ข้อมูลเพิ่มเติม:ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 5561 1619
http://www.tourismthailand.org/sukhothai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
พิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำศรีสัชนาลัย เช้าวันหนึ่งของการเดินทางเส้นทางสำรวจสถานที่ท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือของผม มาถึงตัวอำเภอศรีสัชนาลัย การเดินทางต่อจากนี้ไปตามแผนการเดินทางไม่ได้ขึ้นไปจังหวัดแพร่ แต่จะเปลี่ยนเส้นทางไปอุตรดิตถ์ หลังจากที่ได้เก็บภาพอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยเสร็จเรียบร้อยแล้วในเย็นเมื่อวาน บรรยากาศในตัวเมืองตอนเช้าชาวบ้านหลายคนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของในตลาดโดยการอาศัยรถคอกหมู หรือสองแถวขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ บางส่วนของตัวรถทำด้วยไม้ ละม้ายคล้ายคลึงกับรถโพท้องของภูเก็ต จากทางหลวงหมายเลข 101 ไปอุตรดิตถ์ต้องเลี้ยวขวาที่แยกไฟแดงไปทางหลวงหมายเลข 102 ก่อนที่จะถึงทางแยกนิดเดียวก็จะเห็นสาธรพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำอยู่ทางขวามือ นึกว่าจะเป็นอาคารเดี่ยวหลังเดียว แต่ที่นี่มองดูแรกๆ เหมือนกับเป็นทางเข้าหมู่บ้านเลยทีเดียว มีซุ้มประตูทางเข้าและทางออกมีอาคารมากมายหลายหลังหลายแบบ มีลานจอดรถทั้งด้านนอกและด้านใน ผมเลือกที่จะจอดด้านนอก แล้วเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ทีแรกเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์น่าจะอยู่ด้านในสุดแต่ที่ไหนได้อยู่ด้านหน้าสุดโดยเข้าไปสอบถามที่ร้านขายเสื้อผ้า อีกด้านของซุ้มประตูมีร้านเครื่องเงินลายโบราณอันเป็นสินค้าขึ้นชื่อของศรีสัชนาลัย เมื่อประมาณ 8 ปี ก่อนผมซื้อสร้อยมาใส่ 1 เส้น ตอนนี้ก็ยังใส่อยู่ครับเป็นสร้อยเงินคุณภาพดีจริงๆ
ภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ หลังจากที่เดินโต๋เต๋อยู่รอบๆ บริเวณซุ้ม เพราะกำลังมองหาว่าพิพิธภัณฑ์อยู่ตรงไหนกันแน่ จนมีคนในร้านกาแฟบอกว่าพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำอยู่ในร้านเสื้อ ก็เดินเข้ามาในร้านดูบรรยากาศประตูเข้าพิพิธภัณฑ์รู้สึกเหมือนเดินเข้าห้องลองเสื้อ ไหนเลยจะรู้ว่าภายหลังบานประตูเล็กๆ บานนี้จะซ่อนสิ่งล้ำค่าเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วน ผมจินตนาการว่าภายในนี้จะมีผ้ามากมายเต็มไปหมดส่วนอย่างอื่นไม่น่าจะมี กลายเป็นว่าในห้องๆ นี้ มีวัตถุโบราณของเก่าเก็บที่แทบจะไม่เคยเห็นเลยก็มีครับ เหรียญและธนบัตรเก่าๆ ก็มีให้ชมมากมายหลายราคาหลายสมัย ของสะสมเก่าๆ เหล่านี้จัดวางในตู้หลายหลังโดยมากก็จะอยู่ชิดผนังด้านซ้ายและขวา ช่วงกลางๆ ของผนังด้านขวามือเป็นที่เก็บประกาศนียบัตร เกียรติบัตรต่างๆ ที่คุณลุงเจ้าของพิพิธภัณฑ์ได้รับ รวมทั้งรางวัลพระราชทานต่างๆ ในฐานะผู้อนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมผ้าซิ่นตีนจกที่หายากในเมืองไทย ทันทีที่เราเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ไม่ว่าจะมาคนเดียวเหมือนผม หรือมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ คุณลุงก็ยินดีจะอธิบายความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการทอผ้าซิ่นตีนจกของชาวไทยพวนให้เราฟัง รวมทั้งที่มาของผ้าแต่ละผืนก่อนที่จะมาแสดงอยู่ในห้องสะสมของคุณลุงแห่งนี้ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะไม่เสียค่าเข้าชม แต่จะมีกล้องไม้บริจาคเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ ประตู เงินที่เก็บได้ก็จะเอาไปเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กเรียนดีแต่ฐานะยากจน นั่น เป็นคุณลุงที่ใจกว้างอะไรอย่างนี้
ผ้าซิ่นไหมคำ คำ ในที่นี้ก็หมายถึงทองคำ ผ้าซิ่นที่เราเห็นในรูปนี้มีอยู่ 2 ผืน แสดงอยู่ผืนละตู้ เป็นตู้กระจกมองทะลุลงไปได้ เริ่มจากตู้กระจกขวามือเป็นซิ่งทองคำจากราชสำนัก มีอายุกว่า 100 ปี คุณลุงเล่าให้ฟังว่า ได้ผ้าซิ่นไหมคำนี้มาเก็บรักษาไว้ ในตอนนั้น (หลายสิบปีก่อน) คุณลุงจ่ายเงินเป็นมูลค่าประมาณ 130,000 บาท ในสมัยนี้ไม่ต้องคำนวณให้ยากครับ เฉพาะราคาทองคำก็ขึ้นไปไม่รู้กี่เท่าแล้ว
ต่อมาเป็นผ้าซิ่นผืนที่ 2 ในตู้ด้านซ้ายมือ เป็นผ้าซิ่นที่ทอขึ้นมาในยุคหลังด้วยเส้นไหมทองคำเหมือนกันกับผืนแรก การทอผ้าซิ่นผืนนี้คุณลุงนำไปใช้ในพิธีงานแต่งงานของลูกสาว มูลค่าผ้าซิ่นผืนนี้ประมาณ 300,000 บาทในตอนนั้น เป็นไงครับเห็นแบบนี้แล้วรู้หรือยังว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าอาจจะได้เห็นเพียงครั้งเดียวตลอดอายุของเราเลยก็ว่าได้
ผ้าซิ่นทองคำ ไหนๆ ก็ได้มาเห็นแล้วขอถ่ายภาพแบบชัดๆ อีกสักทีครับ ถือว่าเป็นบุญตาของผมและของใครหลายๆ คนที่เปิดเว็บเข้ามาดูก็แล้วกัน
หลังจากที่ชมผ้าที่ถือเป็นสุดยอดที่สุดของพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว ต่อจากนี้ไปผมจะเอาภาพของผ้าซิ่นจำนวนหนึ่งจากที่มีอยู่มากมายในพิพิธภัณฑ์มาให้ชมกันพอเป็นตัวอย่าง เพราะในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีผ้าซิ่นตีนจกหายากที่สะสมไว้ด้วยเวลาแสนนาน ก็เลยมีจำนวนมากมายเหลือที่จะถ่ายรูปให้ครบทุกผืน การแสดงผ้าซิ่นตีนจกจะนำเอาผ้ามาเรียงไว้ในตู้ที่มีหลายชั้น แต่ละชั้นจะวางผ้า 2 ผืน ตู้ที่เรียงรายกันมากมายในห้องนี้น่าจะมีผ้ากว่า 100 ผืนครับ แต่ละผืนมีอายุและที่มาต่างกันไป บางผืนมาจากอุตรดิตถ์ บางผืนมาจากสุโขทัย บางผืนมาจากเชียงใหม่
คุณลุงเล่าให้ฟังว่าในอดีตที่ผ่านมาชาวไทยพวนจะทำอาชีพเกษตร หรือหาของป่า ผู้หญิงจะมีเวลาว่างในระหว่างที่ผู้ชายออกไปทำงาน ผู้หญิงชาวไทยพวนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการทอผ้าซิ่นตีนจก เมื่อถึงวัยที่จะต้องแต่งงานมีครอบครัวฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายเตรียมผ้าในงานทั้งหมด หญิงใดทอผ้าซิ่นไม่เป็นจะไม่มีผู้ชายมาชอบ ในสมัยนั้นก็เลยมีผ้าซิ่นถูกทอขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วยเหตุนี้นี่เอง ในเวลาที่ผู้ชายจะบวช ก็จะต้องมีผ้ากองบวช ประกอบด้วยผ้าหลายผืนที่ล้วนแต่ใช้การทอมือ ในตู้รูปซ้ายมือเป็นผ้ากองบวชทั้งหมด โดยปกติหญิงที่เป็นคู่รักของฝ่ายชายที่จะบวชจะเป็นผู้ทอผ้าทั้งหมด มีชื่อเรียกของผ้าแต่ละผืนต่างกันเช่น ผ้ากั้ง ผ้าคลุมหัวช้าง (ใช้คลุมหัวช้างในการแห่นาค) ผ้านั่ง ผ้ากราบพระ (กราบพระตอนทำวัตรเช้า-เย็น) ผ้าห่อคัมภีร์ (ใช้ห่อคัมภีร์ใบลานในการขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์)
ผ้าซิ่นตีนจกลายต่างๆ ผ้าซิ่นจำนวนมากมายหลายผืนที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ดูสวยมากทุกผืน ขอเอามาให้ชมกันพอหอมปากหอมคอนะครับ ในภาพนี้และภาพต่อไป จะมีผ้าซิ่นตีนจกดิ้นเงินดิ้นทองของขุนนางชั้นสูงของจังหวัดเชียงใหม่ ผ้าซิ่นตีนจกชาวลับแล ผ้าซิ่นตีนจกชาวท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ บางผืนอายุ 50 ปี บางผืนอายุ 80 ปี เห็นแล้วประทับใจในหัวใจอนุรักษ์ของคุณลุงจริงๆ ครับ ลวดลายของผ้าซิ่นตีนจกเป็นภูมิปัญญาของชาวไทยพวนที่จะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลานับ 100 ปี เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงละครเรื่องกี่เพ้าครับ ความภาคภูมิใจของวัฒนธรรมการแต่งกายของจีนคือชุดกี่เพ้าที่สวยงาม ส่วนชาวไทยมีหลายชุดครับ ผ้าซิ่นตีนจกก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
พลับพลารับเสด็จ เป็นพลับพลาที่สร้างขึ้นเพื่อทูลเกล้ารับเสด็จ ครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2546 ยังความปลื้มปีติแก่คุณลุงสาธร โสรัจประสพสันติและครอบครัว ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ภายในพลับพลารับเสด็จ คุณลุงเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้เว้นแต่บริเวณที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นพื้นที่ห้ามเข้า ผนังของพลับพลารับเสด็จ เป็นนิทรรศการแสดงวิถีชีวิตชาวไทยพวนในอดีต เรื่องราวของภาษาไทยพวน ประเพณีบวชนาคช้าง อาบน้ำก่อนกา (ขึ้นปีใหม่) เฮี๊ยะบ้าน (การเดินบอกบุญตามบ้าน) และอื่นๆ อีกมากมาย สื่อออกมาในรูปแบบของงานจิตรกรรมที่สวยงาม บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในฐานะคนไทยพวนคนหนึ่ง
วิถีชีวิตไทยพวน รอบๆ พื้นที่ด้านหลังใกล้กับพลับพลารับเสด็จ จะเป็นพิพิธภัณฑ์มากมายหลายอย่าง เราจะได้เห็นเครื่องหีบอ้อยแบบโบราณ เกวียน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องมือการจับปลา เครื่องใช้ในครัวเรือน มีกลุ่มทอผ้าสาธรผ้าทองคำ การนำเอาหลักการเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต เรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่ผมอาจจะไม่สามารถนำเสนอได้ละเอียดทั้งหมด รอให้ทุกคนได้เข้าไปสัมผัสและร่วมภาคภูมิใจในความเป็นไทยที่สาธรพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ...
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ