Notice: Undefined index: ses_user in /home/touronth/domains/touronthai.com/public_html/roadtrips/tripview.php on line 5
ตามรอยกินรี ชิลเอาท์เชียงราย สไตล์วันธรรมดาน่าเที่ยวเส้นทางขับรถเที่ยวเอง ทัวร์ออนไทยดอทคอม

www.touronthai.com

หน้าหลัก >> เส้นทางขับรถเที่ยว >> ตามรอยกินรี ชิลเอาท์เชียงราย สไตล์วันธรรมดาน่าเที่ยว

ตามรอยกินรี ชิลเอาท์เชียงราย สไตล์วันธรรมดาน่าเที่ยว

ขับรถเที่ยวชิลๆ ที่เชียงรายตอนหน้าฝน น้อยคนนักที่คิดจะทำแต่ก็นั่นแหละนะถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไงละว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เรื่องราวของทริปนี้ต่อจากตอนที่แล้ว เชียงใหม่ สไตล์ชิลเอาท์หน้าฝน ประสาคนชอบเที่ยว ถ้าใครได้อ่านก็จะเป็นเรื่องต่อเนื่องภาค 2 ก็ว่าได้ หลังจากเที่ยวเชียงใหม่เสร็จเรามุ่งหน้าต่อมาที่เชียงรายและเรื่องราวต่อจากนี้ก็คือเรื่องที่ทุกคนกำลังจะอ่านอยู่นั่นเองละนะ

    หลังจากพักรถที่บ่อน้ำร้อนแม่ขะจานขับต่อมาอีกไม่นานก็เข้าเมืองเชียงราย จุดหมายแรกของเราก็ต้องยกให้เป็นสถานที่ยอดนิยมของเชียงรายอยู่ในขณะนี้ วัดร่องขุ่น ไหว้พระถ่ายรูปเป็นเรื่องปกติของพวกเราอยู่แล้วช่วงสายๆ ของหน้าฝนท้องฟ้ามีเมฆเยอะ ภาพวัดร่องขุ่นก็ดูเข้มขลังไปอีกแบบ

    ออกจากวัดร่องขุ่นเดินทางกันต่อไปที่ไร่บุญรอดสิงห์ปาร์ค วันนี้เราขอมาเที่ยวปล่อยแก่สักวันด้วยเครื่องเล่นสุดเร้าใจของสิงห์ปาร์คที่เปิดตัวได้ไม่นาน zip-line นั่นเอง จากหอสูง 8 ชั้น ค่อยๆ ไหลลงมาตามสายสลิงอย่างช้าๆ ดูจากคลิปที่เราถ่ายมาใช้เวลาประมาณ 40 วินาทีก็ถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ การเล่น zip-line จะต้องใส่ชุดโดยเจ้าหน้าที่จะดูแลทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัย มีลิฟท์ขึ้นไป 6 ชั้น เดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 2 ชั้น ลิฟท์แก้วใสๆ ทำให้เราเห็นว่าเราค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นๆ เพิ่มความเสียวให้เราได้ตลอดเวลา ราคาเครื่องเล่น 300 บาท ได้ชมวิวสวยรอบๆ สิงห์ปาร์ค

 

    เสร็จสรรพเรียบร้อยก็จัดการมื้อกลางวันด้วยอาหารสไตล์อิตาเลียน พิซซ่าเตาถ่านหลากหลายหน้าที่สั่งๆ กันมากิน ต่อด้วยเมนูอื่นๆ อีกหลายอย่างเครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้จากไร่ของสิงห์ปาร์ค ชอบที่สุดคือน้ำเต๊ะจุ๊ยส์ เป็นน้ำผลไม้ที่รวมเอาผลไม้หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เราเลือกได้เลยว่าจะเอาอย่างไหน แต่ละอย่างใช้ผลไม้ต่างกันไป ถ้าใครที่กินน้ำผลไม้รวมเป็นประจำจะพอนึกรสชาติออก

    อิ่มอร่อยกันเต็มพุงนั่งรถรางชมสิงห์ปาร์คและไร่บุญรอดแบบทั่วๆ พร้อมมีไกด์คอยบรรยายให้ฟัง จอดถ่ายรูปตรงไร่ชามีชุดให้เราใส่ สนุกสนานกันใหญ่ปิดท้ายด้วยการป้อนอาหารยีราฟตัวโตสูงชะลูดเชียว มันก้มลงมากินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อย เล่นกับนกแก้วอีกหน่อยจบการท่องเที่ยวสิงห์ปาร์คของวันนี้

    เดินทางกันต่อกับความชิลของคณะเราไปยังหมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่าชื่อบ้านหล่อซา หมู่บ้านนี้ยังคงมีชาวเขาที่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่ในบ้านไม้ที่สร้างจากไม่ไผ่ทั้งหลัง มีเตาตั้งอยู่กลางบ้านที่มีดินเป็นพื้นบ้าน แม้หลายๆ หลังคาเรือนจะเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยแต่ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ให้เราเข้าไปชมได้ ชาวบ้านเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบมีกติกา ข้อหนึ่งที่ควรระวังคือเวลาจะถ่ายรูปชาวเขาให้ถ่ายแบบที่ชาวเขาอนุญาตให้ถ่ายห้ามถ่ายแบบไม่รู้ตัวหรือแอบถ่าย

    ชาวอาข่าพาเราเดินชมหมู่บ้านมีเครื่องไม้เครื่องมือในการจับสัตว์อย่างคอกดักเสือที่ใช้ลูกหมูป่าเป็นตัวล่อ กับดักแทงหมูป่า กับดักจับนก การทำผ้าทอมือเหมือนกับหมู่บ้านชาวเขาอื่นๆ การเล่นชิงช้าซึ่งถือว่าเป็นประเพณีสำคัญเสาชิงช้าชาวเขาเหมือนกระโจมอินเดียนแดงมีเชือกลงมาเส้นเดียวเอาเท้าใส่ในเชือกแล้วโหนออกไป เหมือนกับการโหนเชือกเล่นของเด็กๆ บ้านเรา แต่สำหรับชาวอาข่าจะเล่นชิงช้าได้ต้องเป็นคนที่ได้รับเลือกและเล่นในวันสำคัญเท่านั้น 

    การทำขนมกินเล่นด้วยการเอาข้าวเหนียวมาตำเหมือนแป้ง โดยไม่ปรุงรสการต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมบ้านด้วยการนั่งล้อมวงรอบเตาก้อนเส้าดื่มชาตามประสาชาวอาข่า

    เสร็จสิ้นการจากเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวเขาเราก็ออกเดินทางเข้าเมืองเชียงรายวันนี้เราพักในเมืองแต่ก่อนหน้านั้นมันต้องจัดอาหารเย็นแบบหนักๆ ซะหน่อยสินะ ร้านอาหารขึ้นชื่อมากมายหลายร้านที่เรานึกออก แต่มีอยู่ร้านนึงที่ไม่เคยกินมาก่อนก็เลยต้องขอลอง ร้านอาหารร้านนี้ชื่อ ซีแอนด์ซี Cabbages & Condoms

    ชื่อร้านก็ไม่ธรรมดาแล้วจอดรถได้ก็เดินปรี่เข้าร้านไปเลย ในร้านนี้มีเมนูมากมายให้เราเลือกแต่บอกเลยว่าอย่างหนึ่งที่ควรสั่งเพราะเป็นเหมือนเมนูเด็ดแนะนำประจำร้าน ได้แก่ ยำถุงยาง เป็นไงละแค่ชื่อก็อึ้งแล้วใช่มั้ยละ มันประกอบไปด้วยเส้นเหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ แผ่นโตๆ แช่น้ำแล้วมันก็จะม้วนเข้าหากันแป้งมันใสแลดูคล้ายถุงยางอย่างที่ว่านั่นแหละ

    พอชิมเข้าไปก็อร่อยดีนะ ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีอีกมากมายหลายรายการที่เราสั่งมาชิมเพื่อการรีวิวไปด้วยในตัว ทำเลของร้านอยู่ในเมืองสะดวกต่อการเดินทางดีทีเดียวคืออยู่ตรงข้ามสวนตุงและโคมเชียงราย ด้านรสชาติอาหารจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ราคาก็พอสมควรอยู่บรรยากาศเหมาะสำหรับการสังสรรค์ สนใจลองติดต่อล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่เบอร์ 053 740 657, 053 601 077

    หลังจากอิ่มหนำสำราญเข้าที่พักกันได้แล้ว ค่ำคืนนี้เราเลือกที่พักแนวสงบๆ มีการตกแต่งกลมกลืนกับความเป็นเชียงราย จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ ต้องเดอะรีเจนท์เชียงราย The Regent Chiang Rai นั่นเอง ห้องพักแต่ละห้องหรือแต่ละหลังเหมือนตั้งใจสร้างให้อยู่ริมน้ำ มีน้ำไม่ด้านหน้าก็ด้านหลัง แขกที่มาพักมักจะเป็นกลุ่มที่ชอบความสงบหลังจากเข้าห้องพักไปแล้วทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบไปหมด มีแต่แสงไฟตามทางเดินและระเบียงห้องสว่างไปทั่วบริเวณของโรงแรม ห้องพักตกแต่งได้โดนใจมากๆ ห้องเตียงคู่ที่เรานอนมีมุ้งให้แม้ว่าในห้องจะไม่มียุงอยู่แล้วก็ตามแต่เพื่อให้ได้บรรยากาศ ห้องน้ำแม้จะมีทั้งฝักบัวและเรนชาวเวอร์แต่ก็มีตุ่มตั้งอยู่ด้วย น้ำในตุ่มเย็นสะใจเลยทีเดียว ห้องน้ำห้องส้วมแยกกันก็มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบแต่เราว่าเราชอบแบบแยก ทีวีเครื่องเสียงพร้อมมีระเบียงให้ด้วย ที่ชอบที่สุดคือกาต้มน้ำร้อนและกาแฟให้บริการเพราะเราชอบนั่งเล่นเน็ตดูทีวีและนอนดึก เปิดรูปมาดูเลือกรูปเขียนรีวิวไปตามเรื่องเสร็จแล้วก็เข้านอน

    เช้าวันต่อมาตื่นแต่เช้าเดินดูอะไรรอบๆ โรงแรม กินข้าวพอสายหน่อยก็ขนกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางไปยังที่ต่อไปของเรา วันนี้ที่ที่เราอยากจะเห็นที่สุดคือ "หอฝิ่น" เพราะเป็นสถานที่ที่ได้ยินชื่อมานานแล้วแต่ทุกครั้งที่มาเชียงรายไม่เคยได้เข้าหอฝิ่นเลย ด้านในนี้ห้ามถ่ายรูปและวิดีโอ แต่ได้รับความอนุเคราะห์จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ประสานงานให้เราเลยได้รูปได้ในบางห้องส่วนบางห้องก็ยังคงห้ามถ่ายรูปอยู่เหมือนกัน

    เริ่มต้นจากอุโมงค์เข้าหอฝิ่นที่ยาว 137 เมตรผนังของอุโมงค์มีงานปูนปั้นฝีมือช่างสิบหมู่แสดงรูปคนที่แลดูเศร้าหมองโหยหวน อุโมงค์นี้แทนความหมายว่าชีวิตของคนที่เสพฝิ่นจะตกอยู่ในวังวนแห่งความมืดมนไร้แสงสว่าง ในหอฝิ่นมีเรื่องราวความเป็นมาของฝิ่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเดินทางของฝิ่นตั้งแต่สมัยที่มีบันทึกเรื่องฝิ่นเอาไว้กว่าจะมาถึงเมืองไทยใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ และฝิ่นก็ระบาดไปทั่วโลกเพราะบางประเทศต้องการให้ประเทศอื่นตกเป็นทาสของฝิ่นเพื่อที่จะเข้ายึดครองและเป็นใหญ่ การต่อสู้กับฝิ่นเกิดขึ้นในหลายประเทศจนมีคำว่าสงครามฝิ่น

    ในสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยต้องยอมให้ฝิ่นเป็นสิ่งถูกกฏหมายซื้อขายได้เพราะไม่อยากทำสงครามกับประเทศตะวันตกที่รู้อยู่แล้วว่าเราต้องแพ้อย่างแน่นอน คนไทยจำนวนมากตกเป็นทาสฝิ่นดูได้จากสถิติการเก็บภาษีของการซื้อขายฝิ่นเป็นรายได้ที่สูงมากๆ ของประเทศเมื่อเทียบกับภาษีอื่นๆ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณภาพชีวิตของชาวไทยที่ค่อยๆ เสื่อมถอยลงเช่นเดียวกัน กาลเวลาที่ผ่านไปความรู้เรื่องฝิ่นก็มีมากขึ้นรัฐบาลก็กวาดล้างฝิ่นแต่ก็ทำได้ไม่มากจนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีโครงการในพระราชดำริพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขาปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ แทนฝิ่น เป็นกระบวนการพัฒนาชีวิตแบบบูรณาการจนที่สุดแล้วฝิ่นก็หายไปจากดอยตุงและทุกพื้นที่ในประเทศ เล่นเรื่องราวของหอฝิ่นทุกห้องคงเล่าไม่หมด ไว้มีโอกาสลองไปเดินหาความรู้กันสักรอบดูจะรู้ว่าคุ้มกับที่มาที่นี่

    ห้องเกือบสุดท้ายของหอฝิ่นเป็นห้องแสดงไปป์สูบฝิ่นมีหลายแบบหลายขนาดหลายราคา แสดงให้เห็นว่าคนสูบฝิ่นมีทุกชนชั้นวรรณะเพราะไปป์บางอันก็ตกแต่งประดับอย่างสวยงามอลังการ จากนั้นก็เป็นห้องของคนดังของโลกที่ต้องจบชีวิตหรือต้องเสียอนาคตไปเพราะยาเสพติดก่อนจะถึงทางออกจากหอฝิ่นในที่สุด

    เดินทางกันต่อกับทริปของเราแวะกินอาหารง่ายๆ ริมทางแต่ต้องมีความเป็นเอกลักษณ์นิดนึง ข้าวซอยป้าหรอย ร้านขายข้าวซอยและขนมจีนน้ำเงี้ยวเมนูอื่นๆ ก็มีอีกนิดหน่อย เอาแค่พออยู่ท้องเดินทางต่อไปได้

    เดินทางมุ่งหน้าไปยังโครงการพัฒนาดอยตุงที่เลือกที่นี่มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของทริปนี้ เพราะหลายๆ ครั้งที่มาเที่ยวดอยตุงเราจะไปวัดพระธาตุดอยตุง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวงเป็นหลัก ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนรู้จักกันดีเราเองก็มาหลายครั้งแล้ว แต่คราวนี้ขอลองไปเรียนรู้โครงการที่เปลี่ยนชีวิตดอยตุงจากชาวเขาที่ฐานะยากจนหากินลำบากและขาดแคลนมาเป็นคนมีงานมีการทำโดยไม่พึ่งพาการปลูกฝิ่นหรือการทำไร่เลื่อนลอยและส่งผลให้มีน้ำไหลไปจนถึงชาวเมืองเบื้องล่างตามกลไกธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างทุกวันนี้

    โครงการพัฒนาดอยตุงหรืออีกชื่อหนึ่งคือศูนย์ผลิตและจำหน่ายงานมือที่นี่เป็นโครงการขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เปิดโอกาสให้ชาวเขาในพื้นที่ไม่ต้องไปทำงานถึงในเมืองด้วยการฝึกอาชีพและหาตลาดในการขายสินค้าที่ผลิตขึ้นมาโครงการนี้มีการฝึกอาชีพด้วยงานที่ไม่ยากเกินกว่าจะเรียนรู้และส่งเสริมอาชีพที่ชาวเขามีความรู้ความสามารถทำได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วด้วยได้แก่การทอผ้า การทำเครื่องปั้นดินเผา

    การปลูกไร่กาแฟรวมไปจนถึงการแปรรูปเมล็ดกาแฟขายโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อค้าภายนอกจึงเกิดเป็นแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ของที่นี่ขึ้นมาคือ ดอยคำ มาเที่ยวที่นี่เราได้เรียนรู้กระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาตั้งแต่การเตรียมดิน ปั้นขึ้นรูป การลงสี การเผา การตรวจสอบคุณภาพรอยร้าวรอยรั่ว ฯลฯ แล้วยังได้ทดลองลงสีแก้วได้กลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย กาแฟที่นี่เป็นกาแฟที่มีการควบคุมคุณภาพค่อนข้างสูง เมล็ดที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะผ่านกระบวนการคัดเลือกนำมาแปรรูปบรรจุห่อเป็นกาแฟที่มีชื่อของไทย การได้มาที่นี่ก็จะได้เยี่ยมชมและอุดหนุนสินค้าของโครงการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วย

    เกือบๆ 4 โมงเย็น เรามาถึงพระตำหนักดอยตุงในที่สุด ที่ที่เราต้องบอกว่ามาเชียงรายแล้วไม่แวะมาคงจะไม่ได้ เราใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการเดินชมพระตำหนักดอยตุงไปทีละห้องๆ แต่น่าเสียดายที่ภายในพระตำหนักไม่สามารถถ่ายรูปได้เราเลยไม่มีรูปมาให้ชมเลย หลังจากชมพระตำหนักดอยตุงแล้วเราเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงมื้อเย็น เลยได้มีโอกาสเดินชมสะพานเรือนยอดไม้หรือในภาษาอังกฤษชอบเรียกกันว่า Tree Top Walk ที่กำลังจะเปิดอย่างเปิดทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พอภาพการเดินสะพานของเราถูกโพสไปก่อนหน้าที่จะมาเขียนเรื่องนี้ก็ถูกแชร์ไปจำนวนมากจนเหลือเชื่อในแฟนเพจ

    สะพานเรือนยอดไม้ของดอยตุงเป็นสะพานมาตรฐานความปลอดภัยสูงนอกจากการเดินสะพานแล้วยังมีสลิงอีกเส้นที่จะติดตัวเราอยู่ตลอดเวลาเพิ่มความมั่นใจถึงแม้เราจะตกสะพานหรือสะพานขาดก็จะมีสลิงเส้นนี้อยู่ แต่จะว่าไปสลิงของสะพานแต่ละเส้นรับน้ำหนักได้มากกว่า 5 ตัน มีอยู่ 4 เส้นเป็น 20 ตัน คนเดินบนสลิงทีละ 10 กว่าคนน้ำหนักรวมกันไม่ถึงตันจะทำให้สะพานขาดมันคงไม่ง่าย เรื่องความปลอดภัยนี่ผ่านได้เลย ทีนี้มาดูที่ความสูงและความยาวของทางเดิน มีสะพานแบ่งเป็น 4 ช่วง ความยาวรวมประมาณ 300 เมตร ความสูงแต่ละช่วงจะต่างกันไป ช่วงที่สูงสุดประมาณ 20 เมตร ผ่านป่าไม้สูงใหญ่มองลงไปข้างล่างสุดเสียวเลยแต่ก็แปลกดีนะที่การเดิน Tree Top Walk วันนี้แม้จะเสียวบ้างแต่ก็ไม่มีใครรู้สึกกลัวเลยเราทุกคนเดินผ่านไปอย่างสนุกสนานกันมากกว่า

 

ค่าบัตรเข้า Tree Top Walk คนละ 150 บาทเอง รวมกับค่าเข้าสวนแม่ฟ้าหลวง 90 เป็น 240 บาท ต่อคน ลงมาแล้วเราจะเดินชมสวนแม่ฟ้าหลวงที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามตระการตาได้อีกด้วย สวนแม่ฟ้าหลวงเป็นสวนที่มีดอกไม้หมุนเวียนตลอดทุกวัน ตั้งแต่มีโครงการทำสวนแม่ฟ้าหลวงมาเคยเกิดพายุลูกเห็บตกจนดอกไม้ในสวนเสียหายทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่ดูแลก็เปลี่ยนดอกไม้ชุดใหม่ให้สวนกลับมาสวยได้ในเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น เลยพูดได้เลยว่า ดอยตุง เป็นที่ที่มาเที่ยวได้ 365 วัน ต่อปี เวลาเล่นเฟสบุคลองค้นหา #ดอยตุง365วัน จะเจอรูปสวยๆ เพียบเลย 

    จบการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของเราแล้วก็มานั่งกินอาหารในร้านครัวตำหนักที่อยู่ตรงทางเข้าพระตำหนักดอยตุง อาหารที่นี่ประกอบด้วยผักที่ปลูกเองในโครงการเป็นผักปลอดสารเราจึงกินเมนูที่มีผักเป็นหลักและผักสดๆ กรอบ หวาน อร่อย และกินจนพุงกาง ลองดูว่าหน้าตาอาหารมื้อนี้ของเราน่ากินขนาดไหน สนนราคาของครัวตำหนักถือว่ารับได้นะแต่ก่อนมาเที่ยวที่นี่คิดว่าอาหารในนี้จะแพงมากแต่ก็ไม่เลยราคาอยู่ในเรทกลางๆ แต่ละคนโพสรูปที่ตัวเองไปผจญภัยบนสะพานทรีท้อปวอล์คกันอย่างสนุก อิ่มและเหนื่อยเพราะหัวเราะกันมากไปหน่อยก็ได้เวลาพักผ่อน นั่งรถจากครัวตำหนักไปที่พักไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงซะแล้วเพราะคืนนี้เราพักที่ดอยตุงลอดจ์ นี่เอง (ถ้าพักที่อื่นเห็นทีคงไม่ได้กินมื้อเย็นที่นี่เพราะต้องรีบลงจากดอยตุง) 

    ดอยตุงลอดจ์มีห้องพักหลายห้องสร้างแบบห้องเรียงกันไปแบ่งเป็นหลายชั้น ระเบียงห้องมองเห็นวิวด้านตะวันออกพอได้เห็นแสงยามเช้าสาดส่องและสายหมอกสีขาวบางๆ ของหน้าฝน รุ่งเช้าเดินไปกินข้าวบริเวณห้องอาหารแยกออกมาจากห้องพักเดินชมวิวได้หลายมุมพอได้เห็นหมอกที่ล้อมรอบดอยตุงสวยน่าประทับใจ บรรยากาศบนเขาที่ไม่หนาวจัดแต่เย็นชุ่มชื่นของหน้าฝนทำให้เราเริ่มชอบการเที่ยวหน้าฝนขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว ปีหน้าเราคงจะต้องหาที่เที่ยวใหม่ๆ สำหรับหน้าฝนอีกเป็นแน่ ดอยตุงลอดจ์สำหรับนักท่องเที่ยวรายได้ปานกลางนับว่าเป็นที่พักที่ค่อนข้างแพง แต่พอมาหน้าฝนและมาวันธรรมดาที่นี่ก็กลายเป็นที่พักที่เราสามารถพักได้อย่างไม่เดือดร้อนมากนักกับวันพักผ่อนที่แสนพิเศษของเรา

    สายแล้วเป็นเวลาที่เหมาะกับการเดินทางต่อของทริปชิลๆ ของเรา วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริป เราเลือกสถานที่พิเศษเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดาและไม่ค่อยไม่คนรู้จัก เพราะเราชอบเที่ยวที่แปลกใหม่ สถานที่แห่งนั้นก็คือ ไร่แม่ฟ้าหลวง เป็นไง เห็นชื่อแล้วงงมั้ย

    ออกเดินทางจากสวนแม่ฟ้าหลวงไปไร่แม่ฟ้าหลวงที่จริงก็ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้ ด้วยความที่ชื่อของสถานที่ทั้งสองคล้ายกันซะขนาดนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นคนละที่กันและไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เจ้าหน้าที่ไร่แม่ฟ้าหลวงเล่าว่าหลายครั้งที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่เพราะอยากมาชมสวนดอกไม้ เพราะเข้าใจว่าสวนดอกไม้อยู่ที่นี่ แต่ความจริงแล้ว สวนดอกไม้อยู่ที่สวนแม่ฟ้าหลวง ส่วนไร่แม่ฟ้าหลวงมีอะไรละ ก็ประกอบไปด้วยอาคารหลักๆ 2 หลัง เรียกกันว่า หอแก้ว กับ หอคำ เราเดินทางเข้ามาถึงหอคำก่อนแล้วจีงค่อยไปหอแก้วกันต่อ ไร่แม่ฟ้าหลวง ถ้าหลายคนเข้าในว่าเป็นสถานที่สำหรับปลูกพืชไร่บอกเลยว่าผิด ที่ชื่อไร่แม่ฟ้าหลวงนั้นเพราะเป็นสถานที่อบรมฝึกฝนคน หรือเป็นการเพาะปลูกคนให้เป็นคนดีมีการมีงานทำอยู่ในสังคมต่อไป ทันทีที่ได้เห็นหอคำทุกคนก็เอากล้องยกขึ้นมาถ่ายกันใหญ่ด้วยลักษณะของอาคารไม้แบบล้านนาสูงเด่นตระหง่านมีหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าทางเดินไปหอคำทั้งหมดเป็นสะพานไม้มีหลังคา ด้านหนึ่งของทางเดินเต็มไปด้วยดอกบัวสวยมากๆ การจะขึ้นไปบนหอคำแนะนำให้นำเอากรวยดอกไม้ธูปเทียนไปด้วย เค้าบอกว่าหอคำนั้นคือสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นพิพิธภัณฑ์พุทธศิลป์แห่งล้านนา เราจะได้ใช้ดอกไม้ธูปเทียนไปกราบบูชาพระพุทธรูปในหอคำ

    ด้วยขนาดที่สูงใหญ่ของหอคำแห่งไร่แม่ฟ้าหลวงก็ทำให้หลายคนสงสัยว่าเอาไม้มาจากไหน ไม้ทั้งหมดที่ใช้สร้างอาคารหอคำเป็นไม้เนื้อแข็งมีไม้สักอยู่จำนวนไม่น้อย ได้มาจากบ้านแบบล้านนาดั้งเดิมจำนวน 32 หลัง ด้วยกัน จึงนำมาสร้างเป็นหอคำแห่งนี้ได้ ปราสาทที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่แห่งล้านนาเป็นปราสาทไม้สูงใหญ่มีพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่มากประดิษฐานอยู่ข้างบนชาวบ้านเรียกกันว่า พระเจ้าพร้าโต้ หรือหลวพ่อพร้าโต้ ที่มาของชื่อนี้มาจากองค์พระเป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักขึ้นมาด้วยมีดพร้าหรือมีดโต้ สร้างมาแต่สมัยโบราณ ด้านล่างของหอคำหลวงประกอบไปด้วยเสาไม้จำนวนมากเรียงกันจนชิดดูเหมือนผนังของอาคารด้วยความเชื่อของชาวล้านนาที่ว่าการได้นำเอาไม้มาค้ำหรือมาทำเสาหอคำเปรียบเสมือนการค้ำจุณพระศาสนา และความเชื่อนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์ และก้อนหินตามสถานที่ต่างๆ อย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ภายในหอคำประกอบด้วยเชิงเทียนเก่าแก่แบบล้านนาอยู่จำนวนมาก ตามความเชื่อแล้วเชิงเทียนของล้านนามีจำนวนเทียนต่างกันตั้งแต่ 1 3 5  และ 7 ที่นิยมที่สุดคือ 7 เล่ม ขนาดของเชิงเทียนสร้างให้เหมาะสมกับขนาดของพระประทานที่เราจะกราบไหว้บูชา ถ้าพระองค์เล็กจะทำเชิงเทียนขนาดเล็ก ถ้าพระประทานองค์ใหญ่จะมีเชิงเทียนขนาดใหญ่มากขึ้น และเชิงเทียนเหล่านี้จะแกะสลักลวดลายล้านนาอย่างสวยงาม ครั้งหนึ่งเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่อาหารใกล้ๆ หอคำเป็นอาคารไม้เก่าแก่และเกือบลุกลามมาที่หอคำแห่งนี้ ไฟไหม้ครั้งนั้นไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะนอกจากจะเป็นอาคารเก่าแก่แล้วข้างในยังมีของสำคัญมากมายหลายชิ้น หอคำแห่งนี้เราจึงยกให้เป็น หนึ่งในอาคารที่เราควรได้มาเห็นสักครั้งในชีวิต

    ออกจากหอคำ เราเดินไปหอแก้วอยู่ไม่ไกลกันมาก ที่หอแก้วเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้สัก ประกอบไปด้วยไม้สักที่นำมาแกะสลักในรูปแบบต่างๆ เพราะไม้สักเป็นไม้ที่จะคงทนอยู่ได้นานกว่าไม้ชนิดอื่นๆ ของแต่ละชิ้นที่แกะสลักจากไม้สักจึงมีอายุนับร้อยปีหรือมากกว่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างในหอแก้วบอกได้คำเดียวว่าเป็นบุญตาที่ได้มาเห็นในวันนี้

    เฮ้อ... เวลาของความสุข มันผ่านไปเร็วเสมอ ในที่สุดเวลาของทริปนี้ก็เกือบจะหมดลงเต็มที เราต้องออกจากหอแก้วโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลของอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่นี่ ระหว่างการเดินทางกลับแวะหามื้อเที่ยงกินกันก่อน แน่นอนอีกแล้วว่าเราต้องเลือกร้านที่ไม่ธรรมดา ร้านอาหารที่เราเลือกวันนี้ชื่อ Figure & Ground ชื่อร้านเหมือนจะธรรมดาๆ ยังไงไม่รู้แต่ในร้านกลับตรงกันข้าม เนื่องจากเจ้าของร้านเป็นนักสะสม ของที่สะสมคือโมเดลซุปเปอร์ฮีโร่ บางคนเลยเรียกร้านนี้ว่าร้านซุปเปอร์ฮีโร่ไปซะงั้น ที่สำคัญในร้านมีพนักงานเสิร์ฟคนนึงที่จะแต่งตัวเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เดินเสิร์ฟอาหาร เท่าที่ได้คุยกับเจ้าของร้านบอกว่าพนักงานเสิร์ฟคนนี้ไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่เพราะแกอยากแต่งตัวเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มาช่วยงานที่ร้านแต่ไม่อยากได้ค่าจ้าง เป็นไงละ ร้านแบบนี้ก็มีด้วย ถ้าธรรมดาๆ เราก็คงจะไม่พาเข้ามาละนะ เอาละมาดูหน้าตาอาหารร้านนี้กันดีกว่า บอกก่อนนะว่าร้านนี้ราคาไม่ธรรมดาตามหน้าร้านนะคร้าบ ก่อนสั่งควรคำนวณงบประมาณนิดส์นึง

    สำคัญไปกว่านั้น ร้านนี้เท่านั้นที่ได้มีการคิดค้นเครื่องดื่มพิเศษขึ้นมาเมนูนึง เป็นเครื่องดื่มประจำจังหวัดเชียงราย มีสองแบบคือคอกเทลและมอคเทล (มีแอลกอฮอล์และไม่มีนะ) เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้ว่าเชียงรายมีรสชาติยังไงก็ลองสั่งเครื่องดื่มนี้ดูนะครับ

    ปิดท้ายด้วยการไปช้อปของฝาก เราไปหาซื้อของติดไม้ติดมือกันที่หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ รอบๆ มีร้านของฝากอยู่หลายร้านไปที่เดียวจะได้ครบเลย จบการพาเที่ยวเชียงรายสไตล์ชิลเอาท์ของเราไว้เพียงเท่านี้ หม่ำอาหารให้อร่อย แล้วค่อยไปเช็คอินที่สนามบิน หมดเวลาของทริปชิลๆ ของเราแล้วไว้ถ้าอยากลองเที่ยวแบบชิลๆ ล่ะก็ลองไปพิจารณาเส้นทางของเราดู หน้าฝน วันธรรมดา เมื่อสองอย่างนี้มาพบกัน ประหยัดได้มากกว่าครึ่งเชื่อสิ

    ขอขอบคุณ Chill Out Thailand 2 , การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

จำนวนผู้ชม 1864 คะแนน 7  ให้กำลังใจคนเขียนทริปนี้ คลิก...>>
กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะ

แผนที่ขับรถเที่ยว ตามรอยกินรี ชิลเอาท์เชียงราย สไตล์วันธรรมดาน่าเที่ยว

Line id: @touronthai (ใส่ @)
www.touronthai.com