น้อยแล้วล่ะ
ม่อนพูนสุดา เป็นเนินดินเล็กๆ มีที่หลบให้จอดรถได้ 2-3 คัน มีจุดชมวิวที่ไม่กว้างเท่าไหร่ จอดแวะถ่ายรูปก็พอแล้วก็ไปต่อ ไม่มีห้องน้ำก็เลยเป็นเหตุให้ไม่มีคนกางเต็นท์ที่นี่ ช่วงสายๆ อาจจะมีได้เห็นหมอกจางๆ แล้วแต่สภาพอากาศบางวันหมอกหนาๆ ก็ไม่ค่อยจะมีคนเท่าไหร่เพราะไปดูที่ม่อนครูบาใสที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่น่าจะดีกว่า
ม่อนกิ่วลม สถานที่กางเต็นท์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอุทยานแห่งชาติแม่เมยเพราะรถขึ้นไปถึงที่ลานนี้ได้เลย แต่บนลานกางเต็นท์ไม่ให้นำรถขึ้นไปจอดไว้ เอาขึ้นไปเพื่อขนของลงจากรถได้อย่างเดียวแล้วต้องขับลงมาจอดที่ลานจอดรถ ม่อนกิ่วลมมีลักษณะเป็นเนินดิน 2 สเต็ป กางเต็นท์ได้ทั้งเนินบนสุดและเนินในชั้นที่สอง เลือกตามอัธยาศัย เนินบนยอดสูงกว่าเนินชั้นล่างไม่กี่เมตร แต่ดูเหมือนว่าจะรับลมมากกว่า หนาวกว่า แต่ถ้าตอนเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นสบายกว่าใครๆ เลย ส่วนคนที่กางในชั้นล่างก็ต้องเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า บนม่อนกิ่วลมมีห้องน้ำแบบง่ายๆ ไว้ให้ใช้ แต่ก็พอเพียงแล้วสำหรับทริปตั้งแคมป์ เพราะถ้าสร้างกันหรูหราสบายเกินไปก็คงไม่เหมาะ
ยามเย็นที่ม่อนกิ่วลม นี่เป็นภาพวิวที่เรามองเห็นในทางทิศตะวันตกหลังจากที่พยายามจะเดินหาที่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกยามเย็นอยู่รอบนึงแล้วยังไม่มีมุมที่ถูกใจ วิวด้านตะวันตกของม่อนกิ่วลมค่อนข้างรกไปด้วยต้นไม้ที่ต้องมองหาองค์ประกอบให้พอดี ไม่มากไปไม่น้อยไป เอาเต็นท์เจ้าหน้าที่ที่อยู่มุมของม่อนมาใช้ประกอบภาพ บนนี้จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้นักท่องเที่ยวนอนอย่างอุ่นใจได้
ถนนม่อนกิ่วลม จากลานกางเต็นท์ข้างล่างลงไปไม่กี่ก้าวคือถนน มีลานจอดรถอยู่รอบๆ จอดรถได้เยอะพอตัว
พระอาทิตย์ตก พอเห็นแล้วว่าเราไม่สามารถเก็บภาพวิวกว้างๆ ยามเย็นได้ก็เปลี่ยนเลนส์มาเป็นเทเลเก็บเอาดวงอาทิตย์กลมๆ กันดีกว่า
พระอาทิตย์ตก
ชมดาวม่อนกิ่วลม คืนวันที่ 6 ธันวาคม ขึ้น 4 ค่ำ แสงจากดวงจันทร์สว่างพอสมควรทีเดียวแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะบดบังแสงดาวหมดทั้งท้องฟ้าถ้าเอาขาตั้งกล้องมาด้วยปรับค่าเปิดรับแสงนานๆ ก็สามารถเก็บดาวที่พร่างพราวนภามาไว้ในภาพของเราได้ไม่ยาก
ทางช้างเผือก นอกเหนือจากการถ่ายภาพดาวแล้ว เรายังปรับกล้องให้ถ่ายภาพหมู่ดาวจำนวนมากในกาแลคซีทางช้างเผือกของเราได้ด้วย ถ้าเป็นคืนเดือนมืดกว่านี้ก็คงจะสวยมากทีเดียว ดาวที่มีอยู่มากมายเต็มท้องฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็นแต่กล้องมองเห็นนั้นมีมากกว่าที่จะนับกันไหวเลยนะเนี่ย
วิวพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากที่เก็บภาพดาวจนพอใจแล้วก็ได้เวลาเข้านอน ประมาณ 3 ทุ่มแล้ว นักท่องเที่ยวยังเดินทางมายังม่อนกิ่วลมอยู่ไม่หยุด มาถึงมืดๆ ก็เอาไฟหน้ารถส่องแล้วกางเต็นท์กัน ที่นี่เป็นที่นิยมสุดในอุทยานนี้จริงๆ เวลา 4 ทุ่มเจ้าหน้าที่จะดูแลให้ทุกเต็นท์งดส่งเสียงดัง และเข้านอน จนรุ่งเช้า ตี 5 กว่าๆ เราจะได้ยินเสียงเอะอะจากนอกเต็นท์ เพราะคนส่วนใหญ่ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันทั้งนั้น ออกจากเต็นท์เดินขึ้นยอดดอยม่อนกิ่วลมแค่ไม่กี่ก้าวก็หามุมสวยๆ ได้แล้ว รอแค่เวลาเท่านั้น การเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนกิ่วลมก็กินเวลาไม่นาน แล้วพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงส่งแสงแรงกล้าจนไม่สามารถถ่ายรูปได้แล้วเราก็ลงไปเก็บของกินอาหารที่เตรียมมาซึ่งก็ไม่พ้นมาม่าหรือคัพโจ๊ก ถ้าไม่ได้เตรียมมาก็ต้องลงไปหากินที่ที่ทำการอุทยานฯ ระหว่างการเดินทางลงไปก็ลองมองหามุมสวยๆ ตามม่อนต่างๆ เก็บภาพ บางวันโชคดีเจอทะเลหมอกหนาๆ สวยๆ ในมุมที่ใช่ภาพจะสวยกว่าที่ผมถ่ายมาไม่น้อยเลยล่ะ
พระอาทิตย์ขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้น
ม่อนปุยหมอก เป็นภาพพานอรอมา จากม่อนสูงอีกแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ้าว สงสัยละสิว่าทำไมที่เล่ามาทีแรกไม่เห็นมีม่อนนี้เลย แล้วอยู่ๆ โผล่มาจากไหน ก็บอกเลยว่าม่อนปุยหมอกเป็นลานกางเต็นท์อยู่บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ต้องเดินเท้าเข้าไป เห็นเจ้าหน้าที่ว่า 3.5 กิโลเมตร แต่พอลองไปเดินดูแล้วมันไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ถ้าบอกว่า 5 กิโลเมตร ก็จะฟังสมเหตุสมผลกว่า เวลาที่ใช้ในการเดินก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมงตามกำลังของแต่ละคน จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง และลูกหาบ ค่านำทาง 700 บาท ส่วนลูกหาบกิโลละ 15 บาท เราไปกัน 5 คน เต็นท์ 2 หลัง อาหารน้ำเสื้อผ้านิดหน่อย เบ็ดเสร็จค่าลูกหาบ 850 บาท รวมเป็น 1550 บาท สำหรับผมแล้วค่านำทาง 700 บาท ค่อนข้างแพง อย่างน้อยถ้าเทียบกับอุทยานอื่นแล้วเคยจ่ายประมาณ 300 มั่ง 500 มั่ง แต่เพิ่งเคยเจอ 700 ก็ที่แม่เมยนี่แหละ ถ้าสนใจเข้าไปติดต่อที่ที่ทำการอุทยานฯ ได้เลย แต่ก่อนเดินทางไปต้องติดต่อทางโทรศัพท์เอาไว้ก่อนครับ ทางอุทยานฯ จะหาคนนำทางและลูกหาบเตรียมไว้ให้ รายละเอียดของม่อนปุยหมอกมีอะไรที่อยากจะเล่าเยอะแยะเลย เลยขอเอาไปเขียนไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ตามไปอ่านได้ที่ ม่อนปุยหมอก
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ