เช้ารุ่งวันที่ 3 ของการเดินทาง
ตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก ตี 4 ลุกออกมาจากเต็นท์ มาสัมผัสอากาศหนาว คืนนี้ไม่หนาวเท่าไหร่ พอทนไหว แล้วก็เดินหากองไฟเพื่อเรียกความอบอุ่น เห็นพี่ๆ เจ้าหน้าที่ และลูกหาบกำลังเติมฟืนสุ่มไฟจิบกาแฟ และหุ่งข้าวแต่เช้าให้พวกเรา ผมเองก็จัดแจงตระเตรียมอาหารเช้าเมนูวันนี้ ผักกะหล่ำหมูกรอบ น้ำพริก ผักสด ผัดผักพริกแกง ส่วนวันนี้ต้องห่อข้าวกลางวันไปทานระหว่างทางด้วย เมนูกลางวันก็ง่ายไข่ต้มกลางวันคนละ 1 ใบ แต่มีบางคนกินข้าวน้อย ขอไข่ 2 ใบ 5555 ไม่ว่ากันมีเยอะ ผ่านพ้นไปเวลา 6 นาฬิกาสมาชิกเริ่มเก็บสัมภาระแยกของที่ไม่จำเป็นเอาไว้ที่แคมป์แม่รีวา ถอนน้ำหนักออกเพื่อให้เดินสบายขึ้นเพราะวันนี้เราต้องเดินกันไกลบวกกับเส้นเป็นเขาสูงชัน เวลาแปดโมงเริ่มออกเดินทางกันครับ วันนี้เจอของจริง เดินๆ ปีนๆ ป่ายๆ ไปกับภูมิประเทศ ทั้งป่าไผ่ ทิวเขา เนินสูง ทางราบมีน้อย มีแต่ทางชัน เดินไปพักไปเล่นตามต้นไม้ เดินกัน 5 คนก็จับจองตามต้นไม้ใหญ่เพื่อพิงกายไปกับต้นไม้แก้เหนื่อย เป็นระยะๆ เดินป่าครั้งนี้เล่นซะกล้ามเนื้อขาตรึงกันเลยทีเดียว ระหว่างเดินเท้าไปเรื่อย สิ่งที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าผืนนี้ก็บินมาพร้อมกับเสีงก้องบนฟ้า เง้ยหน้าขึ้นมองเห็นนกเงือกตัวใหญ่โผยบินเกาะยอดไม้สูง แล้วก็ถลาบินไปบนฟ้า แล้วเราก็แวะพักทางข้าวเที่ยวก่อนทางลงที่ คลอง 1 ก่อนจะแวะลงไปเติมน้ำที่นั้น มื้อนี้กินข้าวไข่ต้ม เป็นอาหารกลางที่อร่อยมาก แถมพี่อาทิตย์ เจ้าหน้าที่ของกลุ่มเรา มีน้ำพริกหมากฝรั่ง ปลาแห้ง ติดมาให้แกล้มกับไข่ต้มอีก ข้าวสามคำกับน้ำพริกแค่เสี้ยวช้อน ยิ่งอร่อยเข้าไปอีก ส่วนการเดินขึ้นยอดโมโกจู ระหว่างทางเราจะเห็น เทือกแม่กี เราจะเดินอ้อมไปโมโกจูซึ่งสูงกว่าเทือกนี้ จะเห็นเมฆแตะๆบนยอด เดินกันต่อ พี่อาทิตย์ ก็หาสสมุนไพรให้เราดูกันไปตลอดทางเดิน แถมยังหาก้านกุ้งส้มให้ชิมแก้หิวน้ำแต่ก่อนถึงทางลงคลอง 2 นั้นพี่อาทิตย์ ชี้ให้พวกเราดูจุดชมวิวที่มองเห้นก้อนหินเรือใบ ที่ตั้งตระง่านอยู่บนยอดเขาโมโกจู กลุ่มเราหยุดดูและชื่มชมกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่สรรค์สร้างขึ้นมา ใช้พวกเราได้มีอาสมาสัมผัส ผมเองก็ งง นะครับ ว่า ก้อนหินเรือใบนั้น ขึ้นไปอยู่ได้ยังไงบนนั้น ก็ได้แต่เก็บเป็นคำถามที่มี่คำตอบต่อไป เดินกันต่อครับ เพื่อเติมน้ำไปใช้บนแคมป์ตีนดอยที่ 2 เพราะบนนั้นไม่มีน้ำเพราะบนนั้นไม่มีน้ำใช้ ตลอดเส้นทางขึ้นแคมป์ตีนดอย ทางชันมากเดินกันไปพักกันไป เราถึงแคมป์ตีนดอยเวลาประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น พอถึงพี่ๆลูกหาบก็จัดแจงก่อไฟเพื่อหุงข้าวเย็น พวกเราก็ช่วยกันกางเต็นท์ กาง Flysheet รอสมาชิกอีกกลุ่มขึ้นมาสมทบจนครบ และวันนี้ 5 โมงเย็น เราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาโมโกจูกัน ซึ่งใช้เวลาเดินขึ้นไปจากแคมป์ที่พัก ถึงยอดเขา ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เมื่อพร้อมเดินเท้ากันต่อครับไปดูพระอาทิตย์ตกกันครับ ว่าสวยแค่ไหน พอขึ้นไปถึงบนยอดเขา มองออกไปเบื้งหน้าตรงผืนป่าที่เห็นอยู่รอบตัวเลย เส้นทางที่เดินมาก็เห็นพืชพันธ์ มอสเฟินหรือไม้บางชนิดออกดอกอยู่บ้างเล็กน้อย ก็สวยมาครับ ถ้ามาช่วงต้นเดือน พฤศจิกายนผมว่าต้องสวยกว่านี้แน่ๆ แล้วพี่อาทิตย์ก็บอกเล่าเรื่องราว ผืนป่าด้านหน้าทั้งหมดว่าเป็นของ เขตรักษาพันสัตว์ป่าอุ้มผาง / เขตรักษาพันสัตว์ห้วยขาแข้ง เราขึ้นไปยืน ณ จุดตรงนั้นเหมือนอยู่ระดับเดียวกับเมฆเลย สวยงามครับ แต่ก็ไม่พลาดที่จะขึ้นไปบนหินเรือใบ เพื่อบันทึกลงจิตใจว่าเรามาพิชิตได้แล้ว เรารอจนฟ้าหมดแสง จึงเดินลงไปที่แคมป์ เพื่อทานข้าวเย็นกันครับ เมนูมื้อเย็นนี้ พี่ช้างและพี่ๆ ลูกหาบเป็นผู้แสดงฝีมือกันครับ ตั้งแต่ต้มยำประกระป๋องใสกุนเชียง /ผัดกะเพาทูน่า ไข่เจียว ผัดผัก น้ำพริกกะปิ อิ่มจากข้าวเย็นก็ตบท้ายด้วยกาแฟอุ่นๆ แถมท้ายด้วยสมุนไพรต้ม กำลังม้า +หนุมานประสานกาย แก้หนาวกันสักหน่อย นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ สอบถามทางลูกหาบเกี่ยวกับเรื่องราวของทางติ๊ก ตอนที่มาโมโกจู และเพื่อนสาวที่เคยมาที่นี้ ถามพี่ลูกหาบว่ารู้จักเพื่อสาวเราไหม ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงที่ได้ลูกหาบชุดเดียวกัน พี่ลูกหาบก็ร้องอ๋อจำได้ด้วย พี่ลูกหาบก็เล่าเรื่องราวตอนที่ติ๊กมาที่นี้ พี่เขาก็เป็นลูกหาบให้กับติ๊ก แต่วันนี้สมาชิกหลายๆท่านเข้านอนกันเร็วครับ คงเพราะเหนื่อยจากการเดินป่ามา 8-9 ชม. ที่แสนยาก แต่สำหรับผม เอาตัวซุกในเต็นท์ หัวโผล่ออกมานอนราบกับพื้นมองขึ้นฟ้าไป เพราะว่า ช่วงค่ำๆ ที่นั้นดาวสวยมากครับ ขอบอกภาพนั้นยังประติดตาผมอยู่เลยครับ เสียดายที่ต้นไม้เยอะไปหน่อยไม่ได้เก็บภาพมาอวดโฉมกัน คืนนี้ไม่หนาวสักเท่าไหร่ รีบนอนเก็บแรงเพื่อตืนแต่เช้าเดินไปชมความงามของแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้น ที่ยอดเขาโมโกจูกันอีกครั้ง