ทริปดีๆ ของเราที่อยากจะมาบอกเล่าสู่กันฟังอีกแล้วละคราวนี้เราเดินทางไปกันที่จังหวัดเลย หลังจากน้ำท่วมหมาดๆ พอน้ำลดระดับลงชาวเลยต่างก็ทำความสะอาดบ้านและเมืองกันยกใหญ่พร้อมป่าวประกาศว่า ตอนนี้เลยน้ำลดแล้ว เที่ยวได้แล้วจ้า ด้วยความที่เป็นหน้าฝนที่ปกติคนจะเที่ยวกันน้อยกว่าหน้าหนาว แต่เรากลับคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเรามองว่าหลายจังหวัดของไทยทั้งภาคเหนือและภาคอีสานมันจะสวยก็ตอนหน้าฝนนี่แหละ ช่วงที่เราจะได้เห็นภูเขาเขียวขจีทุ่งนาก็เขียวสบายตาไปทั่ว ไม่ต้องใช้เวลาในการคิดอะไรมากมายเสาร์-อาทิตย์ จัดไปอย่าให้เสีย เก็บกระเป๋าจองตั๋วกันได้ เราเลือกไปเครื่องบินแต่เช้าวันศุกร์แล้วกลับวันอาทิตย์ หยุดงานวันเดียวไม่มีปัญหา ไฟลท์เช้าออก 6.05 น. ของนกแอร์เครื่องบินลำเล็ก 2 ใบพัดออกเดินทางมุ่งหน้าไปท่าอากาศยานเลยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 10 นาที ดีเลย์นิดหน่อยเพราะสภาพอากาศแต่ในที่สุดเราก็มายืนในพื้นที่จังหวัดเลยเป็นที่เรียบร้อย หอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังเดินลงจากเครื่องถ่ายรูปกันเล็กน้อยตามประสาแล้วออกเดินทางไกลทันที
โปรแกรมของทริปนี้ตรงไปที่หนองหินอำเภอนี้ห่างจากตัวเมืองเป็นชั่วโมงอยู่เหมือนกัน ทุกคนขึ้นนั่งประจำที่ในรถตู้แล้วล้อก็หมุนตรงไปยังจุดหมาย เดิมทีเดียวหนองหินมีที่เที่ยวที่โด่งดังมากอยู่ที่หนึ่ง ชื่อว่าสวนหินผางาม คุนหมิงเมืองเลย เคยมาเมื่อหลายปีก่อนรู้สึกว่าหลังๆ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงสักเท่าไหร่ ต่อจากนั้นที่นี่ก็ค้นพบที่เที่ยวใหม่ดังปังมากยิ่งกว่าที่เดิมคือภูป่าเปาะ เป็นภูเล็กๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแต่พอจะเปิดให้ขึ้นไปเที่ยวได้ แค่มีกติกานิดๆ หน่อยๆ อย่างเช่นไม่ให้เอารถส่วนตัวขึ้นไป ที่นี่มีรถอีแต๊กบริการซึ่งก็เท่ไม่เบาที่เราจะนั่งอีแต๊กไปบนภูอย่างช้าๆ เรียงกันเป็นแถว ค่ารถแค่คนละ 60 บาท หรือถ้ามากันน้อยก็ตกลงราคากันได้เป็นกรณีไป ขึ้นไปบนภูป่าเปาะเราจะมองเห็นเขาเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงหน้ารูปร่างเกือบเป็นสามเหลี่ยมแต่ตรงยอดมันตัดตรงดูแปลกๆ ได้รับฉายาว่า ฟูจิเมืองไทย วันไหนหมอกเต็มเป็นทะเลหมอกละก็ที่นี่สวยไม่แพ้ที่ไหนๆ ที่เคยไปมาเลยเชียว
ตกลงใจว่าจะขึ้นภูป่าเปาะก็ลองมาทบทวนแผนการของการเดินทาง มันช่างดูแห้งแล้งอ้างว้างซะจริงๆ ถ้าเราจะนั่งรถมาเป็นชั่วโมงเที่ยวภูป่าเปาะแล้วไปที่อื่นต่อเลย ก็เลยต้องมองหาที่เที่ยวอะไรแถวๆ นี้เพิ่มเติมให้โปรแกรมการเดินทางของเราดูดีขึ้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย แล้วที่สำคัญเราอยากจะเข้าถึงความเป็นชาวเลยของคนที่นี่ว่ามีวิถีชีวิตยังไง มีอะไรโดดเด่นในรูปแบบสไตล์การใช้ชีวิตที่คนเมืองอย่างเราไม่เคยรู้อีกบ้าง เหมือนตอนที่เราไปน่านไปเที่ยวในชุมชนได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายต่อหลายอย่างแล้วก็ประทับใจมากๆ จำได้ว่าคราวนั้นชุมชนที่เราไปเค้าได้รับการสนับสนุนดูแลและร่วมมือพัฒนาจนสามารถเป็นที่เที่ยวได้โดยมีองค์กรที่เราเรียกว่า อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน) ให้การช่วยเหลือแล้วก็ไปสืบรู้มาอีกว่าที่จังหวัดเลยก็มี อพท. เหมือนกัน ก็เลยต้องขอคำปรึกษากันหน่อยเอาข้อมูลมารวมๆ กันกับข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเลย สรุปว่าไม่ผิดหวัง เราได้อะไรเพิ่มมาเยอะเชียวอพท.เลยกำลังทำเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสเมืองเลยให้ถึงแก่น คอนเซ็ปต์ของทริปเน้นให้เกิดการอนุรักษ์ธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อมและลดมลพิษระหว่างเที่ยวด้วยขื่อโครงการ เที่ยวเลยสบายสไตล์คนไม่เอาถ่าน ได้ยินครั้งแรกสตั๊นท์ไป 10 วิ อะไรหว่า?? เที่ยวสไตล์คนไม่เอาถ่าน เจ้าหน้าที่อพท.เลยขยายความให้เรากระจ่างว่า ไม่เอาถ่าน คือโลว์คาร์บอน การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ใช้คาร์บอนน้อยๆ
เริ่มต้นตรงที่ สวนภูห้อมหรือฟาร์มภูห้อม เป็นแปลงเกษตรอินทรีย์ ของลุงจุมพล เป็นคนมาจากน้ำหนาว มาพบที่ดินแถวนี้เลยได้เริ่มต้นทำเกษตรประมาณปี 2553 จนที่สุดแล้ววันนี้ลุงจุมพลพยายามจะทำเกษตรอินทรีย์ปลูกพืชมากมายเต็มไปหมดไม่ต่ำกว่า 108 ชนิด แกเล่าว่าแกปลูกพืช 7 ระดับ คือ ชั้นใต้ดิน ชั้นหน้าดิน ไม้น้ำ ไม้เลื้อย พืชชั้นกลาง พืชชั้นสูง อีกชั้นจำไม่ได้ซะแล้ว ที่นี่มีฟักข้าวออกลูกมาประจำแกเอามาทำน้ำฟักข้าวเป็นเวลคัมดริ๊งค์ไอเดียเก๋ทีเดียว คุยกันไปคุยกันมาแกก็พาไปดูแปลงเกษตรที่ปลอดสารพิษมีมากมายหลายอย่างเล่าไม่ถูก ไม่ค่อยเป็นระเบียบอะไรมากมายเพราะตอนแรกแกปลูกตามที่แกจะนึก เดินลึกเข้าไปหน่อยเห็นกระท่อมไม้ไผ่เรียงๆ กันหลายหลังแกบอกว่าจะทำฟาร์มสเตย์แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม (เราเลยได้แต่เสียดายว่าจะมาลองนอนฟาร์มสเตย์แกซะหน่อยประหยัดดีวิวสวยอีกต่างหาก) เลยไปอีกนิดมีฟาร์มม้าเป็นม้าแคระ ไม่ค่อยดุไม่กลัวคนเข้าไปเล่นได้แต่ต้องระวังกันด้วยเพราะสัตว์หน้าขนยังไงก็ไว้ใจไม่ได้นะ ลูกม้าคลอดใหม่ไม่นานซนมากคอยจะวิ่งเล่นไปทั่วทุกตัวเราไปจับไปถ่ายรูปได้ด้วยสนุกดีเหมือนกัน
ออกจากฟาร์มภูห้อม ขับรถไปตามถนนเห็นก้อนหินกระจายเต็มตามข้างทางก้อนหินใหญ่ๆ สีขาวแปลกตาดีกระจายอยู่ในสวนในนาก็ไม่มีใครเอาออกเพราะมันมีเยอะมาก ขึ้นเขาลงเนินกันสนุกสนานได้กลิ่นคลัชท์เหม็นๆ พอได้บรรยากาศของการเที่ยวเขาเข้าไปในหมู่บ้านจนมาถึงบ้านหลังหนึ่งเค้าทำกระปุกออมสินจากกระบอกไม้ไผ่ อ๋อออออ นี่เองที่มาของกระปุกออมสินที่เราเคยซื้อมาเจอคนที่ทำเข้าจนได้ ไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะตัดออกเป็นกระบอกมีรูกลวงๆ ข้างในแล้วทำแผ่นไม้มาปิดหัวท้ายเป็นกระปุกออมสิน ลายข้างนอกเขียนเป็นการ์ตูนหลายแบบให้เลือก วาดและลงสีคนเดียวทำได้ตั้งหลายอันต่อวันเค้าใจดีก็จะให้เราวาดมั่งจะได้มีของพิเศษชิ้นเดียวในโลก มีตัวการ์ตูนเป็นแบบวาดๆ ตามแบบแล้วลงสีเป็นอันเสร็จ เหมือนจะง่ายพอเอามาทำจริงๆ มันไม่ง่ายเลยนะแต่ก็ได้กระปุกลายมือตัวเองไว้ใช้เท่ๆ แล้วละ กระปุกที่นี่ขายถูกอันละ 20 บาทไม่มีลาย 25 บาทมีลายกระปุกไซส์ใหญ่ก็ราคาเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่มันโคตะระงงที่ได้ยินว่าราคาแค่ 25 บาทนี่แหละ แต่ก่อนเคยมีรถขนมาขายถึงหน้าบ้านได้เงินเราไป 100 กว่าบาทเลยนะ เค้าบอกว่าที่ขาย 25 บาทนี่เป็นราคาส่งแต่ละวันทำกันไม่ทันส่งเลยทีเดียวนับว่ารายได้ดีมาก ส่วนเราก็คิดว่ามันถูกเวอร์จริงๆ ไม่เชื่อลองมาดูกันได้ ใช้เวลาไปนานเลยกว่ารูปกบเบี้ยวๆ ของเราจะวาดจนเสร็จระบายสีนิดหน่อยพอเป็นพิธีเราก็เดินทางเที่ยวกันต่อไป
จากบ้านกระบอกไม้ไผ่มุ่งหน้าไปภูป่าเปาะที่หมายหลักของเราตั้งแต่ออกเดินทาง จอดรถแล้วกรูเข้าไปที่รถอีแต๊กที่จอดรอเราแต่ละคันตกแต่งได้สวยบางคันมีแอมป์ต่อลำโพงจากโทรศัพท์เพิ่มได้เลยเปิดเพลงนั่งรถอีแต๊กเดินทางสู่ยอดภูป่าเปาะอย่างเมามันส์ในเสียงเพลงรถอีแต๊กวิ่งไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางขึ้นเขาเล็กๆ ถนนลูกรังมีร่องน้ำเซาะตามธรรมชาติเป็นเหตุให้เราควรจะใช้บริการรถของชาวบ้านดีกว่าเอารถเรามาเสี่ยงขึ้นเขาเองใช้เวลาไม่นานเราก็ไปถึงยอดเขา
จุดชมวิวบนภูป่าเปาะมี 4 จุด จุดที่สวยสุดคือ 1 กับ 2 ส่วนจุด 3 เป็นลานจอดรถ เพื่อขึ้นไปจุดที่ 4 ถึงแม้ว่าจุดที่ 3 กับ 4 ความสวยน้อยกว่าแต่ก็ควรขึ้นไปเพราะสิ่งที่เรามองเห็นมันไม่เหมือนกัน ภูป่าเปาะมีตำนานเรื่องราวเกี่ยวข้องเชื่อมกับเรื่องนางผมหอม จุดชมวิวแรกเราจะเห็นภูหออยู่ตรงหน้า เป็นภูเขาที่ได้รับฉายาว่าฟูจิเมืองไทย หรือฟูจิเมืองเลย จุดที่ 2 เราจะเห็นภูเขาเป็นรูปผู้ชายนอนกอดอก พอขึ้นไปจุดที่ 3 ถึงจะได้เป็นภูเขารูปผู้หญิงผมยาวนอนอยู่ ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นนางผมหอมเพราะรูปร่างมองดูแล้วเหมือนผู้หญิงผมยาวนอนหงาย
ตามจุดต่างๆ ของภูป่าเปาะ ชาวบ้านพยายามจะปลูกดอกไม้เพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับจุดชมวิวเล็กๆ ของที่นี่ให้สวยมากขึ้น ปลายปีมีดอกไม้หลายอย่างให้เรามีโอกาสได้ดูกัน เช่น ดอกบัวตอง จะบานช้ากว่าที่แม่ฮ่องสอนนิดหน่อย ต้นคริสมาสต์จะมีสีแดงกับสีขาว มันจะแดงสดสวยพร้อมๆ กับคริสมาสต์ที่ภูเรือ ในช่วงหลังปีใหม่ มกรา-กุมภา มีสิทธิ์ลุ้นว่าจะมีการปลูกปอเทืองเพื่อให้ปุ๋ยแต่ก่อนที่มันจะถูกไถกลบให้กลายเป็นปุ๋ยเราจะได้เห็นภูป่าเปาะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามเต็มภู ส่วนหน้าฝนตอนเช้าๆ มีสิทธิ์ที่เราจะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ คลุมภูหอสวยไม่แพ้ใครได้เหมือนกัน
เสร็จจากการเที่ยวชมวิวฟูจิเมืองไทยภูป่าเปาะกลับลงมาด้วยรถอีแต๊กก็มาถึงลานจอดรถโดยสวัสดิภาพและประทับใจสุดๆ ต่อด้วยมื้ออาหารแบบบ้านๆ สไตล์คนเลย เมนูง่ายๆ ที่เค้ามีได้แก่ น้ำพริกผักต้มหน่อยไม้ ซึ่งเป็นหน่อไม้บง มีความพิเศษที่อ่อนมากเพราะหน่อไม้ชนิดนี้เป็นหน่อไม้ที่ยังโผล่ไม่พ้นดิน มีความหวานตามธรรมชาติที่เราบอกเลยว่าต้องไปลอง ส่วนแพนงและแกงจืดบอกเลยว่ามันโดนมากรสอร่อย แถมยังใส่หมูแบบไม่อั้น สุดยอดจริงๆ สำหรับมื้อนี้ ในช่วงที่มีสับปะรดไร่ม่วงเค้าจะเอามาเป็นผลไม้ปิดท้ายอาหาร บอกเลยว่าใครไม่เคยกินสับปะรดไร่ม่วงอย่าเพิ่งไปพูดว่าสับปะรดอะไรอร่อยที่สุดในเมืองไทย เพราะมันจะทำให้หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ สำหรับเราเราบอกเลยว่าหลังจากินสับปะรดไร่ม่วงของจังหวัดเลยแล้ว เราแทบไม่ซื้อสับปะรดพันธุ์อื่นมากินอีกเลย
ใช้เวลากับมื้ออาหารของเราให้เต็มที่ทีแรกกะว่าจะนอนที่แถวๆ หนองหิน อยากจะฟินกับบรรยากาศตอนเช้าของภูป่าเปาะเพราะเห็นรูปแล้วมันสวยมากๆ แต่เราก็ต้องออกเดินทางจากหนองหินย้ายไปเที่ยวที่ด่านซ้ายกันต่อ ถามว่าทำไมต้องไปต่อที่ด่านซ้าย??? เพราะบังเอิญว่าวันนั้นเป็นวันงานบุญเลี้ยงหอของชาวเลย ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำต้นผึ้งและมีการแห่ไปที่หอหลวงเพื่อทำพิธีตามประเพณีแต่เดิมมา ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากระหว่าง 2 อำเภอผ่านเส้นทางสายโค้งของภูเขาเมืองเลยประมาณ 1 ชั่วโมง จุดหมายของเราวันนี้ไม่ธรรมดาเราเลือกไปบ้านเจ้าแม่นางเทียม อ้าวงงเด้ อะไร่หว่าเจ้าแม่นางเทียม เหมือนเจ้าแม่ตะเคียนมั้ย อันนี้ต้องเกริ่นหน่อยนะ ที่ด่านซ้ายมีบุคคลสำคัญอยู่ 2 คน เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สร้างบ้านสร้างเมืองอยู่ที่ด่านซ้าย 2 คนนั้นเรียกกันว่า เจ้าพ่อกวน กับเจ้าแม่นางเทียม เป็นผู้นำในการทำพิธีต่างๆ ของหมู่บ้าน อย่างเช่น เวลามีบุญบั้งไฟจะมีการแห่บั้งไฟให้เจ้าพ่อกวนขี่บั้งไฟ เวลางานผีตาโขนก็จะแห่เจ้าพ่อกวน ตอนจะทำประเพณีแห่ต้นผึ้งบ้านเจ้าพ่อกวนกับเจ้าแม่นางเทียมจะเป็นบ้านที่นำชาวบ้านมาทำดอกผึ้ง ต้นผึ้งเพื่อใช้ในการไหว้พระธาตุศรีสองรักนั่นเอง ปีที่แล้วเราเคยมาเที่ยวงานประเพณีแห่ต้นผึ้งเราไปดูเค้าทำดอกผึ้งที่บ้านเจ้าพ่อกวน ปีนี้เราเลยอยากไปดูการทำดอกผึ้งที่บ้านเจ้าแม่นางเทียมบ้างเพื่อไม่ให้ซ้ำกับคราวที่แล้ว
วิธีการทำดอกผึ้งของเจ้าแม่นางเทียมก็ไม่ต่างกับของบ้านเจ้าพ่อกวน กรรมวิธีขั้นตอนต่างๆ วัสดุที่ใช้มันเหมือนกัน แต่ที่บ้านเจ้าแม่นางเทียมมีเครื่องมือเพิ่มมาอีกอย่างคือมีไม้แบบสำหรับทำดอกผึ้งเป็นไม้แบบที่ทำในลาวแล้วซื้อเข้ามาใช้ในบ้านเรายังไม่มีคนทำขายไม้ที่ทำแบบเป็นไม้ที่หาง่ายในลาว มีที่นี่ที่เดียวในเมืองไทย เจ้าแม่นางเทียมกับเจ้าพ่อกวนเป็นตำแหน่งที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนไม่เคยขาด ชาวบ้านเคารพนับถือมากคล้ายกับเป็นผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านประจำเมือง ต้นผึ้งแต่ละต้นจะมีดอกผึ้งประมาณ 40-45 ดอกตามความเหมาะสมคนทำดูว่าแค่ไหนจะสวยชอบมากชอบน้อยก็ใส่ลงไป ปกติชาวบ้านจะถวายต้นผึ้งที่พระธาตุศรีสองรักจะทำเป็นประเพณีใหญ่ปีละครั้ง แต่ปกติก็ถวายวันไหนก็ได้ เป็นการแก้บน หรือถวายเพราะศรัทธาอยากถวายเพื่อไหว้ขอพรพระธาตุก็ได้ แต่ไม่ถวายต้นผึ้งในวันพุธ เพราะเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มารับ และไม่ถวายระหว่างช่วงเข้าพรรษา
ใช้เวลาไม่นานต้นผึ้งของพวกเราก็ทำเสร็จจะเอาไปถวายเลยก็ได้แต่เรารอจะไปถวายพร้อมชาวบ้านในวันพรุ่งนี้คืนนี้เราจะนอนกันที่ด่านซ้ายเพื่อที่จะได้ไปพระธาตุศรีสองรักในตอนเช้า ส่วนวันนี้ยังมีเวลาเหลือมาด่านซ้ายทั้งทีเราก็อย่างจะมีหน้ากากผีตาโขนกลับไปเป็นของที่ระลึกสักอัน แต่จะซื้อกลับบ้านมันดูธรรมดาจังถามที่รีสอร์ทเค้าบอกว่ามีแพคเกจวาดหน้ากากผีตาโขนให้เราสนใจมั้ย ราคา 300 เออฟังดูก็เข้าท่านะ ปกติหน้ากากผีตาโขนไปซื้อมาก็หลายบาทอยู่นะ เพิ่มเงินอีกหน่อยแล้วเราได้ทำเองดีมั้ย เมื่อทุกคนโอเคเราก็ไม่มีอะไรต้องรอ ซื้อแพคเกจวาดหน้ากากผีตาโขนโดยพร้อมเพรียงเราเลยเดินทางไปที่วัดโพนชัยพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนเพื่อลงมือ
ที่วัดโพนชัยพอเรามาถึงมีมัคคุเทศก์น้อยยืนรอต้อนรับอยู่ตรงบันไดขึ้นโบสถ์ที่มีผีตาโขนเรียงรายขึ้นไปเป็นสัญลักษณ์ว่าเราเดินทางมาถึงด่านซ้ายเมืองแห่งผีตาโขน น้องไกด์ตัวน้อยพาเราเดินชมพิพิธภัณฑ์ไปพร้อมๆ กับการบรรยายเรื่องราวความเป็นมาของผีตาโขน อธิบายสั้นๆ เข้าใจง่าย ไม่กี่นาทีก็ครบทุกห้อง หลังจากนั้นก็ได้เวลาที่เราจะไปวาดหน้ากากผีตาโขนแบบชิ้นเดียวในโลก หน้ากากผีตาโขนอันเล็กๆ ขนาดกำลังดี มีสีให้เลือกเพียบ มีคนวาดหน้ากากระดับมืออาชีพคอยให้คำแนะนำด้วยถึงเราจะวาดได้ไม่สวยเท่าผีตาโขนจริงๆ แต่ก็ภูมิใจที่เป็นลายมือของตัวเอง
หน้ากากผีตาโขนอันเล็กๆ ของพวกเราก็ค่อยๆ มีลวดลายเพิ่มขึ้นมาทีละนิดๆ จากปลายดินสอเพื่อร่างเส้น ส่วนมากทุกคนเริ่มจากตาก่อน แล้วค่อยๆ ต่อด้วยปาก ส่วนที่ยากหน่อยน่าจะเป็นตรงฟันผีเพราะถ้าอยากได้สวยฟันต้องขนาดพอดีห่างเท่าๆ กัน และยังเป็นเส้นโค้งด้วยถึงจะสวย ระหว่างวาดหน้ากากผีก็ได้ฟังเรื่องราวของผีตาโขนอย่างละเอียด รู้สึกเหมือนกับว่าเราเริ่มจะรักผีตาโขนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่อยากจะมาดูเค้าแห่กระโดดโลดเต้นแล้วถ่ายรูปคู่กับผีแล้วก็กลับ ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าเที่ยวแบบสไตล์ลึกซึ้งมันเป็นแบบนี้นี่เอง มันต่างจากการที่ผ่านมาดูแล้วก็จากไปแบบที่เราเคยทำๆ กันมา และมันก็ทำให้เราฟินและอินกับการเดินทางของเรามากกว่าเดิมด้วยนี่ถ้าวัดมีชุดผีให้ใส่เราก็อยากจะลองสวมดูสักทีเหมือนกันว่ามันจะรู้สึกเหมือนหน้ากากนักร้อง The Mask Singer อะเปล่า
ปิดจ็อบของเราวันนี้ด้วยภาพน่ารักๆ ของเหล่ามัคคุเทศก์น้อย ที่มาร่วมวาดหน้ากากเป็นเพื่อนพวกเราจนพวกเราทุกคนได้หน้ากากชิ้นเดียวในโลก(แต่คงไม่มีคนอยากจะได้มั้ง 5555) ทั้งหมดทั้งมวลของทริปของเราวันนี้คงมั่วน่าดูถ้าไม่มีตัวช่วยให้ข้อมูลที่ดี ขอบคุณหน่วยงานดีๆ ที่ดูแลพื้นที่จังหวัดเลย ทั้ง อพท.เลย และ ททท.เลย ไว้คราวหน้าถ้าเราอยากจะไปที่ไหนเราก็คงจะพึ่งข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเหล่านี้อีก ถ้าเรามากันเองคงงงเหมือนไก่ตาแตก ไปไหนไม่ถูกแน่ๆ ที่สำคัญกว่านั้นเราจะไม่รู้เลยว่าในเลยมีของแบบนี้ให้เราไปสัมผัสได้จริงด้วย นอกจากการหาข้อมูลเดินทางของคนเดินทางทั่วๆ ไป ลองมาปรึกษาหน่วยงานเหล่านี้ดูบ้างรสชาติการเดินทางของเราอาจจะกลมกล่อมขึ้นอีกเยอะ
หลังจากที่พวกเราได้หน้ากากของตัวเองเท่าที่จะสามารถวาดได้กันครบแล้วก็มีการถ่ายรูปหมู่ที่ระลึก จากนั้นก็ต้องออกเดินทางไปที่ภูนาคำรีสอร์ท เป็นที่สำหรับอาหารเย็นของเรา ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่น่าพักตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติขุนเขาและวิวสวย ห้องประชุมห้องอาหารกว้างขวาง วันนี้เรามีเมนูพิเศษจากหลายร้านดังของด่านซ้ายมาแนะนำ อันดับแรกเลยคือเมี่ยงน้ำผักสะทอนเป็นเมี่ยงที่ไม่ธรรมดาส่วนประกอบเหมือนเมี่ยงทั่วไปแต่ไม่ต้องพึ่งน้ำราดที่วางขายในตลาด ใช้แค่น้ำผักสะทอนมากน้อยแล้วแต่ชอบสำหรับคนไม่เคยกินให้ลองใส่น้อยๆ ก่อน เพราะรสชาติการกินครั้งแรกจะเผื่อนๆ แล้วพอชินก็จะดีขึ้น จากนั้นก็จะมีการโชว์การบีบขนมจีนเส้นสด การบีบตัวด๊องแด๊ง (เคยได้ยินตำด๊องแด๊งมั้ย นั้นแหละเส้นขนมจีนโตๆ แต่สั้นๆ) ยิ่งไปกว่านั้นเราจะได้กินไข่ปามอีสาน การทำไข่คล้ายไข่เจียวผสมไข่ตุ๋นแบบไม่ใช้น้ำมัน ใช้ใบตองกับน้ำ ในไข่ปามก็จะใส่อะไรเพิ่มได้อีกหลายอย่างที่เราชอบใจที่สุดน่าจะเป็นผักชีลาว รองลงมาคือดอกอัญชันหอมกรุ่นน่ากินเป็นที่สุด ทริปนี้เราพิถีพิถันเรื่องโลว์คาร์บอนมากๆ แม้แต่การเลือกเมนูอาหารก็ยังปรุงแบบไม่ใช้น้ำมันเลยเห็นมั้ย อะไรลดได้เราก็ลด นี่แหละนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่หัวใจกรีน แบบที่ อพท. เรียกว่า เที่ยวสบายสไตล์คนไม่เอาถ่าน นั่นเอง
อิ่มหนำสำราญบานตะไท ก็แยกย้ายกันเข้านอน จบทริปคนไม่เอาถ่านของเราวันแรกแบบสบายๆ ในจังหวัดเลยจัดไป 2 อำเภอ ติดตามต่อตอนที่ 2 ได้ที่ สโลว์ไลฟ์ สไตล์โลว์คาร์บอน ด่านซ้าย-ภูเรือ-เชียงคาน (เพราะทริปนี้ยังอีกยาวววววว) อยากรู้อะไรมากกว่านี้สอบถามได้ที่
องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท.เลย โทร.042 861 116-8, 081 261 4961
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812, 0 4281 1405 หรือ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย