เวลาเปิด-ปิด:07:00 - 18:00
ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605
http://www.tourismthailand.org/chiangmai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ประตูวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ภายในวัดมีบริเวณกว้างขวางสามารถจอดรถในวัดได้ สำหรับถนนพระปกเกล้าหน้าวัดก็สามารถจอดได้สลับเลน วันคู่วันคี่ เลือกได้ตามวัน เมื่อจอดรถได้แล้วก็ได้เวลาเดินเข้าไปชมวัดเริ่มตั้งแต่หน้าประตู
ป้ายวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร 3 ภาษา ป้ายข้างประตูทางเข้าวัดโดดเด่นด้วยสีแดงมีชื่อวัดและที่อยู่ เขียนเป็น 3 ภาษา ซึ่งโดยทั่วไปวัดในเชียงใหม่หลายแห่งจะมี 3 ภาษา
วัดเจดีย์หลวง หรือวัดโชติการาม หรือราชกูฏ หรือกุฏาราม สร้างในสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1944) โอรสของพญากือนา ต่อมารวมพื้นที่กับวัดสุขมินท์วัดหอธรรมวัดสบฝางหรือป่าฝาง และบางส่วนของวัดพันเตาเรียกว่าวัดเจดีย์หลวง
บริเวณวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ด้านหน้าของวัด เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามาจะเห็นวิหารหลวงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายมือมีเสาอินทขิล หรือ เสาหลักเมือง สร้างขึ้นเมื่อครั้งพ่อขุนเม็งรายมหาราชสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1839 ประดิษฐานอยู่ในวิหารจตุรมุขทรงไทยหลังเล็กๆ เสาอินทขิลนี้สร้างด้วยไม้ซุงต้นใหญ่ ฝังอยู่ใต้ดิน ทุกปีในวันแรม 12 ค่ำเดือน 8 (เหนือ) หรือประมาณเดือนพฤษภาคมจะมีงานเรียกว่า เข้าอินทขิล เป็นการฉลองหลักเมือง
จุดเทียนธูปบูชาพระหน้าวิหาร สำหรับด้านในพระวิหารหลังนี้ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปที่งดงามมาก จะไม่ให้มีการจุดเทียนธูปในพระวิหาร จึงมีสถานที่สำหรับการจุดเทียนธูปสำหรับประชาชนที่เดินทางมากราบไหว้พระที่วัดเจดีย์หลวงอยู่ด้านหน้าพระวิหาร
บันไดนาคเข้าพระวิหารหลวง ด้านหน้าพระวิหารหลวงซึ่งเป็นสีขาวทั้งหลังนี้มีบันไดนาคเข้าทางด้านหน้า ซึ่งจากประตูสามารถมองเห็นพระพุทธรูปปางประทับยืนองค์หนึ่งขนาดใหญ่มากประดิษฐานอยู่ตรงกลางภายในพระวิหาร
วิหารหลวงของวัดนี้เจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยงดงามยิ่ง ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร นาคคู่นี้เป็นฝีมือเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นนาคที่สวยที่สุดของภาคเหนือ
ภายในพระวิหารวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เข้ามาภายในพระวิหารหลวง จะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงตระหง่านได้เด่นชัด ที่ฐานของพระพุทธรูปองค์ประธานมีพระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ในฤดูกฐินทางวัดประดับโคมมากมายหลายสีบนเพดานวิหารหลวง ดูสวยงามมาก
พระอัฏฐารส พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธปฏิมาประธานในพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ที่ น.ณ. ปากน้ำ (คุณประยูร อุลอชาฏะ) ปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมกล่าวไว้ว่า "พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ศิลปะเชียงใหม่ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลต้นแบบจากศิลปะปาละ (อินเดีย)"
พระพุทธอัฏฐารส หล่อด้วยทองสำริดสูงใหญ่ ปางห้ามญาติสูง 8.23 เมตร มีพระพุทธลักษณะสง่างามที่สุดในอาณาจักรล้านนา โดยเฉพาะส่วนพระพักตร์มีลักษณะอ่อนโยนงดงามยิ่งนัก เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยกับพระพุทธรูปแบบเชียงแสนหรือพระสิงห์ซึ่งได้วิวัฒนาการงานศิลป์มาจากปาละด้วยเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าบรรดาสกุลช่างศิลป์ในแคว้นหรืออาณาจักรต่างๆ ของชนชาติสมัยนั้น (ยกเว้นสกุลช่างศิลป์สุโขทัย) จะหล่อพระพุทธรูปยืนที่มีขนาดใหญ่ได้สัดส่วนกลมกลืนงดงามถึงเพียงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองผาสุกของบ้านเมืองและผู้คนในยุคนั้น
พระอัฏฐารสองค์นี้ สร้างขึ้นในสม้ยพระเจ้าสามฝั่งแกนรัชกาลที่ ๘ แห่งราชวังศ์มังราย พระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นพระราชโอรสพระเจ้าแสนเมืองมาและพระนางติโลกจุฑา เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาพระราชบิดาเสด็จสวรรคต พระองค์จึงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติขณะยังทรงพระเยาว์ พระนางติโลกจุฑามหาเทวีพระราชมารดาจึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ระยะหนึ่ง พระนางติโลกจุฑาและยุวกษัตริย์สามฝั่งแกนได้ทรงสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงต่อจากที่พระเจ้าแสนเมืองมอทรงสร้างค้างไว้จนแล้วเสร็จ "ถัดแต่นั้นมาพระนางติโลกจุฑาก็ให้สร้างวิหารหลังหนึ่งและพระนางจึงให้หล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งสูง 18 ศอก กับพระอัครสาวกทั้ง 2 องค์ประดิษฐานไว้ในวิหารนั้น"
วิหารที่พระนางติโลกจุฑาทรงสร้างดังกล่าวนั้น คือพระวิหารหลวงของวัดเจดีย์หลวงแต่มิใช่หลังปัจจุบัน เพราะมีการรื้อสร้างใหม่ในที่เก่าเป็นครั้งที่ 7 กับครั้งนี้สร้างไว้ทางทิศตะวันออกองค์พระธาตุเจดีย์หลวง
ที่กล่าวว่า "หล่อพระองค์หนึ่งสูง 18 ศอก" ก็คือพระอัฏฐารสในพระวิหารหลวงนั่นเอง พระพุทธปฏิมาอัฏฐารส ความจริงสูง 8.23 เมตร (16 ศอก 23 ซม. ศอกมาตรฐานคือ 24 นิ้ว เป็น 1 ศอก) พระโมคคัลลานะ อัครสาวกซ้าย สูง 4.43 เมตร พระสารีบุตร อัครสาวกขวา สูง 4.19 เมตร และยังหล่อพระพุทธรูปปาง และขนาดต่างๆ อีกจำนวนมากเมื่อปี พ.ศ. 1955
ในครั้งนั้นได้ตั้งโรงหล่อเผาเบ้าหลอมทองในบริเวณที่ตั้งวัดพันเตาปัจจุบัน เพราะต้องเททองพระพุทธรูปเป็นร้อยเป็นพันเบ้า จึงเป็นที่มาของวัดพันเตา "เมื่อครั้งหล่อพระพุทธรูปอุฏฐารสนั้น พระเถระชื่อว่านราจาริยะ ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) ใคร่ลองบุญญาภินิหารของท่าน กระทำสัตยาธิษฐาน แล้วอุ้มเบ้าทองอันร้อนด้วยมือยกขึ้นตั้งเหนือศรีษะนำไปหล่อเบ้านั้นก็ไม่ทำให้ร้อนไหม้ คนทั้งหลายเห็นแปลกดังนั้นก็เกิดอัศจรรย์พากันสาธุการเอิกเกริกทั่วทั้งเวียง"
ความจริงแล้วพระอัฏฐารสไม่ได้แปลว่า พระพุทธรูปสูง 18 ศอก พระอัฏฐารส แปลว่า พระสิบแปด ไม่มีคำว่าศอกแต่อย่างใด ความหมายที่แท้จริงท่านหมายถึงพุทธธรรม 18 ประการ อันเป็นพระคุณสมบัติเฉพาะพระองค์ ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธรูป 18 ศอกดังที่เข้าใจกัน องค์พระพุทธปฏิมาอัฏฐารสอาจจะสูงต่ำกว่านั้นหรือจะสูง 18 ศอกก็ย่อมได้ ที่ตั้งชื่อพระพุทธรูปเช่นนั้นก็เพื่อเป็นอุบายธรรมสื่อนำไปสู่ความเข้าใจในพุทธคุณอันประเสริฐของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์และเทพเจ้าทั้งหลาย ดังพระบาลีในอาฏานาฏิยปริตรว่า : "อุเปดาพุทฺธธมฺเมหิ อฏญารสหิ นายกา พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นนายกคือผู้นำ ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม 18 ประการ"
พระพุทธรูปภายในพระวิหารหลวง นอกเหนือจากพระอัฏฐารส พระปฏิมาประธานในพระวิหารหลวงวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ขนาดต่างๆ กันดังปรากฏในประวัติการสร้างพระอัฏฐารส พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าของพระพุทธรูปอีกหลายองค์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่งดงามมาก
พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) รูปเหมือนของพระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) อยู่ที่เบื้องซ้ายขององค์พระพุทธรูปในพระวิหารหลวง พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) เป็นอดีตเจ้าอาวาสของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร พระพุทธพจนวราภรณ์ นามเดิม จันทร์ แสงทอง เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 เป็นบุตรของ นายจารินต๊ะ และ นางแสง แสงทอง เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้บรรพาเป็นสามเณร ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้ทำการอุปสมบท ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ได้รับฉายาว่า “กุสโล” พระพุทธพจนวราภรณ์ ได้มรณภาพลงเมื่อวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ในเวลา 18.33น. ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ด้วยโรคถุงลมโป่งพองและโรคปอด ได้รับพระราชทานเพลิงศพ และพวงมาลาทั้งหมดอัญเชิญมาไว้ในพระวิหารหลวงเช่นเดียวกัน
ทางไปพระเจดีย์หลวง หลังจากไหว้พระในพระวิหารหลวง แล้วก็ออกมาทางด้านหน้า เดินเลียบพระวิหารหลวง ก็จะเห็นพระเจดีย์หลวงองค์ใหญ่เด่นตระหง่านอยู่ด้านหลังพระวิหารหลวงทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของวัดเจดีย์หลวงวรวิหารแห่งนี้ ทุกๆ คนที่เดินทางมาที่ก็จะมากราบไหว้สักการะองค์พระธาตุเจดีย์
พระเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เจดีย์หลวง เจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1913-1954) ต่อมาพระยาติโลกราชโปรดให้ช่างขยายเจดีย์ให้สูงและกว้างกว่าเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2024 และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานระหว่าง พ.ศ.2011-2091 นานถึง 80 ปี ต่อมาในสมัยพระนางจิระประภา ได้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2088 ทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลง ปัจจุบันเจดีย์มีความสูงคงเหลือ 40.8 เมตร ฐานกว้างด้านละ 60 เมตร
เจดีย์หลวงด้านข้าง เมื่อเดินมาด้านข้างขององค์เจดีย์หลวงเห็นบันไดถูกเปลี่ยนเป็นทางลาดชันลงตามแนวบันไดเดิม อาจจะเนื่องมาจากไม่ให้บุคคลใดเดินขึ้นไปได้ หรือ เนื่องจากบันไดชำรุดไปมากและอันตราย และป้องกันพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บนเจดีย์จากมิจฉาชีพ เจดีย์ด้านนี้มีรูปปูนปั้นช้างล้อม ส่วนด้านอื่นๆ แทบจะไม่มีช้างเหลืออยู่แล้ว
ด้านข้างพระเจดีย์หลวง พระธาตุเจดีย์หลวง เป็นพระธาตุเจดีย์เก่าแก่อายุกว่า 600 ปี สูงที่สุดในอาณาจักรล้านนาไทยและประเทศไทย สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 1934 สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ พ.ศ. 1929-1944) สร้างอยู่ 10 ปี ยังไม่แล้วเสร็จพระเจ้าแสนเมืองมาเสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาปี พ.ศ. 1951 พระนางติโลกจุฑา พระมเหสีของพระเจ้าแสนเมืองมาผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์สามฝั่งแกน พระราชโอรส ให้ทรงก่อสร้างต่อจากหน้ามุของค์พระเจดีย์ขึ้นไป นาน 4 ปี จึงแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1955 เป็นพระเจดีย์ที่มีฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 20 วา สูง 39 วา สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ไกล 2,000 วา
ปี พ.ศ. 2022-2024 สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ พ.ศ.1985-2030) ได้ทำการสร้างเสริมพระเจดีย์ใหม่ให้มีส่วนสูง 40 วา ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 28 วา โดยให้ทำการปรับปรุงดัดแปลง / ผสมผสานด้านสถาปัตยกรรมโครงสร้าง / รูปลักษณ์พระเจดีย์เสียใหม่ให้เป็นแบบ "พุทธศิลปสถาปัตยกรรมล้านนาผสมโลหะปราสาทลังกาและทรงเจดีย์แบบพุกามพม่า" ที่สำคัญคือได้ดัดแปลงซุ้มจระนำมุขเจดีย์ด้านทิศตะวันออกให้เป็นซุ้มและแท่นฐานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
ตลอด 80 ปี ที่พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. 2011-2091 ก็ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง 1 ปี ประดิษฐาน ณ ซุ้มจระนำมุขตะวันออกของพระธาตุเจดีย์หลวงอีก 79 ปี ปัจจุบันซุ้มจระนำมุขตะวันออกเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเฉลิมสิริราช (พระแก้วหยกเชียงใหม่) ที่สร้างเมื่อสมโภช 600 ปี พระธาตุเจดีย์หลวง เมื่อ พ.ศ. 2538
ปี พ.ศ.2055 สมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ รัชกาลที่ 11 แห่งราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ พ.ศ. 2088-2089) เกิดพายุฝนตกหนักแผ่นดินไหวทำให้พระเจดีย์หักพังทลายลง เหลือเพียงครึ่งองค์ สุดที่จะทำการซ่อมแซมบูรณะให้ดีดังเดิมได้ จึงถูกทิ้งร้างเป็นเจดีย์ปรักหักพังมานานกว่า 4 ศตวรรษ
4 มิถุนายน 2533 รัฐบาลโดยกรมศิลปากรได้ทำสัญญาว่าจ้างให้บริษัทศีวกรการช่าง จำกัด ทำการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวง ใช้ทุนบูรณะ 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 พระธาตุเจดีย์หลวงเมื่อบูรณะแล้ว ฐานกว้างด้านละ 60 เมตร ทั้ง 4 ด้าน สูง 42 เมตร
พระธาตุเจดีย์หลวง ชื่อนี้เรียกขานมานานแล้ว ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ที่ท่านพระรัตนปัญญาเถระ ชาวพะเยา ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้ามังรายแต่งไว้เมื่อปี พ.ศ.2060 ขณะที่ท่านพำนักอยู่ ณ วัดเจ็ดยอด นครเชียงใหม่ กล่าวว่า "...พระธาตุเจดีย์หลวง เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีระเบียบกระพุ่มยอดเป็นอันเดียวกัน..." ผู้รู้บางท่านเห็นว่าชื่อ พระธาตุเจดีย์หลวง นั้นเป็นศัพท์ซ้ำซ้อนกัน (คำว่า ธาตุ = เจดีย์ ก็อันเดียวกัน) ควรจะเป็นมหาเจดีย์ - มหาธาตุ หรือ พระเจดีย์หลวง ความจริงชื่อพระธาตุเจดีย์หลวงถูกต้องแล้ว ธาตุในที่นี้หมายถึงอัฐิธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์หมายถึงเขจติยสถานองค์พระเจดีย์ เริ่มแรกที่พระพุทธศาสนาแพร่เข้ามานั้น สมณทูต "ที่มีพระโสณะและพระอุตตระเป็นประธานนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ในที่นี้" (เจดีย์เล็กที่พระธาตุเจดีย์หลวงสร้างคร่อม)
สมัยโบราณ พระธาตุเจดีย์หลวง มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น เจดีย์ลักษบุราคม หรือพระเจดีย์ที่เจ้าแสนเมืองมาสร้าง ตามพระนามองค์ผู้สร้างครั้งแรก ใน พ.ศ.1934
เจดีย์หลวง - เจดีย์กู่หลวง , พระมหาเจดีย์ , พระมหาธาตุเจดีย์ อันเป็นลักษณะนาม เรียกตามความสูงใหญ่ขององค์พระเจดีย์ หลังพระเจ้าติโลกราชทรงบูรณะสร้างเสริมเสร็จแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2024
สิริราชกุฏเจดีย์ เรียกตามชื่อพระอาราม ฯลฯ
พระพุทธเฉลิมสิริราช ประดิษฐานอยู่บนเจดีย์ ด้านวิหารหลวง มีบันไดทางขึ้น มีป้ายเขียนไว้ว่าพระแก้วหยกเชียงใหม่ 20 เมษายน 2538
วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ อยู่ถัดจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ เป็นปูชนียสถานประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุพระสงฆ์สุปฏิปันโน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์สร้างไว้เคียงคู่กับวิหารบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น หันหน้าสู่ทิศตะวันออก มีบันไดทอดลงสู่ลานประทักษินด้านทิศตะวันตกองค์พระธาตุเจดีย์หลวง ได้ทำการฉลองสมโภชถวายเป็นสมบัติพระศาสนาในวันที่ 13-14 มกราคม พ.ศ.2549
วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบพื้นบ้านล้านนาลำปาง จำลองแบบมาจากมณฑปจตุรมุขวัดปงสนุกใต้ (กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้เป็นวัดปงสนุกเหนือ อันเป็นวัดพี่น้องในชุมชนเดียวกัน เพียงแต่แยกเป็นเหนือ/ใต้) ซึ่งเป็นวัดประจำชุมชนปงสนุก ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ชุมชนปงสนุกนี้เป็นชาวโยนกเชียงแสนที่ถูกกวาดต้อนมาสมัยเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 2 (พระเจ้าดวงทิพย์) บริเวณชุมชนปงสนุกนี้ เคยเป็นวัดเก่าแก่สิบทอดมาแต่ครั้งพระเจ้าอนันตยศ โอรสพระนางจามเทวี ชาวโยนกเชียงแสนได้ฟื้นฟูขึ้นเป็นวัดอีกครั้ง ต่อมาในสมัยเจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 7-8 (ราว พ.ศ. 2429-2430) พระอาโนชัยธรรมจินดามุณี (ครูบาโน) จึงได้สร้างมณฑปจตุรมุขอันเป็นสถาปัตยกรรมทรัพย์สิน "ทางศรัทธา" ชั้นเยี่ยมของเมืองลำปาง
แต่วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์สร้างให้มีขนาดใหญ่กว่ามณฑปต้นแบบ คือ กว้าง 10.50 เมตร ยาว 10.50 เมตร และส่วนที่สร้างให้แตกต่างจากต้นแบบก็คือ มุขด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวนั้น ได้ทำทางลดระดับยาว 9 เมตร กว้าง 2.80 เมตร ปูด้วยกระเบื้องเซรามิค เชื่อมต่อทอดลงสู่ลานประทักษินของพระธาตุเจดีย์หลวง มี "มอม" สัตว์โบราณคดีของล้านนาอยู่ 2 ข้างทางขึ้น (มอม สัตว์ในจินตนาการกลายพันธุ์) พร้อมทั้งทำหลังตากันแดดกันฝนลดหลั่นเป็นชั้นๆ ดูงามกลมกลืนอย่างลงตัว
วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์หลังนี้ มีฐานคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 1.20 เมตร โครงสร้างด้านบนเป็นไม้สักแกะสลักและไม้มีค่าทั้งหมด หลังคาวิหารทำเป็นลักษณะกุฎาคารหรือปราสาทยอด 3 ชั้น ส่วนยอดปราสาทติดตั้งแตรทองเหลืองแบบพม่า ห้องโถงวิหารตั้งธรรมาสน์ใช้เสาไม้กลม 8 ต้น ค้ำยันเพดาน เสาแต่ละต้นสูง 6 เมตร วัดรอบเสาได้ 40 เซนติเมตร และใช้เสาไม้เหลี่ยมจำนวน 53 ต้น รองรับอเสและคร่าวสำหรับประกอบฝาข้องสองสลับลูกกรง เสาแต่ละต้นสูง 3 เมตร วัดรอบเสาได้ 20 เซนติเมตร ประดับด้วยลวดลายฉลุปิดทองปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค สีภายในวิหารใช้โทนสีแบบโบราณออกน้ำตาลแดง เพดานประดับด้วยลายดอกบัวติดพระจกสี
ตรงกลางห้องโถงของวิหาร สร้างเป็นธรรมมาสน์ปราสาม ฐานคอนกรีต (เฉพาะฐานสูง 1.33 เมตร) โครงสร้างข้างบนเป็นไม้วัดรอบได้ 4.80 เมตร สูง 4.23 เมตร ศิลปะแบบพื้นถิ่นล้านนา ธรรมาสน์นี้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานบุษบกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อีกชั้นหนึ่งรอบๆ ฐานบุษบกจะเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนขนาดเล็กของพระอาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หลายรูป พร้อมทั้งอัฐิของแต่ละท่านที่ได้กลายเป็นพระธาตุแล้วบรรจุไว้ในมณฑปซึ่งทุกท่านสามารถเดินชมกราบไหว้บูชาได้
ตรงฐานด้านหน้าธรรมาสน์ สร้างเป็นแท่นฐานคอนกรีตสูง 85 เซนติเมตร วัดรอบได้ 3.40 เมตร ประดับด้วยลวดลายพื้นบ้านล้านนา สำหรับเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งเท่าองค์จริงของพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปันฺโน)
วิหารหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หรือพระอาจารย์มั่นเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ประชาชนมีความศรัทธาสูง โดยเฉพาะชาวภาคเหนือ ในวัดต่างๆ ของภาคเหนือมักจะมีรูป หรือ หุ่นขี้ผึ้งของท่านอยู่แทบทุกวัด วิหารหลังนี้กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมส่วนหลังคา ภายนอกมีความสวยงามไม่แพ้ภายใน ข้อมูลเกี่ยวกับวิหารบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต
วิหารหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
วิหารบูรพาจารย์เป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างล้านนา โดยได้จำลองแบบมาจากวิหารวัดต้นเกว๋น หรือวัดอินทาวาส หมู่ 4 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ สร้างเมื่อราว พ.ศ.2399-2412 สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6 (พ.ศ.2399-2413) วิหารวัดต้นเกว๋นที่จำลองแบบมาสร้างวิหารบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตในครั้งนี้ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2401 เป็นศิลปสกุลช่างล้านนา ซึ่งเป็นศิลปสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่สมบูรณ์แบบ และงดงามอีกแห่งหนึ่งจนได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อ พ.ศ.2532
วิหารบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่จำลองแบบมาจากวิหารวัดต้นเกว๋นมาสร้างในวัดเจดีย์หลวงนี้ ครั้งนี้เป็นอาคารมีขนาดความกว้าง 8 เมตร ความยาว 12 เมตร ซึ่งสถานที่สร้างวิหารบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ณ บริเวณใต้ต้นยางทางทิศตะวันตกองค์พระธาตุเจดีย์หลวงนี้นั้น เคยเป็นที่ตั้งกุฎิทัณฑเขต กุฎิที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เคยพำนักอยู่เมื่อครั้งท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดเจดีย์หลวงปี พ.ศ. 2475 กุฎิทัณฑเขต พระทัณฑเขตประชานุการ พัศดีเรือนจำเชียงใหม่ และนางทัณฑเขตประชานุการ (สา) ภรรยา สร้างถวายเป็นกุฎิไม้มุงสังกะสีมี 2 ห้องนอน หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พุทฺธาจาโร ก็เคยพำนัก พระราชเจติยาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหารผู้ให้ข้อมูลเรื่องกุฎิทัณฑเขต ก็เคยพำนักอยู่หลายพรรษากับพระเดช เทวินทะ พี่ชายของท่านเมื่อตอนอุปสมบทใหม่ๆ (พระเดชลาสิขาไปทำงานที่โรงพยาบาลสวนดอกและถึงแก่กรรมนานแล้ว) ต่อมากุฎิทัณฑเขตและเสนาสนะต่างๆ ของวัดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ทางวัดจึงรื้อถอนออกเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เขตพุทธาวาส สังฆวาสให้เป็นสัดส่วนดังที่เห็นอยู่ปัจจุบัน
บุษบกที่ประดิษฐานฏกศบรรจุอัฐิธาตุและฟันกรามของหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต สร้างด้วยไม้สักลงรักปิดทอง มีรูปทรงเป็นแบบศิลปะสกุลช่างล้านนา มีขนาดความกว้างของฐาน 1.24 เมตร ความสูงจากฐานถึงยอด 4.80 เมตร
รูปเหมือนหลวงปู่มั่น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2545 ณ สวนแสดงธรรม อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม ได้ทำพิธีเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต สูง 1.75 เมตร ในอิริยาบถยืน หล่อด้วยทองสำริดรมดำ ส่วนหนึ่งของทองที่ใช้หล่อครั้งนี้ เป็นแผ่นทองจังโกที่ได้จากการขุดค้นในการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวง ระหว่างปี พ.ศ. 2533-2535 (แผ่นทองหุ้มองค์พระธาตุเจดีย์หลวงนี้เมื่อครั้งพระเจ้าติโลกราชทรงสร้างเสริมพระธาตุเจดีย์หลวง พ.ศ. 2022-2024)
เมื่อหล่อเสร็จแล้วได้อาราธนามาไว้ในพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดยการตั้งขบวนแห่ต้อนรับรูปเหมือนตั้งแต่ประตูลี้ เมืองลำพูนมาสู่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2546 ขณะนี้อาราธนาประดิษฐานไว้ในวิหารบูรพาจารย์เรียบร้อยแล้วพร้อมทั้งรูปหล่อหุ่นขี้ผึ้งอิริยาบถนั่งสมาธิเท่าองค์จริงหลวงปู่มั่น
อนึ่งในพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหารก่อนบูรณะครั้งล่าสุดนี้ มีรูปเหมือนหลวงปู่มั่นให้ประชาชนสักการะอยู่ 2 องค์ คือ
- รูปหล่อด้วนสำริดรมดำอิริยาบถนั่งสมาธิเท่าองค์จริง หล่อเมื่อปี พ.ศ. 2517 ณ มณฑลพิธีด้านเหนือพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร
- รูปหล่อเหมือนอีกองค์ของหลวงปู่มั่นเป็นรูปหล่อด้วยสำริดรมดำในอิริยาบถยืน สูง 1.73 เมตร
จบการนำเที่ยวชมวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ไว้เท่านี้ก่อนครับหากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะมาอัพเดตกันใหม่ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปศึกษาได้จากเว็บไซต์ของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ครับ
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ