ออกเดินทางอีกครั้งกับเส้นทางการท่องเที่ยวจังหวัดตราดที่เราได้คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มั่นใจว่าไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก ทั้งๆ ที่จังหวัดตราดเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละปี แต่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นมีจำนวนมากมายที่เลือกจะเที่ยวตามสถานที่เดิมๆ ที่ดังและรู้จักกันทั่ว ชนิดที่ไม่ได้บอกก็พอจะรู้ อย่างเกาะช้าง เกาะหมาก และอีกสารพัดเกาะ แต่ในเมื่อเราต้องการเปิดโลกให้กว้างขึ้นและพาไปชมสถานที่ที่สวยงามแต่คนรู้จักกันน้อยบ้าง ดูสิว่าจะเป็นยังไง สถานที่เหล่านี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างดีแล้วนำมาจัดให้พอดีกับเวลาที่เรามี คือช่วงวันหยุดปิยมหาราช ต่อด้วยวันศุกร์ลางาน แล้วก็เป็นเสาร์ และอาทิตย์ รวมเวลา 4 วันเต็มๆ
แผนการเดินทางของเราเริ่มต้นที่วันที่ 23 ตุลาคม ออกเดินทางแต่เช้าจากกรุงเทพฯ (ทั้งๆ ที่วางแผนไว้ว่าจะออกเดินทางกลางดึกวันที่ 22 แต่ด้วยภารกิจที่เพชรบุรีจึงเลื่อนการเดินทางออกไป 7 ชั่วโมง) จุดหมายแรกของทริปคือที่แหลมงอบ สถานที่ที่จะต่อเรือไปที่เกาะช้าง เรามาถึงแหลมงอบเวลาเกือบบ่ายสองโมง (อันที่จริงน่าจะเร็วกว่านี้หน่อยแต่ก็เหยียบเต็มที่ไหงมาถึงบ่ายสองก็ไม่รู้) ลงไปต่อคิวข้ามเรือเฟอรรี่ ก็คนเยอะจนต้องได้ขึ้นเรือเที่ยวบ่าย 3 โมง คณะกลุ่มอนุรักษ์เขาแหลมเกาะช้างใต้ก็รอจนกว่าเราจะข้ามไปถึง เวลาก็เหลือน้อยเต็มทีสำหรับการพิชิตเขาแหลมแห่งเกาะช้างใต้ แต่เมื่อเรามาแล้วคงไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับ
เส้น
ถึงที่บ้านสลักเพชร เวลา 4 โมงแล้ว ระยะทางจากพื้นราบขึ้นเขาแหลมประมาณ 3.5 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง เราจัดแจงอุปกรณ์ที่จำเป็นเฉพาะการเดินป่า และกล้อง พร้อมเสบียง และเปล เดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขา โดยไม่สามารถแวะถ่ายรูปอะไรระหว่างทางได้ ซึ่งถือว่าผิดวิสัยของเรามาก ปกติขึ้นเขาเดินป่าเราจะแวะถ่ายรูปอะไรต่อมิอะไร ต้นไม้ก้อนหิน ดอกไม้ป่า มอสเฟิร์น ไปเรื่อยเปื่อย แต่งานนี้งานแรกที่เราไม่ได้ทำแบบนั้น
ดังที่คาดเอาไว้ เราขึ้นไปถึงยอดเขาแหลมเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ระหว่างทางฟ้ามืดลงตามเวลา ต้องเปิดไฟฉายเดินป่า ทั้งเหนื่อยทั้งฝนตก ทั้งมองไม่เห็น เส้นทางสายนี้ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่ได้ถางทางเดินไว้รองรับนักท่องเที่ยว การเดินผ่านป่าที่มีระยะห่างของต้นไม้แค่พอดีตัว สัมภาระไปเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ สะดุดบ้าง ล้มบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ถึงยอดเข้าแหลมยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 650 เมตร เป็นยอดที่สูงเป็นอันดับสองของเกาะช้าง มีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่ ทุกคนไปไหว้ศาลเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครอง น้องฟลุคและเพื่อนๆ กลุ่มอนุรักษ์ช่วยผูกฟลายชีทและเปลเรากินข้าวแบบง่ายๆ ที่เตรียมมาท่ามกลางสายฝน อาหารเย็นวันนี้มีข้าวเหนียวกับไก่ทอด พอฝนซาเราก็ได้ออกมายืนดูเรือไดหมึกที่เรียงรายเต็มท้องทะเลหนาแน่นมากเป็นภาพที่สวยงามแต่ถ่ายรูปกลับมาไม่ได้ เพราะเมฆฝนดำทมึนอยู่บนหัว ประกอบกับความเหนื่อยที่อยากจะล้มตัวลงนอนให้เร็วที่สุด ทุกคนขึ้นเปลของตัวเองแล้วหลับกันเร็วมาก แต่บางคนก็อาจจะนอนไม่หลับเพราะเสียงกรนของเพื่อนร่วมทริปอันเป็นธรรมดาของการเดินป่าที่แสนเหน็ดเหนื่อย
ในที่สุดเราก็ตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 6.20 จะว่าไปก็สายไปหน่อย พระอาทิตย์ขึ้นสูงความร้อนแรกของวันนี้ทำให้ความชื้นบนเกาะช้างระเหยขึ้นมาเป็นทะเลหมอกย่อมๆ เป็นภาพที่น่าประทับใจที่เราได้เห็นทะเล 2 ทะเลในเวลาเดียวกัน หมู่เกาะทะเลตราดที่อยู่เบื้องล่าง ที่กำลังจะถูกปกคลุมด้วยหมอกก็ดูสวยงาม หมอกกลุ่มใหญ่ลอยมาปกคลุมบริเวณที่เราอยู่จนมองไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาว แล้วสักพักก็ลอยผ่านไปเปิดวิวสวยให้เราได้ถ่ายภาพกัน จากนั้นคลื่นทะเลหมอกลูกใหม่ก็พัดเข้ามาอีกครั้งสลับกันอยู่แบบนี้หลายต่อหลายรอบ หลังจากถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วเราก็เก็บกล้องหันมาหุงหาอาหาร ต้มน้ำร้อน ทำมาม่า กาแฟ ไปตามเรื่อง
กินอิ่มพักผ่อนเสร็จก็เก็บเปลและข้าวของต่างๆ เตรียมตัวเดินทางลงจากเขา กลุ่มอนุรักษ์กลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงหัวใจการอนุรักษ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ก่อไฟบนเขา เรื่องการเก็บขยะกลับลงมาจากเขา แม้แต่เศษอาหารที่ย่อยสลายได้ก็ไม่ทิ้งไว้บนนั้น เพราะเป็นสาเหตุให้หนูมาแทะกินเสบียงของคนที่มาเที่ยวในชุดต่อไป แม้แต่เสบียงของเราก็มีหนูมาขโมยกินเหมือนกัน เมื่อหนูมาหากินแถวลานกางเต็นท์ (ซึ่งที่จริงแล้วไม่กว้างพอที่จะกางเต็นท์ได้แต่ผูกเปลนอนแห่งนี้) ก็เป็นเหมือนบัตรเชิญให้มีงูเข้ามากินหนู และอาจจะเกิดอันตรายกับคนที่มาเที่ยวได้