ข้อมูลเพิ่มเติม:Tel : 044-249887 , 044-249888
Mobile : 086-7275965 , 081-4286799 , 081-6172122
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
วิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่ อยู่ในอำเภอด่านขุนทด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเสียทีเดียว มีเส้นทางหลักๆ เข้ามาที่วัดได้ 2 ทาง ทางแรกมาจากถนนมิตรภาพใกล้ๆ อำเภอสีคิ้ว มีทางแยกเข้ามาอำเภอด่านขุนทด ส่วนอีกทางมาจากแก้งค้อ บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ปกติถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าด่านขุนทดอาจจะไม่ได้เห็นมุมนี้ที่ผมเห็นระหว่างเดินทางเข้าวัด เราเห็นรูปช้างใหญ่ๆ สูงพ้นยอดไม้ขึ้นมาหันหน้าไปทางโบสถ์ ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งนี้แหละที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศให้เดินทางมาที่วัดบ้านไร่ เดี๋ยวเข้าไปในวัดแล้วคงรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
โบสถ์กระเบื้องเคลือบ หลังจากที่เข้ามาในประตูวัด ก็เห็นแล้วแหละว่าช้างใหญ่ๆ นั้นน่าจะเป็นวิหารสร้างใหม่ ปกติคนมาถึงวัดก็คงตรงดิ่งไปที่นั่น แต่ระหว่างที่เดินจากลานจอดรถไปด้านหน้าของวิหารรูปช้าง เห็นโบสถ์หลังใหญ่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสวยงาม โบสถ์ยกพื้นสูงด้านล่างใช้เป็นศาลาขนาดใหญ่ แม้ว่าจะสร้างวิหารรูปช้างขึ้นมา โบสถ์ก็ยังคงความสวยสง่าไม่แพ้กัน ก็เลยเดินขึ้นมาที่โบสถ์ ไหว้พระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปชมวิหารเทพวิทยาคม กับพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ
วิหารเทพวิทยาคม หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วิหารปริสุทปัญญา วิหารรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร มีลานรอบวิหารเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 เมตร สูง 40 เมตร ตั้งอยู่กลางบึงเนื้อที่ 30 ไร่ มองด้านข้างเหมือนเป็นรูปช้างยืน แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ จึงได้รู้ว่า เศียรช้างเป็นช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ที่ประจำซุ้มด้านตะวันออก แล้วยังมีอีก 3 ซุ้ม แล้วจะพาไปดูใกล้ๆ
วิหารหลังนี้ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า วิหารเทพ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลาน้ำมนต์ ปริสุทธาร กับศาลาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือศาลาปริสุทธรรม แล้วก็ยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ วิหารแฝงไว้ด้วยคติธรรมอยู่ทุกจุด การจะเข้าไปชมวิหารจะมีไกด์พาไปชมพร้อมกับอธิบายคติธรรมต่างๆ ให้เป็นความรู้แก่นักท่องเที่ยว มีบัตรสมาร์ทการ์ดให้แลก ใช้การ์ดในการทำบุญตามจุดต่างๆ ในวิหาร ระบบจะหักยอดเงินในบัตรจุดละ 30 บาท เหลือเท่าไหร่ก็เอาการ์ดมาแลกเงินคืนตอนกลับ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไกด์จะพาเข้าชมเป็นกลุ่มๆ ถ้ามากันน้อยคนให้นั่งรอที่จุดที่จัดไว้ให้ เมื่อพร้อมแล้วไปยืนรวมกันที่ลานอธิษฐานหน้าพญานาค เป็นลานประดับด้วยกระเบื้องโมเสกลงอักขระเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินที่มีพญานาคขนาบ 2 ข้าง
พญานาคทั้งสองเป็นพญานาค 19 เศียร รวมได้ 38 เศียร หมายถึง มงคลชีวิต 38 ประการ พญานาคด้านซ้ายสีฟ้า ส่วนด้านขวาสีแดง เปรียบกับอารมณ์ของคนเรามีสุข มีทุกข์ ความโกรธคือทุกข์แทนด้วยสีแดง พญานาคหน้าวิหารประดับด้วยกระเบื้องโมเสกตนละ 1 ล้านชิ้น รวมเป็น 2 ล้านชิ้นเข้าไปแล้ว รวมทั้งวิหารจึงใช้กระเบื้องในการตกแต่งถึง 20 ล้านชิ้นโดยประมาณ
วัตถุประสงค์ที่สร้างเพื่อให้วัดบ้านไร่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของ จ.นครราชสีมา มีความตั้งใจกำหนดแล้ วเสร็จในปี 2556 ในโอกาสหลวงพ่อคูณฯ อายุ 90 ปี การก่อสร้างคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 240 ล้านบาท คณะกรรมการวัดบ้านไร่จึงได้มีดำริสร้างพระกริ่งเทพวิทยาคมและพระชัยวัฒน์เทพวิทยาคมขึ้น เพื่อเป็นการหาทุนการก่อสร้างในเบื่องต้น
พญานาค 7 เศียร พญานาคกลางน้ำ สร้างตามคติว่าหลวงพ่อได้โยนแก้ว 7 สี ลงในบึงนี้ เกิดเป็นพญานาคตนนี้ขึ้นมา ตามคำบอกเล่าของลูกศิษย์และไกด์ สำหรับพญานาคตนนี้ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก จำนวน 9 แสนชิ้นโดยประมาณ
วิหารเทพวิทยาคม หรือวิหารปริสุทปัญญา เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นมา มีเวลาเปิด 08.00 น. และปิดเวลา 17.00 น. หลังจากนั้นจะมีรั้วเหล็กมาปิดตรงปลายทางเดิน คนที่มาหลัง 5 โมงเย็นยังคงเดินมาถ่ายรูปใกล้ๆ ได้จนถึงแนวรั้ว เมื่อพระอาทิตย์ตก จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง จนถึงเวลา 2 ทุ่มทุกวัน เพื่อเป็นการวอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้เสียเร็ว รวมทั้งเป็นการตรวจสอบว่าทุกระบบทำงานได้เป็นปกติ
ซุ้มประตูเสริมอภิมหาบารมี ๔ ทิศ เริ่มจากซุ้มแรกที่เราจะเจอ ก็คือตรงทางเข้าด้านหน้า เป็นซุ้ม ทิศตะวันออก พระอินทร์ (ภาพบนซ้าย) เป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ส่วนช้างเอราวัณสร้างให้มีขนาดใหญ่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดต่อออกมาจากดาดฟ้า ด้านหน้ามีที่วางรองเท้าไว้ จากตรงนี้ไปควรถอดรองเท้าเดินชมภายใน แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปด้านในขอเดินเก็บภาพซุ้มประตูต่างๆ ให้ครบก่อนด้วยการเดินเวียนขวา ดังนี้ครับ
ทิศใต้ พระยม ภาพบนขวา ตกแต่งด้วยภาพปูนปั้นหลายรูปด้วยกัน ได้แก่ งูกินเขียดหรือกบ แสดงคติธรรม สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และเปรียบให้เห็นว่าสิ่งที่ตามกินเราอยู่ก็คือกิเลส แล้วก็มีภาพอบายภูมิต่างๆ
ทิศตะวันตก พระพิรุณ ภาพล่างซ้าย พระพิรุณ เทพแห่งน้ำและความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็นเป็นสุข ความสงบสุข องค์พระพิรุณ มี ๔ พระกร ทรงถือดอกบัว หมายถึงปัญญา บ่วงบาศ หมายถึงความมั่นคง ยุติธรรม หอยสังข์ หมายถึงความสุขความร่มเย็น และกล่องอัญมณี หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง ทรงจระเข้เป็นพาหนะ ประติมากรรมองค์พระพิรุณ มีความสูง ๔.๕๙ เมตร ฐานกว้าง ๒.๖๐ เมตรเสาสองข้างประดับด้วยนางฟ้าและยักษ์ขนาดใหญ่เป็นบริวารเฝ้าซุ้มประตู มีประตูทางเข้าภายในโถงกลาง หน้าซุ้มประตูมีส่วนหางของพญานาค 2 ตนที่มาพันกันอยู่ในลักษณะอุ้มแก้วสารพัดนึกเอาไว้ เป็นแก้วขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ติดตั้งอยู่ระหว่างเกลียวหางของพญานาค ซึ่งพันกันหุ้มรอบดวงแก้วซึ่งมีรัศมีสว่างเรืองรองตลอดเวลา หางพญานาคที่พันกันยกขึ้นเป็นซุ้มให้ลอดผ่านเพื่อพบแสงสว่างแห่งดวงจิตนำทางสูงสิ่งที่ดีงามทำบุญกับซุ้มหางพญานาคนี้ เพื่อรับประกายแห่งสติปัญญาที่จะทำให้พบแต่ความสมปรารถนาในทุกประการ
ทิศเหนือ พระกุเวร ภาพล่างขวา พระกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทพแห่งทรัพย์ บันดาลให้เกิดทรัพย์ ผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา และคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ มีความสูง ๓.๕๓ เมตร ฐานกว้าง ๑.๖๐ เมตรพระหัตถ์ถือกระบองเป็นอาวุธ ปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายมารังควาญผู้ประพฤติดี ทรงม้าเป็นพาหนะ แสดงถึงความอิสระ ความยุติธรรม และมียักษ์สูง ๒.๑๐ เมตร เป็นบริวารผู้เฝ้าขุมทรัพย์ บนยอดจั่วหลังคามีเทพกินนรเทวดาครึ่งนกผู้จรรโลงสวรรค์และบันดาลความสุข มีนกทัณฑิมาปักษาแห่งสวรรค์ และยักษ์มงกุฎนาคผู้ปกป้องความชั่วร้าย
เทวดาซุ้มพระอินทร์ ซุ้มประตูบารมี 4 ทิศ จะมีเสา 2 ข้าง ซึ่งจะเทวดาหรือสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับเทพแต่ละองค์อยู่ประจำเสา อย่างเช่นเสาต้นนี้เป็นตัวอย่าง อยู่ที่ซุ้มด้านหน้า เสาสองข้างประดับด้วยเทวดา 2 องค์ คือ ปัญญาบารมี (องค์ซ้าย) และ เมตตาบารมี (องค์ขวา) มีความสูง 3.2 เมตร
เสารอบวิหาร มีอยู่ด้วยกัน 28 ต้น รอบวิหารชั้น 1 เป็นประวัติพระเจ้า 537 ชาติ เขียนสีลงบนแผ่นเซรามิก ประดับบนเสาสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 80 ซ.ม. 4 ด้าน ความสูง 5 เมตร ระหว่างเสาแต่ละต้นเป็นรูปสัตว์ประจำปีนักษัตร
ช้างเอราวัณจากด้านข้าง ระหว่างทางเดินไปซุ้มประตูทิศใต้ มองมาจะเห็นด้านข้างของเศียรช้างเอราวัณ ก่อนจะถึงซุ้มพระยมจะมีสุนัข 3 หัว หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ประดับด้วยกระเบื้องสีสันสวยงามมาก ใครเดินมาทางนี้ก็จะแวะถ่ายรูปกับรูปปั้นสุนัขนี้กันเกือบทุกคน
ภาพถ่ายจากแทยงมุมของวิหาร ขนาดความกว้างของทางเดินประมาณ 8 เมตร ไม่พอสำหรับที่จะเก็บภาพด้วยเลนส์ไวด์กว้าง 10 mm เลยต้องถ่ายหลายๆ ภาพมาต่อกัน จะเห็นขดพญานาคจากด้านหน้าเป็นวงขอบของลานรอบวิหารมาบรรจบกันที่ด้านตะวันตก หน้าซุ้มพระวิรุณ หางพญานาคพันกันอุ้มแก้วสารพัดนึกเอาไว้
หลังจากที่เดินชมรอบๆ แล้วผมเลือกเข้าประตูพระพิรุณ เพื่อที่เวลาเดินออกจะได้ไปออกทางด้านหน้า ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาดี เสาที่ซุ้มประตูทั้งสองข้างประทับใจรูปปั้นประดับกระเบื้องโมเสกที่ดูมีชีวิตเหมือนจริงอย่างมาก ผนังด้านนอกของวิหารประด้บด้วยกระเบื้องมีลวดลายเรื่องราวในพระพุทธศาสนาอีกหลายเรื่อง เป็นงานศิลปะประยุกต์ดูแปลกดา ผู้จัดสร้างกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า อยากจะสร้างเรื่องราวในพระพุทธศาสนาให้เป็นงานศิลปะเข้าใจง่ายและเกิดความประทับใจเมื่อใครๆ ได้มาเห็นจะจดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ง่ายกว่าให้ไปอ่านพระไตรปิฎก โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มาเห็นจะต้องประทับใจและจดจำได้ไม่ลืม
โถงกลาง ปูด้วยกระเบื้องสีดำ ผนังตกแต่งด้วยภาพพุทธประวัติ ขนาด 6x6 เมตร 6 ภาพ โดยฝีมือศิลปิน 6 ท่านด้วยกัน และภาพการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพชีวิตในโลก ภาพที่ใช้เป็นภาพที่มีความสวยงามของสีสัน ประดับด้วยแสงไฟที่อยู่ด้านหลังภาพมีคนให้ความสนใจภาพเหล่านี้กันมาก
ทางเดินภายในวิหาร หลังจากเก็บภาพที่โถงกลางแล้ว ต่อไปก็เดินขึ้นชั้น 2 ทางเดินสร้างเป็นทางลาดจนถึงชั้น 2 สำหรับผู้พิการมีลิฟต์บริการอยู่ด้านใน ขึ้นลงได้จนถึงชั้น 3 และชั้นใต้บาดาล ผนังรอบๆ ทางเดินเป็นภาพปริศนาธรรมต่างๆ ที่ต้องไปอ่านข้อมูลศึกษาเอาจากป้ายที่เขียนบอกไว้ข้างภาพ แต่ละจุดมีจุดให้ทำบุญ โดยใช้สมาร์ทการ์ด จุดละ 30 บาท
วิหารชั้น 2 เป็นเรื่องราวของพระวินัยปิฎก สำหรับฆราวาสอย่างเราๆ คงทำความเข้าใจได้ยาก ก็เลยเดินมาจนถึงชั้น 3 รอบๆ มีภาพปริศนาธรรมสอนใจต่างๆ ให้ลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้ หรือจะเดินชมวิวผ่านประตูกระจกรอบๆ วิหารก็ได้
ทางออกชั้น 4 เรียกว่าเป็นดาดฟ้าของวิหารหลังนี้ครับ ประตูทางออกอยู่ทิศตะวันออกมองออกไปเห็นช้างเอราวัณเลย ภายในวิหารทั้งหมดเปิดแอร์เย็นตลอด พอออกไปอาจจะรู้สึกร้อนนิดๆ ครับ
รูปหล่อหลวงพ่อคูณ ชั้นดาดฟ้ามีรูปเหมือนหลวงพ่อคูณท่ายืนถือกระบอง เหนือขึ้นไปประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา สำหรับนักท่องเที่ยวก็จะเดินได้แต่ลานดาดฟ้าเท่านั้น ขึ้นไปอีกไม่ได้แล้วครับ
ชั้นบาดาล หลังจากเดินชั้นบนกันหมดจนถึงดาดฟ้าแล้ว ตอนนี้เดินกลับลงมาถึงโถงกลางชั้น 1 ถามเจ้าหน้าที่หาทางเดินลงชั้นบาดาล ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นชั้น 2 นั่นเอง ทางลงก็บ่งบอกถึงลวดลายสายน้ำ
ลิฟท์ในวิหาร พอเดินลงมาแล้วเราก็จะเห็นทางขึ้นลงลิฟท์สำหรับคนพิการครับ หน้าลิฟท์ตกแต่งสวยงามมาก
แก้ว 7 สี กลางชั้นบาดาล
เปิดไฟวิหารเทพ เอาละเดินชมความสวยงามในเวลากลางวันตั้งแต่บ่าย 3 โมง พอ 5 โมงเย็นวิหารก็จะปิดเราก็ต้องออกมาด้านนอก จากนั้นหลัง 6 โมงเย็น จะมีการเปิดไฟวิหาร ซึ่งแน่นอนว่าคนชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดช่วงเวลาสวยงามนี้ ผมเอาเก้าอี้มา 2 ตัว สำหรับวางกระเป๋ากล้องและนั่งรอ กางขาตั้งมุมนี้ที่ลานอธิษฐานหน้าพญานาคเลย พอเปิดไฟขึ้นมาบอกได้คำเดียวว่าคุ้มสุดๆ ใครที่มาถึงวัดหลัง 5 โมงวิหารปิดก็อย่าเพิ่งรีบกลับครับ รอชมความงามแบบนี้ได้จนถึงเวลา 2 ทุ่ม ทุกวัน
แสงทไวไลท์หรือที่ชอบเรียกกันว่าแสงเย็น หรือหลายคนก็ชอบเรียกภาพแนวนี้ว่าภาพกลางคืน เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก หลังจากพระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ฟ้าจะยังไม่มืดเป็นสีดำ จะมีสีน้ำเงิน หรือถ้าโชคดีจะมีสีชมพู หรือม่วง หรือส้ม ทำให้ได้ภาพที่สวยงามกว่าท้องฟ้าสีดำ พอหมดแสงสนิทแล้ว ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ จบการนำเที่ยววิหารเทพวิทยาคม พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคุณ วัดบ้านไร่ แต่เพียงเท่านี้ครับ
แผนที่ไปวัดบ้านไร่ สำหรับคนที่ถนัดแผนที่ในกูเกิล คลิก แผนที่วัดบ้านไร่ กูเกิล
"คุ้มค่าน่าแวะมาชมจริงๆครับ"
Akkasid Tom Wisesklin
2020-07-11 08:11:07
"วันนี้แวะมาอัพเดทวิหารเทพวิทยาคมวัดบ้านไร่ สิ่งที่มีเพิ่มเติมขึ้นมาคือรูปหลวงพ่อคูณนั่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าวิหาร ส่วนไฟที่เคยเปิดช่วงเวลาประมาณ 19:00 น ตอนนี้ทางวัดไม่ได้เปิดแล้ว ใช้แค่ไฟจากพลังงานโซล่าเซลล์ ที่ไม่ค่อยสว่างมากเท่าไหร่ส่องตรงซุ้มประตู แต่ก็เพียงพอที่จะถ่ายรูปได้สวยเหมือนกัน"
Akkasid Tom Wisesklin
2020-07-11 08:10:09
"ด่านนัว E-San Restaurant ร้านอาหารสำหรับครอบครัว คนพิเศษ คนรู้ใจ ทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย มีอาหารให้เลือกทาน 100 กว่าเมนู ของหวาน ไอศกรีม กาแฟ มุมให้เลือกถ่ายรูปมากมาก ใจกลางอำเภอด่านขุนทด เปิดให้บริการ 10.00-24.00 น."
เผ่ง อัง
2019-07-28 01:33:03
"ร้านอาหารใกล้วัดบ้านไร่ ห่างจากวัดบ้านไร่ 11 กิโลเมตร ร้านด่านนัว E-San Restaurant"
เผ่ง อัง
2019-06-22 08:04:36
"ด่านนัว E-San Restaurant"
เผ่ง อัง
2019-06-22 07:12:51
"อย่าลืมแวะทานอาหารอร่อยๆ เช็คอิน ถ่ายรูป ร้านด่านนัว E-San Restaurant อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา"
เผ่ง อัง
2019-06-22 07:07:31
"ไส้กรอกขาหมูสดใหม่ เปรี้ยวกำลังดี เน้นหมูแน่นๆ"
เผ่ง อัง
2019-06-22 07:03:26
"ร้านอาหารประจำอำเภอด่านขุนทด อาหารไทย-อีสาน "ด่านนัว E-San Restaurant" เปิดให้บริการ 10.00-24.00 น. โทรจองโต๊ะ 093-1265111
"
เผ่ง อัง
2019-06-22 06:44:23
"ร้านอาหารไทย-อีสาน "ด่านนัว E-San Restaurant" ยินดีต้อนรับคณะทัวร์ทุกท่าน"
เผ่ง อัง
2019-06-22 06:39:33
"ส้มตำปูม้า ปูม้าเนื้อแน่นๆที่แช่จนเย็นเจี๊ยบ เมื่อนำมาตำกับส้มตำไทยรสชาติจัดจ้าน ทำให้เมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดของสาวหลายๆคน รสชาติครบรส เผ็ด เค็ม เปรี้ยว หวาน ใครไม่เคยทานต้องลองค่ะ แซ่บจริง!!!
ที่นี่ "ด่านนัว E-San Restaurant""
เผ่ง อัง
2019-06-22 06:34:15
35/35 จาก 7 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ