วันที่ สองและสาม...ของทริป
9-10 เมษา – เกาะพระทอง 2 วัน คืน
วันนี้เพื่อนลาหยุดได้ ไปนอนเกาะพระทองกัน
ออกจากบ้าน 8 โมง มีสมาชิกร่วมทริปทั้งหมด 6 คน
เกาะพระทองอยู่ที่คุระบุรี ... ซึ่งห่างจากเขาหลักที่เราพักอยู่เกือบๆ ร้อยกิโลเมตร
เราต้องไปขึ้นเรือที่นั่น ... ท่าเรือคุระบุรี
ถ้าไปเกาะตาชัย เกาะสุรินทร์ ขึ้นเรือที่ท่านี้จะใกล้กว่าที่ทับละมุ
(แต่ถ้าเทียบกับระยะทางจากเขาหลักมาคุระบุรีด้วย มันก็คงไม่ใกล้กว่าหรอก)
ทางบ้านพักบนเกาะพระทองส่งเรือมารับเรา ความจริงจากท่าเรือมาเกาะพระทองมันไม่ไกลเลย
แต่มันเป็นเรือช้า... เราเลยต้องใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง
เกาะพระทอง...เป็นเกาะที่ไม่เจริญเลย...ไม่มีไฟฟ้า ... ถ้าจะได้ก็ต้องปั่นไฟเอา
บ้านพักที่เราไปพักชื่อ “ทับตาฉุย” แกจะปั่นไฟเฉพาะช่วงเวลาค่ำๆ ที่เรามากินข้าว
ส่วนกระท่อมที่เราพักไม่มีไฟแต่อย่างใด... อากาศอาจจะร้อนหน่อยในช่วงค่ำ
แต่ตอนดึกๆ ก็นอนสบายใช้ได้อยู่... มันเป็นเกาะที่เงียบมากจริงๆ นักท่องเที่ยวก็มีอยู่ไม่กี่คน
ชาวบ้านก็มีอยู่ไม่เยอะ ... มีอยู่ 4 หมู่บ้านเล็กๆ พี่ที่ร้านค้าที่เราไปนั่งคุยบอกว่า
ถ้าตามสำเนาทะเบียนบ้านมีอยู่ประมาณแปดร้อยกว่าคน แต่อยู่จริงๆ คงไม่ถึงสามร้อย
ก่อนสึนามิ เคยมีหมู่บ้านใหญ่หน้าเกาะ มีเป็นร้อยหลังคาเรือน
แต่พอโดนสึนามิก็ล้มหายตายจากไปเยอะ หมู่บ้านหน้าเกาะที่ว่าก็หายไป
บ้านที่สร้างขึ้นใหม่ก็ถอยร่นเข้ามาในเกาะ... ซึ่งมีคนมาอยู่ทำมาหากินอยู่ไม่กี่ครัวเรือน
บนเกาะจะมีรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งชื่อ “โกลเด้นท์ บุดดา” ราคาที่พักเริ่มต้นที่ 5,000 – 20,000
หลังๆ ได้ข่าวว่ารับเฉพาะฝรั่ง ไม่รับคนไทย... เพราะเคยมีคนไทยเข้ามาพักแล้วมีปัญหา
บอกว่าแพง ไฟก็ไม่มี 24 ชม... ริ้นไรก็กัด... ฟังแล้วก็ขำนะ
สงสัยว่าเค้าไม่หาข้อมูลมาก่อนเลยเหรอ ว่าราคาที่พักมันเท่าไหร่
มีไฟฟ้าตลอดไหม ... เพราะในยุคนี่น้ำมันราคาแพงขนาดนี้ คงไม่มีรีสอร์ทไหน
เค้าจะปั่นไฟให้เราเปิดแอร์ 24 ชั่วโมงหรอกม้าง.... แล้วเรื่องริ้นไร มันก็คงเป็นเรื่องปกติ
เพราะมันเป็นเกาะที่ยังเป็นป่าเยอะอยู่ กวางบนเกาะที่ชาวบ้านเรียกกวางม้าก็ยังมีเป็นร้อยๆ ตัว
เห็นนักท่องเที่ยวบ่นอะไรแบบนี้แล้วนึกขำ นึกไปถึงเรื่องที่คนชอบบอกว่าปายเปลี่ยนไป
เจริญจนไม่น่าไป... เฮ้อ เค้าจะรู้ตัวเองไหมว่า..ที่มันต้องเจริญ ...ต้องเปลี่ยนไป
ก็เพราะมันมีนักท่องเที่ยวแบบนี้ ...อยากได้ความสะดวกสบาย... แล้วพอมันเจริญขึ้นก็บ่นอีก
จะเอาอะไรนะคนเรา... เรียกร้องกันมากมายจริงๆ
ด้วยความที่เกาะพระทองมันเงียบมาก นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เราก็เลยไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรทำ
กินข้าวเที่ยงฝีมือตาฉุยเจ้าของที่พัก แล้วก็เลยนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลง นอนหลับกันไป
บ่ายๆ พี่แกก็พาเราไปหมู่บ้านซึ่งอยู่อีกฝั่งของเกาะ มีท่าเรือแป๊ะโย้ย มีกระชังปลา
เพื่อพาเราไปหาซื้อปูซื้อปลามาทำกินในตอนเย็น....
กลับมาเราก็เดินไปชุดชมวิว “สุดขอบฟ้า ที่อยู่ไม่ไกล (มาก)
ปีนขึ้นเขาเล็กๆ ไปดูวิว แล้วก็เดินกลับมาช่วยเค้าทำกับข้าว (ดูสิว่ากันเองขนาดไหน...55)
คน 6 คน กินปู 2 โล ปลา 2 โล ปลาหมึก 2 โล หมด... กินแข่งกันจริงๆ
สองสามทุ่มเกาะทั้งเกาะก็เงียบ พี่เจ้าของบ้านแจกไฟให้คนละดวง เดินกลับบ้านใครบ้านมัน
อาบน้ำนอนกันเงียบ.... ดึกๆ ก็มีเสียงกวางเข้ามาใกล้ๆ ที่พักให้ได้ยิน
เช้าขึ้นมาก็ไปถ่ายรูปทุ่งหญ้าสะวันนา ซึ่งเป็นไฮไลท์ของเกาะนี้เลย
กลับมากินข้าว นั่งเล่นซักพัก ก็ได้เวลาเก็บของกลับ
มาถึงท่าเรือบ่ายกว่าๆ ยังเร็วไป เราเลยแวะอุทยานแห่งชาติศรีพังงา เที่ยวน้ำตกกัน
มีน้ำตกอยู่หลายน้ำตกเหมือนกัน แต่เราเข้าไปอันเดียว “น้ำตกตำหนัง” น้ำยังเยอะอยู่
คนเล่นน้ำเต็ม...ปลาพลวงก็มีเต็มน้ำตกไปหมด...อุดมสมบูรณ์จริงๆ
กลับถึงบ้านสามโมงนิดๆ อาบน้ำนั่งเล่นซักพัก เพื่อนก็พาไปเดินถนนคนเดินที่ตะกั่วป่า
ซึ่งต้องขับรถจากเขาหลักมาอีกประมาณ 25-30 กิโล เป็นย่านตึกเก่า ชิโน-โปตุกีส
เหมือนที่ภูเก็ต.. มีตลาดนัดทุกวันอาทิตย์ คนเยอะมากจริงๆ อาทิตย์นี้....
กลับจากตลาดค่ำๆ เพื่อนพาขี่รถผ่านสวนยาง หมู่บ้าน ซึ่งอยู่บนภูเขาเล็กๆ
อากาศเย็นๆ มองเห็นพระอาทิตย์กำลังตกดวงเบ้อเริ่ม.... สวยสุดยอดจริงๆ
เดี๋ยวเข้ามาเล่าต่อนะคะ