ข้อมูลเพิ่มเติม:การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย โทร. 053 744 674
http://www.tourismthailand.org/chiangrai
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
วันหนึ่งของการเดินทางในชื่อทริปว่า FAM Trip: a touch of Chiang Rai ภาษาไทยจะเรียกว่า เชียงรายยังไหวอยู่ ทริปนี้จัดโดยสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย นำสื่อมวลชกหลากสำนักหลายแขนง ทั้ง ทีวี หนังสือ เว็บไซต์ รวม 20 คน จากส่วนกลาง เข้ามาทำข่าวประชาสัมพันธ์ว่าเชียงรายไม่มีแผ่นดินไหวแล้ว เข้ามาเที่ยวได้แล้ว โดยได้เลือกสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วเดินทางด้วยรถตู้ตามๆ กันไป หนึ่งในสถานที่ที่เชียงรายภูมิใจนำเสนอก็คือที่วัดแสงแก้วโพธิญาณที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ทันทีที่รถจอดที่ลานจอดรถ สื่อทุกคนก็เดินมุ่งหน้ามาทางเดียวกันหมดนั่นก็คือรูปเหมือนครูบาศรีวิชัยองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนสุด พร้อมด้วยครูบาขาวปี๋ และครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เพราะความสวยงามต่างคนก็ต่างพากันขึ้นไปกราบไหว้และเก็บภาพ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าวัดนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเป็นวัดที่สวยงามมากแห่งหนึ่งเพราะสิ่งที่เราเห็นอยู่ว่ากำลังสร้างยังสวยงามได้ขนาดนี้
จากคำบอกเล่าของไกด์ในพื้นที่วัดแสงแก้วโพธิญาณสร้างตามแบบของวัดในพุทธศาสนาแต่มีเซนเข้ามาผสมอยู่ส่วนหนึ่ง ด้านของเซนผมขอไม่กล่าวอะไรมากเพราะไม่มีความรู้ในรายละเอียด แต่ถ้ามากราบไหว้นมัสการพระ ทำบุญ พักผ่อนหย่อนใจ ด้วยทำเลที่ตั้งบนเนินเขามีความสวยงามแวดล้อมด้วยธรรมชาติ ผู้สร้างเป็นผู้มีศิลธรรมบริสุทธิ์ ก็น่ามา หรือมาเสพความสวยงามของวัด ถ่ายรูป ก็ถือได้ว่าเป็นวัดที่สวยมากทีเดียว ตอนที่มาวัดแสงแก้วโพธิญาณครั้งแรกพระยืนตรงนี้ยังสร้างไม่เสร็จ พอกลับมาอีกทีปลายปี 2560 เห็นว่าสร้างเสร็จแล้วก็เลยมาอัพเดทภาพกันใหม่
ทางขึ้นไปไหว้ครูบาทั้ง 3 องค์เป็นจุดที่สูงที่สุดของวัดวิวจะสวยมาก รูปครูบาทั้ง 3 ก็สร้างองค์ใหญ่งดงามมาก
รูปหล่อโลหะครูบาศรีวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านซ้ายของเราคือครูบาขาวปี๋ ส่วนด้านขวาคือครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ด้วยเหตุว่าชาวล้านนาเชื่อว่าครูบาศรีวิชัยคือพระโพธิสัตว์ที่ลงมาจุติในล้านนา ที่ครูบาอริยชาติ สร้างรูปครูบาศรีวิชัยไว้ชั้นบนสุดเพื่อเป็นความหมายว่า "เหนือพระโพธิญาณ มีพระโพธิสัตว์" พระวิหารที่สร้างไว้ชั้นกลางหรือชั้นสวรรค์-พรหม นั้นจะมีสะพานเชื่อมขึ้นมาถึงชั้นนี้ เป็นนัยว่าการข้ามเข้าสู่ชั้นนิพพาน
ด้านข้างของรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี๋ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา มีระเบียงคด ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่งดงาม 2 องค์ 2 ปาง 2 เนื้อ ผินพระพักตร์เข้าหากัน ส่วนตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ องค์สำคัญๆ ได้แก่ สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนางจามเทวี พระนางสุพรรณกัลยา และอีกหลายพระองค์
ความศรัทธาที่มีต่อครูบาศรีวิชัยสำหรับชาวล้านนานั้นไม่มีเสื่อมคลาย ในวันนี้แม้ว่าฝนจะตกลงมาหลายครั้งก็ยังมีทั้งพระสงฆ์ และชาวบ้านเดินทางมานมัสการรูปเหมือนของท่านอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการได้เข้าไปนมัสการครูบาอริยชาติที่ในกุฎิด้วย ซึ่งปกติโอกาสเช่นนี้หายากเพราะท่านมักจะติดกิจนิมนต์อยู่ตลอด
วิวสวยวัดแสงแก้วโพธิญาณ ครูบาอริยชาติในวัย 17 ปี สนใจในด้านไสยศาสตร์ อิทธิฤทธิ์ ของขลัง เมื่ออายุ 21 ปี จึงคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของแท้ ของแท้คือธรรมะ พออายุได้ 25 ปี ก็ได้เข้าใจในสาระของธรรมะมากขึ้น ครูบาอยากเตือนให้ทุกคนเข้าใจว่าธรรมะคือสิ่งประเสริฐดีงาม ทำให้คนเป็นสุขได้ มุมมองที่ครูบามีเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งท่านได้แฝงเอาธรรมะเหล่านั้นไว้ในการสร้างวัดแสงแก้วโพธิญาณ ซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่ความวิจิตรสวยงามเท่านั้น เสนาสนะต่างๆ จึงเป็นไปตามความเชื่อของชาวล้านนาเริ่มตั้งแต่พื้นที่ใช้สอยต่างๆ ที่ออกแบบตามความสูงของพื้นที่แบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ โลกมนุษย์ (ลานจอดรถหน้าวัด) ชั้นกลาง สวรรค์-พรหมโลก นับแต่ขึ้นบันไดมาจนถึงสุดเขตของวิหาร ต่อจากนั้นจะมีทางขึ้นอีก 1 ระดับ เรียกว่า ชั้นนิพพาน เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุแห่งวัดแสงแก้วโพธิญาณ และรูปหล่อโลหะครูบาศรีวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในโลก มองจากตรงนี้ลงไปพื้นที่นี้เป็นชั้นบนสุดของวัดครับ จากนั้นแล้วเราก็จะเห็นหอฉัน หลังคาโบสถ์ ส่วนยอดของหอระฆัง เป็นพื้นที่ชั้นกลาง หรือสวรรค์ ส่วนถัดจากนั้นลงไปที่นับเป็นชั้นล่างหรือโลกมนุษย์นั้นก็หมายถึงหมู่บ้านป่าตึง ที่เรามองเห็นจากบนนี้ได้นั่นเอง สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายในวัดแห่งนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบผสมผสานกัน ได้แก่ ล้านนา ไต (ไทยใหญ่) และพม่า
ความสวยงามของวัดแห่งนี้ทำให้หลายๆ คนใช้เวลาในการถ่ายรูปรวมทั้งกล้องทีวีต่างๆ หลายตัว พอถ่ายรูปได้เยอะประมาณนึงแล้วทุกคนก็เดินกลับลงมาเพื่อที่จะไปพื้นที่อื่นๆ ของวัดต่อไป
วิหารวัดแสงแก้วโพธิญาณ คือสิ่งแรกที่เราจะได้เห็นตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมา เป็นวิหารที่สวยมาก ทุกคนที่ขึ้นมาถึงคงจะต้องหยุดเพื่อถ่ายรูปกันก่อนที่จะเดินไปชมภายในวัด
วิหารที่งดงามวัดแสงแก้วโพธิญาณ จากหอฉันมีทางเดินลาดลงมาด้านข้าง แล้วก็มีการสร้างสะพานเชื่อมไปถึงพระวิหารของวัดแสงแก้วโพธิญาณ ตามหลักที่ท่านครูบาคิดไว้คือการเดินลงจากชั้นนิพพานไปยังชั้นสวรรค์ พระวิหารยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แต่ก็แฝงธรรมะเกี่ยวกับชั้นสวรรค์หรือชั้นพรหมเอาไว้หลายประการ ส่วนของพระวิหารชั้นล่างจะมี 9 ห้อง ส่วนชั้นบนจะมี 7 ห้อง รวมเป็น 16 ห้อง รอบๆ พระวิหารจะเห็นมีปราสาท 16 หลัง เปรียบเสมือนชั้นพรหมที่มี 16 ชั้นฟ้า ส่วนศาลาด้านเหนือมี 16 ห้อง ศาลาด้านใต้อีก 16 ห้อง
พระแสงแก้วโพธิญาณ เป็นพระประธานประดิษฐานในวิหารวัดแสงแก้วโพธิญาณ คราวก่อนที่มาวิหารยังสร้างไม่เสร็จคราวนี้เลยเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้ มีความงดงามเข้ากับศิลปะประติมากรรมรอบวิหาร
อาคารที่อยู่ถัดจากพระวิหารซึ่งผมคิดว่าคืออุโบสถ หรือโบสถ์ แต่ต้องการข้อมูลยืนยันก่อนเพราะตอนที่ไปไม่เห็นใบเสมาล้อมรอบ ส่วนนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วอย่างสวยงาม ถัดออกไปเป็นศาลายาวไปตามแนวของเนินเขามี 16 ห้องด้วยกันทุกอย่างในวัดนี้สร้างอย่างสวยงามวิจิตรปราณีตอย่างที่เห็นในภาพ ลวดลายประดับในแต่ละจุดการลงสีที่เน้น ขาว แดง และสีทอง เป็นความสวยงามที่ลงตัวกลมกลืนสำหรับสิ่งปลูกสร้างในวัด วันที่ไปกันนั้นโบสถ์ยังไม่เปิดให้เข้าไปนมัสการพระด้านใน ก็ต้องรอให้การก่อสร้างทั้งหลายเสร็จสิ้นลง เราคงจะได้ไปไหว้พระเก็บภาพกันใหม่อีกรอบ
หอระฆัง เป็นอีกจุดหนึ่งที่สร้างได้สวยงามมาก ชั้นบนมีระฆังใบใหญ่ ส่วนชั้นล่างเป็นกลอง ฐานมีรูปสัตว์ประจำปีนักษัตร 12 ปี หอระฆังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับบันไดทางลงไปยังลานหน้าวัด นับเป็นจุดสิ้นสุดของชั้นสวรรค์หรือชั้นพรหม
ปราสาท 16 หลัง สังเกตุดีๆ จะเห็นปราสาทหลังเล็กๆ อยู่ตามแนวกำแพงแก้วที่กั้นระหว่างชั้นพรหมกับโลกมนุษย์เอาไว้ บนกำแพงและในปราสาทมีเทพพนมหันหน้าออก กลางกำแพงเป็นบันไดนาคทางเดินขึ้น-ลงวัดกับลานจอดรถมีทั้งหมด 32 ขั้น อันเป็นสัญลักษณ์ถึงอาการทั้ง 32 ของมนุษย์
ด้านหน้าวัดแสงแก้วโพธิญาณ เอาละเราเดินลงบันได 32 ขั้น จากชั้นพรหมลงมายังโลกมนุษย์แล้ว แง่คิดที่บริเวณนี้ก็มีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพญานาคสามเศียร ซึ่งหมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนที่พญานาคจะมีตัว เหรา หรือมกร กินพญานาคอยู่นั้น เป็นความเชื่อของชาวพม่าว่า มกร (มะกะระ) เป็นสัตว์ลูกครึ่งพ่อเป็นนาค แม่เป็นมังกร หรือบ้างก็ว่าเป็นจรเข้ เหรา เป็นสัญลักษณ์ของเทวทูตทั้ง 3 ได้แก่ ชรา พยาธิ มรณะ ดังคำที่ว่า
ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
ด้านข้างของพญานาคจะมีสิงห์คู้ ตามแนวคิดขอม สิงห์คู่เป็นสิงห์ทวารบาล แต่สำหรับความเชื่อแบบล้านนาไทยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากวัชรยาน มีความเชื่อว่า มีพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมียมาทำรังที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา เวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ทรงปฏิสนธิในครรภ์แม่พญากาเผือกพร้อมกัน 5 พระองค์ วันหนึ่งเกิดพายุฝนฟ้าลมแรง ไข่ของพญากาเผือกพลัดตกน้ำไป ต่อมามีผู้เก็บไปเลี้ยงดูคือ
แม่ไก่ พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 จึงมีนามว่า กกุสันโธ (ไก่)
แม่นาคราช พระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 จึงมีนามว่า โกนาคมโน (นาค)
แม่เต่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 จึงมีนามว่า กัสสโป (เต่า)
แม่โค พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 จึงมีนามว่า โคตโม (โค)
แม่ราชสีห์ พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 จึงมีนามว่า อาริยเมตไตรยโย (ราชสีห์)
ดังนั้นสิงห์คู่ที่อยู่หน้าวัดหรือบันได จึงเปรียบเสมือนสิงห์ตัวผู้และสิงห์ตัวเมียที่กำลังทำหน้าที่สำคัญคือรอคอยไข่ใบที่ 5 ผู้เป็น "โต๋นบุญ หรือตนบุญ" หรือผู้มีบุญญาบารมีสูงส่งซึ่งจะจุติมาในโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5
พระสังกัจจายน์ ที่อยู่ถัดจากสิงห์ด้านขวาของบันได หมายถึงพระโพธิสัตว์ที่จะมาจุติตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในลำดับต่อไป ถัดจากนั้นไปคือพระพุทธรูป 4 องค์ มีความหมายถึงพระพุทธเจ้าที่จุติลงมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อนหน้านี้ รวมถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่ดับขันธ์ปรินิพานไปแล้วด้วย
หน้าวัดแสงแก้วโพธิญาณ เราเห็นแล้วว่าการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ภายในวัดแห่งนี้ ครูบาอริยชาติได้แฝงหลักธรรมและเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาไว้มากมายหลายจุด ซึ่งที่จริงเท่าที่เล่ามาก็ไม่หมดซะทีเดียว แต่เอาพงสังเขปเท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกก็คือบันไดอีกด้านหนึ่งคือด้านซ้ายของเรา จะเห็นมีพระอุปคุตหรือพระจกบาตรอยู่ องค์ใหญ่พอๆ กับพระสังกัจจายน์ พระอุปคุตชาวพุทธเชื่อว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์เด่นด้านโชคลาภ ที่ครูบาน้อยสร้างไว้อีกด้านหนึ่งคู่กับพระสังกัจจายน์เพราะอยากให้คนที่เดินทางมายังวัดได้โชคลาภร่ำรวยเดินขึ้นบันได 32 ขั้นให้มีอายุมั่นขวัญยืนสุขภาพแข็งแรง พบกับพระโพธิสัตว์ อันเป็นมงคลยิ่งสำหรับชาวพุทธศาสนิกชน
พระพิฆเณศองค์ใหญ่วัดแสงแก้วโพธิญาณ เพิ่งสร้างเสร็จได้เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้เอง ในช่วงระยะเวลาแค่ 2 ปี การกลับมาวัดนี้อีกครั้งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การก่อสร้างต่างๆ ในวัดก้าวหน้าไปมาก หลายอย่างก็สร้างเสร็จสมบูรณ์หลายอย่างก็เหลือตกแต่งนิดหน่อย ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนก็สวยงามมาก ประทับใจทุกคนที่ได้มาพบเห็น
พระอุปคุตล้วงบาตร
เดินเที่ยวชมความสวยงาม ไหว้พระทำบุญ จนครบรอบแล้วตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพาไปดูอะไรต่อ คงต้องรอคราวหน้าถ้าได้มาที่นี่อีกจะมาอัพเดทกันใหม่
มหาเทพทันใจ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กับวัดแสงแก้วโพธิญาณอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับที่วัดหลายๆ แห่งสร้างหลวงพ่อทันใจ จะมีชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธามหาเทพทันใจองค์นี้มาก เดินทางมาสักการะกราบไหว้ตลอด มีความเชื่อว่าถ้ามาขอสิ่งใดก็จะสำเร็จทันใจ
ครูบาอริยชาติ ด้วยเหตุที่บวชในพระพุทธศาสนาและร่ำเรียนวิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติอยู่ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด แม้ว่าอายุยังน้อยก็มีคนเรียกว่าครูบา ทำให้ครูบาอริยชาติ มีคนนิยมเรียกกันว่า ครูบาน้อย นั่นเอง ในวันนั้นคณะของเราก็ได้รับวัตถุมงคลจากครูบาน้อยกันถ้วนหน้าเดินทางต่อไปด้วยใจอิ่มบุญกุศล
จบการนำเที่ยวทำบุญไหว้พระกับวัดแสงแก้วโพธิญาณกันเท่านี้ เราสัญญาว่าเมื่อวัดสร้างเสร็จเราจะกลับไปเก็บภาพมาอีกรอบอย่างแน่นอน
0/0 จาก 0 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ