Touronthai Forum สนทนาประสาเที่ยว
หมวดหมู่ทั่วไป => แบกเป้เที่ยว AEC เรื่องราวท่องเที่ยวต่างแดน => ข้อความที่เริ่มโดย: Pui ที่ กรกฎาคม 27, 2014, 02:23:28 PM
-
เที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกันอีกแล้ว ข้อดีของเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านคือมีเวลาแค่สามสี่วันเราก็เที่ยวได้ บางทีไม่ต้องลางาน เสาร์อาทิตย์ มีตั๋วโปรโมชั่น เราก็เที่ยวได้เลย ครั้งนี้เราไปเที่ยว กรุงกัวลาลัมเปอร์ และ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมืองที่มีสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกิส ให้เราได้ดู
การเดินทาง เราบินจากประเทศไทยไป ลงสนามบิน KLLC ประเทศมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทางประมาณ สอง ชม เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าบ้านเรา หนึ่ง ชม อัตราแลกเปลี่ยน หนึ่งริงกิตมาเลเซียประมาณ สิบบาท
-
เราเลือกเดินทางจาก ประเทศไทย เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน เพื่อจะได้ไม่ต้องลางานกันหลายวัน ไปถึงสนามบิน จะต้องนั่งรถบัส เข้าไปย้ง kl central ประมาณ 1 ชม โดยไม่ต้องกังวลว่าเราจะไม่มีรถเข้าเมือง เนื่องจาก รถบัสที่นี้ มีให้บริการกันถึง ตีสอง และจาก kl central ก็เริ่มให้บริการกันตั้งแต่ตีสาม มีให้บริการ สอง บริษัท เท่าที่นั่งทั้งสองบริษัท ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะงั้นเราจะนั่งของบริษัทอะไรก็ได้ เต็มออก ไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวซื้อที่ช่องขายตั๋ว เพราะไม่ระบุที่นั่ง มาก่อนเลือกก่อน ;D ;D
เราเลือกที่พักบริเวณ kl central ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดี เนื่องจากใกล้ กับ สถานีรถบัสไปยังเมืองต่างๆ หรือ รถไฟฟ้า ที่ไปยังสถานีต่างๆ
-
เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นไม่เช้ามาก ทำธุระส่วนตัวเสร็จ แล้วก็ออกไปยังสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟ ไปยังเมือง ปุตตราจาย่า เขาว่ามันคือเมืองใหม่ของมาเลาเซีย แต่ที่เรามาเมืองนี้เพื่อ ไปชมความงามของ มัสยิดสีชมพู
จากสถานีรถไฟ kl centeral นั่งรถไฟประมาณ ครึ่ง ชม ก็มาถึง เมืองปุตตราจายา
แต่เมื่อเราลง จาก สถานีรถไฟ เราต้องต่อ รถเมล์เข้าไปอีก โดย การนั่งรถเมล์ก็จะเหมือนบ้านเรา เราต้องเลือกสายที่ผ่านจุดที่เราต้องการไป เรานั่งรถเมล์ไม่นาน ก็มาลง ที่มัสยิดสีชมพู
-
การจะเข้าชมในบริเวณมัสยิด จะต้องสวมชุด คลุมหัว แขนยาว ให้มิดชิด ตัวมัสยิดจะเปิดให้ชมเป็นเวลา ถ้าตรงเวลากับที่เขาจะต้องละหมาดก็ไม่สามารถเข้าด้านในได้
ด้านในติดแอร์ด้วย แอบเข้าไปนั่งตากแอร์อยู่นาน ;D 8)
-
แอบเสียดายที่ท้องฟ้าวันนั้น ไม่เป็นใจ เลย มิอย่างนั้นถ่ายรูปคงจะสวยกว่านี้
เราเลือกเดินหามุม ของมัสยิด รอบๆ หุหุ
-
บริเวณทางเข้า จะมีรถบัสของนักท่องเที่ยวมาจอดกันเต้มไปหมด โดย ความคิดเขาน่าจะหาที่จอดให้เป็นสัดส่วนมากกว่านี้ เพราะเวลาคนมาถ่ายรูปด้านหน้าจะได้ ไม่ติดพวกรถบัสต่างๆ และ ด้านนี้ ก็จะติดกับ อาคารสำนักนายกรัฐมนตรีที่เราไม่สามารถเข้าไปได้ ได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น
-
ด้านล่างของมัสยิดเป็นศูนย์อาหาร เราฝากท้องกันที่นี้ อาหารแนวแขกแขก
-
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยเราก็เริ่มเดินหามุมกันต่ออีกนิดหน่อย ด้านข้างๆของมัสยิดมีบริการนั่งเรือ ชม มัสยิด ด้วย
เราเดินข้ามสะพานที่เห็นในภาพไปเพื่อลองหามุม อื่นๆของมัสยิด
-
เดินข้ามสะพานมาเรื่อยๆ จะมีอาคารทรงทันสมัย เราข้ามไปขึ้นรถเมล์ เพื่อ จะไปขึ้นรถไฟกลับเข้าเมือง
-
เราเข้าเมือง กลับไปเริ่มต้น ที่จุดเดิม สถานที่ต่อไปที่เราจะไปคือ มัสยิดเจมาค นั่งรถไฟ ไปลงสถานีที่ชื่อเดียวกันเลย
ค่ารถไฟฟ้าของที่นี้ราคาถูกกว่า บ้านเราอ่ะ อยากให้ค่ารรถไฟฟ้าบ้านเราราคาเหมือนเขาบ้าง
เข้าไปไม่ได้เนื่องจากได้เวลาทำละหมาดของเขาพอดี แต่ใจก็คิดว่าน่าจะถ่ายแค่ด้านนอก ได้สวยกว่า
-
แถวนี้เราสามารถเดินทะลุไปยังพิพิธภัณฑ์แห่่งชาติและอาคารสุลต่านบิวดิ้ง เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก
มีอาคารสวยๆให้ถ่ายรูป
-
หลังจากเดินเล่นแถวนี้อยุ๋พักใหญ่ เราได้ขึ้นรถไฟฟ้า ไปยังจุดหมายหลักที่สำคัญของทริปนี้ คือ ตึกแฝด ตึกปิโตรนาส ตึกที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุด
ออกจากสถานีรถไฟฟ้า จะเป็นห้างสรรพสินค้า เราเดินช๊อปปิ้งเล่นกันพักใหญ่ จึงได้ออกไปถ่ายรูปตึกแฝด กันทั้งด้านหน้าด้านหลัง ช่วงเย็นช่วงค่ำ ใช้เวลากับที่นี้นานพอสมควร
-
ที่นี้จะมีเปิดระบำน้ำพุ ช่วงค่ำๆ นั่งดูกันเพลินๆ สวยดีเหมือนกัน
-
พอช่วงมืดๆ ตึกแถวนั้นก็เปิดไฟ สว่างไสว สวย ไปอีกแบบ
-
เสร็จจากการเดินเล่นดูไฟ เราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับยัง โรงแรมที่พัก เนื่องจากเช้าวันต่อมาเราต้องนั่งเครื่องแต่เช้าเพื่อ ไปเมือง ปีนัง
สนามบินในมาเลเซีย ทั้งสนามบินที่เคแแอล และ สนามบินที่ ปีนัง มีอินเตอร์เน็ตวายฟายให้เรานั่งเล่นได้ ตลอด ทำให้การรอขึ้นเครื่องไม่น่าเบื่อจนเกินไป
เมื่อมาถึง ปีนัง เราต้องนั่งรถเมล์ สาย 401 คอมท่า เป็นปลายทางของสายรถเมล์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม เพื่อเข้าไปตรงย่านเมืองเก่า หรือที่เราเรียกว่าเมือง จอร์จทาวน์เมืองมรดกโลก
-
เรามาถึง จอร์จทาวน์เมืองมรดกโลก และรีบเดินหาที่พัก ที่ไม่ได้จองไว้ ใครบอกว่า ให้มาเดินหา ที่พักที่ปีนังได้เลย ที่พักเยอะแยะมากมาย แต่ จากความรู้สึก จองมาก่อน น่าจะดีกว่า เพราะการเดินหาโรงแรมที่พัก ท่ามกลางอากาศร้อนและแบกกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยเป็นอะไร ที่เหนื่อย และเสียเวลามาก สุดท้าย เรามาตกลงราคาห้องพักในราคาที่ไม่แพงมาก เหมาะสมราคา เรารีบ นำของเข้าเก็บ เข้า ห้อง และ ออกเดินทางไปยังเป้าหมาย ต่อไป คือ ปีนังฮิลล์
เราเดินย้อนมายังจุดที่เราลงรถเมล์ บริเวณคอมท่า และนั่งรถเมล์สาย 204 สุดสายนั่งประมาณ หนึ่ง ชม ได้
-
นั่งรถไฟ สูงเหมือนกัน ออกมาก็เจอวิว มุมเมือง ปีนัง ถ้าฟ้าเปิดน่าจะสวยทีเดียว
-
นอกจาก วิวมุมสูง แล้ว เราเดินเล่นๆ บนยอดปีนังฮิลล์ อีกสักพักก็นั่งรถไฟลง บนนั้น มีวัดแขกเล็กๆ และ มัสยิด เล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน บนนี้
แต่บนปีนังฮิลล์ มีโรงแรม ให้พักมาพักผ่อน ได้ เพราะอากาศบนนี้ จะเย็นๆ กลางคืนน่าจะมีอากาศเย็นกว่าช่วงกลางวัน ถ้าออกมา เดินถ่ายไฟ ตรงจุดชมวิว ก็น่าสนใจทีเดียว
-
หลังจากลง มาด้านล่างแล้ว เรานั่งรถเมล์สายเดิม ย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ป้าย เพื่อมาลง ที่วัด เค็กลกซี วัดจีน ที่มีขนาดใหญ่ทีเดียว
-
วัดนี้ มีให้เดินหลายชั้น ค่าเข้าวัดไม่เสีย แต่ถ้าจะเข้าบางส่วน บาง ชั้น ต้องเสียเงิน ค่าเข้า เพิ่ม และถ้าจะขึ้นไปชมเจ้าแม่กวนอิม ต้องเสียค่าลิพขึ้นไปอีก เท่าไหร่จำไม่ได้
-
มีจุดถ่ายวิว เมือง เหมือนกัน ถ้าใครไม่ไป ปีนังฮิลล์ถ่ายวิวเมือง ก็มาถ่ายจากที่วัดนี้ได้เหมือนกัน
-
กลับจากวัด เราลง มาเดินหาป้ายรถเมล์ เพื่อกลับไปยัง คอมท่า การมองหาป้ายรถเมล์ระหว่างทาง ของที่นี้ หายากอยู่เหมือนกันเพราะไม่มีจุดสังเกตุอะไรเลยที่บอกว่าเป็นป้ายรถเมล์ คนที่นี้เขาก็บอกว่าไม่มีป้ายที่ชัดเจน แต่ถ้าเราลงมาจากป้ายตรงไหน ขากลับ ก็ให้มาขึ้นที่จุดที่ลงตอนแรก แต่สลับคนละด้านถนน แล้วก็รอรถสาย 204
หลังจากมาถึงยังคอมท่าแล้ว เราเห็นว่ายังพอมีเวลาเราจึงตัดสินใจนั่งรถเมล์สาย 401 เพื่อมาหาวิว ที่เราเห็นว่าสวยจากตอนนั่งรถเข้าเมืองมาจากสนามบิน โดยก็ไม่รู้ว่าจะลงถูกหรือไม่ แต่ก็อยากได้ภาพ เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ย้อนไปดู
เป็นแหล่งที่เขาทำประมงกัน เป็นที่จับ ปลา ของที่นี้ มีสะพานไม้ให้เดินลงไปดู
-
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เราก็มานั่งรอรถเมล์ฝังตรงข้าม กับที่ลง มา แล้วก็เข้าเมือง ไปลงที่คอมท่า ก็ได้เวลาตามหา ศิลปะบนฝาผนังของที่นี้ ซึ่งมีภาพกระจายอยู่ตามมุมตึก และก็มีสถานที่เที่ยว กระจาย อยู่ในบริเวณนี้
เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ วนไปวนมา ก็เจอทั้งวัด ทั้งภาพศิลป พอสมควร
วัดจีน มาถ่ายช่วงเย็น และช่วงเปิดไฟ
-
เสาร์อาทิตย์ของที่นี้ มีตลาดคนเดิน ขายของที่ระลึก อารมย์เหมือนตลาดคนเดินบ้านเรา
เราเดินเล่นกันสักพัก ก็เดินกลับที่พัก และ คิดว่าในวันพรุ่งนี้ จะเช่าจักรยาน ปั่น ตามหาศิลปบนฝาผนัง และที่เที่ยวตามจุดต่างๆ ของเมือง มรดกโลกแห่งนี้
ค่าเช่าจักรยานของที่นี่ ราคา ต่อวัน 80 บาท ออกมาปั่นเช้าๆ อากาศยังไม่ร้อนคนยังไม่เยอะ
-
ปั่นไปเรื่อยๆ ไปตามแผนที่ ว่า มีอะไรอยู่ตรงไหนกันบ้าง :P :P
-
:D ;D >:( ปั่นกันพอได้เหงื่อทีเดียว
-
ภาพเหล่านี้ บางภาพก็ลอกหลุดไปตามเวลา บางภาพหายไปไหมดแล้ว คาดว่า อีกไม่กี่ปีภาพเหล่านี้ คงลอกหลุดไปหมด
-
มีตามฝาผนังบ้านคนด้วย ภาพที่วาดกับฝาบ้าน ที่อยู่ติดกับทะเล ลอกหายไปก่อนที่จุดอื่น
-
เราปั่นกันประมาณ สาม ชม ก็ คืนรถจักรยาน และไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวกลับ
มาขึ้นรถเมล์สาย 401 ที่คอมท่า เพื่อไปสนามบิน และขึ้นเครื่องกลับ ในเวลาบ่าย
ขอจบรีวิวเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน แค่นี้จ้า ขอมูลอาจไม่แน่นเนื่องจากไปมาหลายเดือน บางข้อมูลก็เริ่มจะลืมๆไปแล้ว :P :P แล้วพบกับรีวิว ถัดไป นะจ้า