Touronthai Forum สนทนาประสาเที่ยว
หมวดหมู่ทั่วไป => แบกเป้เที่ยว AEC เรื่องราวท่องเที่ยวต่างแดน => ข้อความที่เริ่มโดย: Pui ที่ ธันวาคม 13, 2014, 02:43:13 PM
-
ความตั้งใจที่จะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีเกิดขึ้น เมื่อแอร์เอเชียเปิดรูทเส้นทางบินไปสู่ญี่ปุ่น เนื่องจากราคาบัตรโดยสารราคามันเล้าใจมากๆ ถึงแม้ว่าจะต้องนอนสนามบินแต่คิดแล้วมันก้คุ้ม ได้การดังนั้นความสนุกตื่นเต้นจึงเริ่มขึ้นเมื่อเราแตะพื้นประเทศญี่ปุ่น
-
เตรียมข้อมูลไปอย่างดี ข้อมูลจากเว็บต่างๆเยอะมาก และเด่วนี้คนไทยเที่ยวญี่ปุ่นเยอะมากๆ เนื่องจากไม่ต้องขอวีซ่า คนไทยสามารถเข้าญี่ปุ่นได้ 15 วัน เอาเป็นว่าเรามาเล่า ประสบการณ์และสถานที่สวยให้ชมกันนะ เริ่มตั้งแต่ผ่าน ตม. บางคนผ่านง่ายมาก เราเข้าคิวติดอยู่ที่ ตม.เป็น ชม ตม.ซักสะขาว ว่ามาทำอะไร กี่วัน มากับใคร พักที่ไหน ขอดูตั๋วกลับ ไปไหนบ้าง นานมากๆ สุดท้าย เรายื่นโปรแกรมทั้งหมด บุคกิ้งโรงแรม ให้ดู จึงได้ปล่อยเราออกมา แค่สรุปให้ฟังว่า ถ้าเราตั้งใจมาเที่ยว ถึงเขาจะถามเราเยอะแค่ไหนเรามีเอกสารให้เขาดู เขาก็คงให้เราผ่าน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว
-
วันแรกมาถึง ลงจากเครื่องประมาณสี่ทุ่มครึ่ง แต่กว่าจะหลุดออกมาจาก ตม นานมาก รถไฟที่ญี่ปุ่นหมดประมาณ เที่ยงคืน สำหรับคืนแรกเรานอนที่สนามบิน เก้าอี้ที่นั่ง ไม่มีพนักข้างทำให้สามารถนอนเหยียดตัวได้ อากาศเย็นถึงเย้นมาก เท่าที่สังเกตมีคนนอนสนามบินมากมาย ก่อนนอนเราเดินสำรวจสนามบินหาอะไรรับประทาน แล้วนอนพักผ่อนในมุมสงบ แล้วเตรียมตัวตื่นเข้าเมืองเพื่อขึ้นรถไฟเที่ยว ตีห้า
-
นอนหลับไม่ค่อยสนิทก็ได้เวลาตื่น ล้างหน้าแปรงฟัน ห้องน้ำที่ญี่ปุ่น มีมากมาย และสะอาด หลังจากทำธุระเสร็จเรา ก็เดินไปศึกษาข้อมูลการซื้อตั๋วรถไฟจากเครื่อง โดยปลายทางแรกที่เราจะไปคือสถานีโตเกียว เราต้องนั่งโมโนเรลไปลลงสถานี และนั่งไลน์ yamanote ลงสถานีโตเกียว ใช้เวล่รวมประมาณ 25 นาที ก่อนจะเดินทาง พวกตารางรถไฟสถานที่เราจะไป เราเช็คการเดินทางจากเว็บ Hyperdia มาก่อน และ แผนที่ตารางรถไฟ การเลือกซื้อตั๋ว เราต้องไปกด ยอดราคาค่าโดยสาร และจำนวนคน หยอดเงิน ตั๋วก็จะออกมา ยอดราคาเรารู้จากไหน คือ ดูที่แผนผังที่เขาติด หรือเช็คจาก hyperdia ก็ได้ ค่อนข้างตรงกัน
-
การที่เราเข้ามาที่สถานีโตเกียวเพื่อ เราต้องการเปลี่ยนบัตรเจอาร์พาท ที่เราซื้อมากจากเมืองไทย (ต้องซื้อจากเมืองไทยมาก่อนเท่านั้น) และมาเปลี่ยนเป็นบัตรที่ญี่ปุ่นสำหรับใช้เดินทาง 7 วัน จริงที่สนามบินฮาเนดะมีให้เปลี่ยนแต่เราด้วยเวลาเปิดของ สนง มันจะสายเกินไปสำหรับการเดินทางที่เราวางแผนไว้เราจึงเลือกมาเปิดที่สถานีโตเกียว โดยเช็คเวลาเปิดจากเว็บมาก่อน โดย หลังบัตรที่เราซื้อมาจากเมืองไทยก็จะบอกถึง ที่ตั้ง สนง เจอาร์ ที่สถานีโตเกียว เราจำชื่อสถานีที่ไปได้ไม่หมด แต่หลักของการขึ้นรถไฟของเราคือ เราจะเช็คเส้นทางที่เราต้องการไปจากเว็บhyperdia มาก่อน ซึ่ง มันจะบอก ไลน์รถไฟที่เราจะไป พร้อมทั้งเวลาที่รถไฟมาและสถานีที่เราต้องไปหรือต้องไปต่อที่สถานีอะไร มาเรียบร้อย เมื่อเรารู้แล้วดังนั้น เมื่อออกจากรถไฟปุบ เรามองหาป้ายที่เขียน ไลน์รถไฟที่เราต้องการจะไป ซึ่งไลน์รถไฟที่ญี่ปุ่นจะมีเยอะมาก เป็นหตุให้เราสับสนและดูแผนที่รถไฟเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่เรายึดหลักการของเราคือหาป้ายที่มันเขียนไลน์เส้นทางที่เราจะไปเดินจนถึง จะเขียนเป็นตัวเลขให้สองช่อง คือขาไปและขากลับ เช่น ช่อง 3 และช่อง 4 ดังนั้นเราจะไปช่อง 3 หรือ 4 ของรถไฟ เราก็จะไปอ่านที่เสา จะมีป้ายติดว่า ด้านนี้รถไฟวิ่งไปมีสถานีอะไรบ้าง เราก็เช็คว่าสถานีที่เราจะไปคือด้านไหน เราก็ขึ้นไปตามช่องตัวเลขที่เขาบอกมา แค่นี้ก็ไม่หลงแล้ว
-
ประเด็นการขึ้นรถไฟอีกอย่าง คือ rapid คือรถไฟที่ไม่ได้จอดทุกสถานี ดังนั้น ก่อนขึ้นดูป้ายจากหน้ารถไฟก่อนว่า มันคือรถไฟเร็วหรือไม่ แต่ ถ้าเราตกรถไฟขบวนที่วิ่งในเมือง ก็ไม่เป็นไรเพราะ อีกไม่กี่นาทีมันก็จะมาใหม่ แต่ถ้าตกพวกชินคังเซ้นที่วิ่งข้ามเมืองเราต้องเสียเวลารออีกเป็น ชม ซึ่งมันจะทำให้เราเสียเวลาและกระทบกับการต่อรถไฟ ต่อรถบัสอื่นๆ อีกได้ เนื่องจาก เวลาการขึ้นรถไฟรถบัสที่ญี่ปุ่นตรงเวลามาก ประทับใจกับการขนส่งเขาสุดๆอ่ะ
เมื่อเราแลกบัตรเจอาร์พาทแล้ว เราก็สามารถขึ้นรถไฟต่างๆได้ฟรีทั้งหมด แต่ไม่รวมรถไฟใต้ดิน แต่รวมชินคังเซ็น ข้ามเมือง ดังนั้นเราควรวางแผนเส้นทางการท่องเที่ยวของเราให้ดี เพราะว่า ราคาเจอาร์พาทที่แลกไป 8500 บาท ใช้ได้ 7 วัน จะได้คุ้มค่า เพราะถ้านั่งรถไฟฟ้่าสายธรรมดาในเมืองเขาเริ่มต้นก็ประมาณ 50-60 บาท แต่ราคารถไฟชินคังเซ็น ก็เป็นหลักพัน ถ้าเราไปหลายเมืองข้ามภูมิภาคก็จะคุ้มมากๆ
-
หลังจากแลกเจอาร์เสร็จแล้ว แพลนที่เราวางไว้คือเมืองทาคาย่าม่า โดยนั่งชินคังเซ้นตอน 8.30วิธีการขึ้นก็เช่นเดียวกับรถไฟในเมือง แต่การขึ้นชินคังเซ้นจะมีให้เราบุคที่นั่ง หรือเราจะไม่บุคก็ได้ การที่เราจะบุคที่นั่งเราควรไปล่วงหน้าหนึ่งวัน เพราะถ้ามาบุควันเดินทางเลยที่นั่งอาจจะเต้มได้ ประโยชน์ของการบุคที่นั่งคือถ้าเราเป็นกลุ่มเราจะได้นั่งด้วยกัน ตอนรถไฟมาไม่ต้องรีบร้อนเพราะขึ้นทีหลังก็มีที่นั่ง แต่ถ้าเราไม่บุค เราจะต้องไปนั่งตู้ที่เขาเขียน ว่า non reserve และหาที่นั่งว่างเอาเอง ซึ่งอาจจะเต็มก็ได้ แต่เท่าที่ดูไม่เคยเต็ม แต่เราจะเสียเวลาหาที่นั่งและอาจจะไม่ได้นั่งด้วยกันกับเพื่อนแค่นั้นเอง นอกจากนี้ ถ้าเราไม่ได้เปิดเจอาร์พาทแล้วนั่งชินคังเซ็นก็จะมีส่วนแตกต่างในเรื่องราคาด้วย ที่นั่งจองก็มีราคาแพงกว่าที่นั่งไม่จอง
เราต่อรถไฟสองต่อ ก็มาถึงเมืองทาคาย่ามา เราจองโรงแรมมาเรียบร้อยจากเมืองไทย หาโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟจะได้เดินทางสะดวก โรงแรมที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ให้เช็คอินเวลา บ่ายสามโมง แต่เราสามารถฝากของไว้ได้ ตามแพลน เราต้องขึ้นรถบัสต่อไปประมาณ หนึ่ง ชม เพื่อไป ชิราคาวาโก หลังจากฝากกระเป๋าเดินทางเสร็จเราก็รีบมาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปชิราคาวาโก เวลา 13.50 น เพราะจากโรงแรมเราเหลือเวลาแค่สิบนาทีก่อนที่รถจะออก เพราะถ้าพลาดเที่ยวนี้ มีเที่ยวต่อไปอีกหนึ่ง ชม ถึง ไปเราก็จะเที่ยวไม่ทันแล้วเนื่องจากที่ญี่ปุ่นฤดูนี้สี่โมงครึ่งท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ดังนั้นจากเวลาที่เราคำนวณเรายังพอทันแสง พอให้มีเวลาเดินเที่ยวได้ ก็ยังดี เราจึงต้องรีบมาก
-
และแล้วก็มาถึง ชิราคาวาโก เมืองมรดก โลก หุหุ เป็นไปตามแพลนแบบพอดีเปะ
-
เที่ยวได้สักประมาณ สอง ชม เราก็มาขึ้นรถกลับที่ ตรงจุดเดิมที่เราลง โดยจะมีรถเวลา ห้าโมงเย็น อากาศพอตกค่ำก็ยิ่งหนาวมากขึ้น ช่วงที่เราไป กลางเดือน พย หิมะยังไม่ตก พอกลับมาได้สองอาทิตย์ก็ได้ข่าวว่าที่นี้ หิมะตกจนขาวโพลนไปหมดเลย ;D
-
ขึ้นรถกลับมาตอนห้าโมงเย็น ถึงเมืองทาคายาม่า หกโมง เราก็เดินหาร้านอาหารกินกัน เป็นเมืองสงบมาก มาถึงก็มืดสนิท เราก็เข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมลุยกับพรุ่งนี้ ซึ่งเราจะไปotaka ropeway ขึ้นรถเที่ยวแลก เจ็ดโมงตรง
ภาพนี้ คือย่านเมืองเก่า ของเมืองทาคาย่ามา
-
ขึ้นรถไป otaka ropeway ใช้เวลาเดินทางประมาณ เกือบสอง ชม หนาวขึ้นไปอีกเพราะขึ้นที่สูง มาถึงปลายทางของรถ ต่อกระเช้าขึ้นไปอีกไม่ไกลมาก ก็จะพบกับวิวสุดอลังการ
-
ที่เที่ยวญี่ปุ่น ทุกที่แนะนำให้มาแต่เช้า เพราะพอสายหน่อยจะพบกับจำนวนนักท่องเที่ยวมากมาย เรามาเป็นกรุ๊ปแรก โชคดีหน่อยฟ้ายังเปิด พอสักพักหิมะก็เริ่มตกฟ้าปิดมองไม่เห็นวิวอีกเลย
-
เราถ่ายรูปที่นี้กันจนพอใจ ก็มานั่งรอกระเช้าเพื่อลงไปนั่งรถบัสกลับเข้าไปยังตัวเมือง ตารางรถมาเป้นเวลาเราจะต้องเช้คเวลาให้ดีเพื่อเราจะได้มานั่งรอรถทันเวลา เพราะถ้าพลาดไปก้ต้องเสียเวลารออีกเป้น ชม กว่ารถจะมาอีกคัน เรานั่งรถมาถึงตัวเมืองก็ประมาณบ่ายสอง พอเข้าเมืองฟ้าเปิดแสง เราก็ได้เวลาตระเวนเมืองทาคาย่ามา เดินไปเดินมาเราก็มาเจอวัด ซึ่งมีต้นแป๊ะก๋วย บานเหลืองอร่ามอยู่ต้นเดียว แต่เป้นต้นที่มีขนาดใหญ่มาก สวยงามฝุดๆ
-
เจอต้นนี้เข้าไปไม่ได้สนใจตัววัดสักเท่าไหร่ 55
-
หลังจากวัดเราก็มาเดินย่านตัวเมือง หาสะพานแดง ข้ามไปก็เป็นย่านเมืองเก่า ;D
-
จริงๆเมืองทาคาย่ามายังมีที่เที่ยวอีก แต่เราไม่มีเวลาแล้ว เพราะว่าวันถัดไปเราก็จะเดินทางไปยังเมืองเกียวโตกันต่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคยเพื่อเดินทางไปเกียวโต ใช้เวลาเดินทางจากทสคาย่ามาไปเกียวโตประมาณ สี่ ชม เรามาถึงเกียวโตประมาณเที่ยง วนหาโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋า และ กลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อไปยังอาราชิยาม่าต่อ หุหุ นั่งรถต่อรถกันสนุกสนาน จากสถานีรถไฟเกียวโตไปอาราชิยาม่า ใช้เวลา 20 นาที
สำหรับใครที่อยากนั่งรถไฟสายโรแมนนติค ก็ต่อรถไฟที่นี้ได้เลย แต่เราไม่ได้ได้นั่ง ตอนแรกว่าจะนั่งแต่เดินมึนคนกันอยู่ในนั้นเลย ไม่ได้ขึ้น ถึงเราไม่นั่งเราก็สามารถเดินเที่ยวจุดต่างๆที่รถไฟวิ่งผ่านได้ เป้าหมายแรกที่เราจะไปคือ สะพาน Togetsukyo จึดนี้ควรมาแต่เช้า เพราะบ่ายย้อนแสงถ่ายอย่างไรก็มืด
-
เราออกจากสะพานก็เดินมาถึงวัดเทนริวจิ ก็ตื่นเต้นกับใบไม้แดงเป็นทิวแถว เดินไม่ถึงวัดสักที่เพราะแวะถ่ายใบไม้แดงกันตลอดทาง 555
-
วัดเทนริวจิเสียค่าเข้า 500 เยน ไม่ได้เข้าวัด เพราะคลื่นมหาชน แล้วกลัว เราถ่ายแค่บริเวณ แถวนั้นก็ประทับใจมากเพราะแดงไปหมด
-
เดินมาเจอป่าไผ่ ก็เจอแต่หัวคน
-
ป่าไผ่ และ กิโมโน คนนี้แบบเต็มรูปแบบแต่ถ่ายมัทัน คนเยอะมาก
-
เราไปต่อกันที่วัด kimkakuji หรือคนไทยเรียกว่า วัดทอง เดิมตามแผนเรา ดูมาว่าต้องขึ้นรถเมล์สาย 204, 205 แต่เราหาที่ขึ้นไม่เจอ ดังนั้น เรา จึงนั่งรถเมล์สาย 11ไปต่ออีกสายแทน ค่ารถต่อเที่ยว 270 เยน แพงจุง แต่ถ้าซื้อเป็นตั๋วรถเมล์รายวัน จะ500 เยน ขึ้นกี่เที่ยวก็ได้
เรามาถึงวัดทองก็ตื่นตาตื่นใจอีกรอบ มันสวยมาก ทางเดินเข้าวัดมองไปทางไหนก็แดงไปหมดเลย
-
ค่าเข้าวัด 600 เยน มีจุดเดียวที่น่าสนใจ คือ ตัววัดทอง ไม่สามารถตั้งขาตั้งได้
-
เดินทางกลับ โดยรถเมล์ หน้าวัด เราเช็คสายรถเมล์จากกูเกิล ไปลงที่สถานีรถไฟเกียวโต ใช้เวลานั่งรถประมาณ 40 นาทีได้ ถ้าเราไม่ได้มีอินเทอร์เนต แนะนำให้หาแผนที่เส้นทางรถเมล์ของเกียวโต เราก็สามารถ รู้ว่าเราจะขึ้นรถเมล์สายอะไรไปลงตรงไหนได้ นถเมล์ผ่านหน้าโรงแรมเลย เราลงก่อนถึงสถานีเกียวโต ใกล้ๆกับห้างใหญ่
เข้าเมืองมาเราก็เดินช๊อปปิ้งกันต่อ และกลับเข้าโรงแรม คืนนี้โรงแรมของเราเป็นแบบเรียวกัง
-
วันนี้เป็นอีกวัน เที่ยวเกียวโต ทั้งวัน เป้าหมายแรกของวันนี้คือ วัดน้ำใส หรือ วัดKiyomizu-dera Temple ค่าเข้า 300 เยน วันนี้เราซื้อบัตรรถเมล์ 500 เยน ตามตำแหน่งวัด วัดนี้จะอยู่ใกล้ สถานีรถไฟเกียวโตมากที่สุด แต่เราคิดว่าวัดนี้เป็นวัดที่คนชอบมา เราจึงเหลี่ยงคนเยอะมาวัดนี้ก่อน ซึ่งพอมาถึงตั้งแต่เช้าคนยังไม่เยอะ ถ่ายรูปสบาย
ลงจากป้ายรถเมล์ข้ามถนน เดินไต่เข่าขึ้นมาเล็กน้อย ประมาณ 500 เมตร
-
Kiyomizu-dera Temple
-
ต่อจากวัดแรกเราไปวัดต่อไป กางแผนที่รถเมล์ ดูว่าต้องนั่งสายไหน สรุปจากวัดน้ำใส ต้องต่อสองต่อ คือนั่งสายอะไรก็ได้ ไปลง ป้าย ชื่อ..... (จำไม่ได้)แต่เราไป เราใช้หลักตืออ่าน ชื่อป้าย จากแผนที่ ได้เลย และ บนรถเมล์จะแจ้งตลอดว่าป้ายต่อไปชื่ออะไร เพราะงั้น ไม่ยาก ลงรถ มาต่อสายห้า
ลงจากวัดเช่นเดิม ข้ามถนน แล้วเดินไต่เขาไปเล็กน้อย วัดต่อไปคือวัด Enkoji
-
มีสวนและป่าไผ่ มาเช้าๆคนยังไม่เยอะ ค่าเข้าวัดนี้ 400 เยน
-
จากตำแหน่งวัด วัด Enkoji วัดนี้จะอยู่บนสุด เราจะเที่ยวลงมา วัดต่อไป คือวัดเงิน Ginkakuji temple นั่งรถเมล์ย้อนลงมาไม่กี่ป้าย มีคนลงเยอะ ลงจากป้ายก็เดินเข้าไปประมาณ สองร้อยเมตร ก็จะถึงตัววัด ราคาเข้าวัด คือ 500 เยน ใบไม้แดงตระการตาอีกเช่นเคย
-
เดินๆ ออกมาจาก ทางวัดเงินจะมีเส้นทางเดินเชื่อมไปยังวัดต่างๆ เรียกว่าทางเดินสายปรัชญา สามารถแวะได้หลายวัด เส้นทางนี้ ช่วงที่ซากุระบาน จะสวยงาม เป็นจุดที่ชมซากุระได้ สวยงามมาก แต่เรามีเป้าหมายที่วัดเอคันโด (Eikando Temple)
เส้นทางนี้ จะมีนักท่องเที่ยวเดินไปหรือเดินย้อนมา ระยะทางประมาณ สองกิโลเมตร ถ้าเราจะไม่เดินเราก็สามารถเดินออกไปขึ้นรถเมล์ ตรงไปยังวัด วัดเอคันโด ได้เลย แต่ถ้าเดิน เราก็จะผ่านร้านขายของ ต่างๆ มีร้านอาหารให้เราแวะชิมไปตลอดทาง
-
เดินมาสุดทาง ก็จะเจอวัด ซึ่งวัดนี้ ใบไม้แดงมากมาย สวยงามมาก แต่คนก็มากมายล้นหลาม ค่าเข้าวัด 1000 เยน มีหลายมุมให้เราเลือกถ่ายรูป แต่คนก็มากมายเช่นเดียวกัน
-
อีกสักหลายมุม
-
มาวัดแต่ไม่ได้เข้าตัววัดเลย 555
-
หลายๆวัด ในเกียวโตจะมีการเปิดไฟ ช่วงตอนเย้น ซึ่งก็จะเสียค่าเข้าชม อีกรอบ ซึ่งดูแล้วพวกเราก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ จึงตัดสินใจกลับเข้าโรงแรม เพื่อไปเดินเล่น ช๊อปปิ้ง ดีกว่า จึงนั่งเมล์มาลงที่สถานีเกียวโต และก็ยแกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย ใครไคร่ช๊อปก็ช๊อป ใครไคร่เข้าห้องพักผ่อน ก็ แยกย้าย กันไป พรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางเข้าโตเกียว แต่เราจะไปเที่ยววัดในเกียวโตอีกสองวัด
เช้าวันต่อมาเราก็นัดกันแต่เช้าอีกเช่นเคย เพราะว่าเราต้องการหลีกคนเยอะ ซึ่งได้ผล วัดแรกที่เราไปวันนี้คือวัดที่มีเสาโทริอิเป็นพันๆต้น คือศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ การเดินทางวันนี้คือนั่งรถไฟมาลงสองสถานี
-
วัดนี้ไม่มีใบไม้แดง
-
นั่งรถไฟย้อนมาสถานีเดียว ก็มาเจอวัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) ค่าเข้าชม 400 เยน คนเยอะมาก ใบไม้แดงสะพรั่งเหมือนๆหลายๆวัด สวยงามไม่แพ้วัดอื่นๆ
-
หลังจากมึนกับคน แล้ว เราเดินทางกลับไปเอากระเป่า เพื่อเดินทางกลับเข้า โตเกียว นั่งรถไฟชินคังเซ้น ประมาณ สอง ชม เราก้มากถึง โตเกียว ปรากฎว่าฝนตก ปรอยๆตลอด มาถึงบ่ายสอง ฝนตกถึง ห้าทุ่มหกทุ่ม โปรแกรมที่เราจะไปวัดอาสะกุสะ และไปขึ้นตึก เพื่อถ่ายแสงไฟนเป็นอันพับไป เราจึงเปลี่ยนแผนไปเดินช๊อปปิ้งที่ห้างที่ตึก โตเกียวสกายทรีแทน และไป ปิดท้ายที่ย่านชินจุกุ
-
เช้าวันใหม่ เราตื่นแต่เช้า เพื่อมาสวน Showa Memorial Park เปิด 9.30 น วันนี้อากาศดีสุดๆ นั่งรถไฟจากโรงแรม มาลงที่สถานี NISHI-TACHIKAWA ค่าเข้าสวน 400 เยน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ในการเดินทาง สวนนี้ มีใบไม้แดง และถ้ามาช่วงซากุระบานก็สามารถชมได้สวยมากเหมือนกัน แต่วันนี้ที่เราสนใจคือมาชมอุโมงค์ต้นกิงโก๊ะ หรือใบแป๊ะก๋วย นั้นเอง พื้นที่บรเวิณสวนค่อนข้างกว้าง เราเช่าจักรยานภายในสวนปั่น โดยราคาค่าเช่าคิดเป็นราย ชม เราเช่าประมาณ 3ชม ราคาประมาณ 300 บาท
-
สวนนี้มีจุดชมใบกิงโก๊ะ สามจุด จุดนี้คือจุดที่สอง ต้นกิงโก๊ะจะสูงกว่าในจุดแรกที่เราชม
-
จุดนี้ คนน้อยมาก แต่ว่า อุโมงค์จะไปยาวมาก เหมือนสองจุดแรก เราเสร็จจากจุดนี้ เราก็ปั่นจักรยานวนๆ ไปยังจุดอื่นๆ
-
กว่าจะเสร็จจากที่สวนนี้ก็บ่ายกว่า ด้วยความที่ต้องนั่งรถเข้าเมืองไปอีก เป็น ชม เราจึงตัดสินใจตัดบางโปรแกรมออกไป เพื่อไปขึ้นตึก world trade center เพื่อไปถ่ายวิวเมืองโตเกียวมุมสุงกันบ้าง
เมื่อเรามาถึงตึก เราขึ้นไปที่ชั้น 40 และเสียค่าขึ้น 650 เยน บนตึกสามารถถ่ายวิวมุมสูงได้ 360 องศา
-
;D :D
-
คืนนี้เราถ่ายแสงสีบนตึกสุงเสร็จ เราก็ตกลงว่าจะกลับเข้าดรงแรมเลย เพื่อพักผ่อน ใครอยากไปเดินเล่นช๊อปแถวที่พักก็ตามใจแต่ละคน ดังนั้นเมื่อถึงแล้วก็แยกย้ายกัน เราก็เดินมาต่อกันที่วัดอาสะกุสะ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่พักของเรา เรามาถึง วัดก็ปิดแล้ว แต่เราก้ยังมา เพราะว่า วัดนี้ ใครมาโตเกียวก็ต้องแวะ ดังนั้นไม่มาไม่ด้าย 555
-
เช้าวันต่อมาเราตื่นแต่เช้าเช่นเดิม เพื่อนั่งรถไฟ ไปดูภูเขาไฟฟูจิ ที่ทะเลสาปคาวากูชิโก๊ะ วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดี แดดเปรี้ยง ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิทั้งวันจากหลายๆมุม
ที่นี้เรา เช่ารถ โดยเราติดต่อจากบริษัทเช่ารถจากที่เมืองไทยมาแล้ว โดย 24 ชม 4950 บาทนั่งได้ 6 คน ราคาเช่ารถจะเปลี่ยนแปลงตามขนาดรถถ้าคนเรามาน้อยกว่านี้เราก็สามารถเลือกรถที่เล็กกว่านี้ได้
ถ้าเราไม่เช่ารถก็จะมีรถเมลืวิ่งลงตามจุดต่างๆของทะเลสาป แต่ว่ารถจะนานๆมาคันหนึ่ง ถ้าเราอยากจะไปหลายจุดก็อาจจะไปไม่ทัน และวันที่เราไป ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์คนค่อนข้างเยอะ รถก็ติดมากเป็นพิเศษ
การขับรถที่เมืองเขาจะขับเหมือนบ้านเราแต่กำหนดความเร็วที่ 50 กม และเราต้องทำใบขับขี่สากลมาจากเมืองไทยถึงจะสามารถรับรถได้
-
ที่พักเราไม่ได้เลือกพักแถวสถานี เพราะในช่วงแรกที่เราวางแผนเราจะออกมาถ่ายดาวในตอนกลางคืน จึงเลือกที่พักใกล้กับทะเลสาป เวลาเดินออกมาถ่ายดาวจะได้ไม่ไกล แต่ถ้าเราเช่ารถเราสามารถเลือกจองโรงแรมแถวสถานีรถไฟก็ได้ เพราะว่าโรงแรมจะราคาถูกกว่าและโรงแรมเยอะมาก แต่โรงแรมที่เราจองมาก็ถือว่าวิวดีมาก ถ้าจะมาชิวไม่ไปหลายๆเลค เราเดินเล่นแถวโรงแรมเราก็จะได้วิวทะเลสาปหลายๆมุมรวมทั้งมุมเงาสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิบนทะเลสาปด้วย แต่เช้าอีกวันเราเลือกที่จะไปถ่ายแสงเช้าและหมอกที่เลคอื่น ทำให้พลาดมุมนี้ไป เสียดายมากเพราะว่าพอไปที่เลคอื่นก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอกหนา
-
อีกสักภาพ
-
เช้าวันถัดมาเราตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาที่ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งคาดการณ์ผิดไปถึงจุดที่เราเลือกมันต่ำกว่าที่ปกติ ทำให้เราไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก เรารอแสงจนกระทั่งเจ็ดโมงเห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเราจึงเคลื่อนยังเป้าหมายถัดไป คือน้ำตก ชิไรโตะ อยู่ไกลจากตัวเลคคาวากูชิโกะ ประมาณ 30กิโลเมตร ถึงระยะทางจะไม่ไกลมากแต่ใช้เวลาขับรถนานเหมือนกันเพราะว่ารถติดมากเหมือนกัน ปกติเราต้องคืนรถตอนสิบโมงเช้า แต่เราคืนรถเรทไปสาม ชม ต้องเสียเงินเพิ่มประมาณ 6000 เยน ได้
-
C:-)
-
เราออกจากน้ำตก เติมน้ำมันจนเต็มสรุปสองวันเราขับรถไป ประมาณ 180 กิโลเมตร เติมน้ำมันไปประมาณ 600 บาท คืนรถเรียบร้อยเราก็รีบไปขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางไปนิกโก้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ หก ชม กว่าเราจะถึงนิกโก้ก็ประมาณสองทุ่มแล้ว โรงแรมที่เราเลือกก็ใกล้กับสถานีรถไฟหลังจากเก็บกระเป๋าแล้วเราก็เดินหาอะไรกินแถวมินิมาทใกล้ๆกับดรงแรม
เช้าวันรุ่งขึ้นเป้นอีกหนึ่งวันที่อากาศดี อากาศหนาวน้อยลงกว่าวันอื่น เราตัดสินใจเช่ารถอีกหนึ่งวัน เพระาว่า ราคาค่าเช่ารถเมื่อคำนวณกับจำนวนเงินที่ต้องเสียให้กับค่าตั๋วรถเมล์ที่นิกโก้แล้วราคาพอๆกัน เราจึงตัดสินใจเช่ารถ โดยการเช่ารถที่นิกโก้เราไม่ได้ติดต่อมาจากเมืองไทย แต่เราเดินเข้าไปที่บริษัทเช่ารถและสอบถามเลย การเดินทางวันนี้จึงสะดวกสบายมากขึ้นไม่เสียเวลารอรถเมล์ แวะตามจุดต่างๆได้มากกว่าแพลนที่วางมา
จุดแรกที่เราไปคือน้ำตก kegon
-
ปกติถ้าจะมาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้ต้องมาประมาณเดือนต้นตุลาคม เรามาเกือบปลาย พย ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว ทำให้นักท่องเที่ยวที่นี้ก็น้อยมาก เราเที่ยวสบายแต่วิวต่างๆความสวยงามก็จะแตกต่างจากช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เราแวะไปเรื่อยๆ การขับรถที่นี้ไม่ยากเพราะถนนมีไม่กี่แยกจะแตกต่างจากที่คาวากูชิ ที่นั้นจะมีถนนหลายเส้นทางมากจะซอกซอยไปได้เยอะกว่า แต่โอกาสหลงก็เยอะกว่าด้วยเช่นกัน หลังจากน้ำตกเคก่อน เราก็ไปต่อที่น้ำตก Ryuzu fall
-
ระหว่างทางผ่าน ทุ่งหญ้า สวยๆ เป็นอีกจุดที่เป็นไฮไลท์เราก็จอดลงไปถ่ายรูป อีก
-
แวะกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน วิวต่างๆเหมาะกับการถ่ายพรีเว็ดดิ้ง คนน้อย ไม่มีหัวคนมาติด อิอิแอบหวาน ;)
-
ที่นิกโก้มีน้ำตกอยู่หลายน้ำตก เรามาแวะอีกหนึ่งน้ำตก เป็นน้ำตกใหญ่หมือนกัน แต่จำชื่อมะได้ ด้านหน้าและด้านบนน้ำตก ทางด้านบนน้ำตกเป็นทะเลสาปเป้นจุดชมวิว ที่สวยอีกจุด
-
ทะเลสาปที่น้ำไหลลงไปเป็นน้ำตก จะมีนก มีเป็ดมา กินปลา เล่นน้ำอยู่เยอะพอสมควร
-
วันรุ่งขึ้น เราแพลนเที่ยวมรดกโลก เราพลาดไปเพราะว่าฝนตกตั้งแต่เช้า เรื่อยมาไม่สามารถไปไหนได้เลย จึงต้องนั่งรถไฟกลับเข้าโตเกียวแทน ขากลับเข้าโตเกียวใช้เวลาไม่นานประมาณ สอง ชม เรามาถึงก็ตรงดิ่งจะไปกินบุพเฟ่ขาปูยัก ตามที่เราอ่านข้อมูลมา ที่ห้างไดมารุตรงสถานีรถไฟโตเกียว ราคาบุพเฟ่ถือว่าไม่แพง แต่พอเข้าไปทาน เราว่ามันไม่อร่อย ปูสู้บ้านเราไม่ได้อาหารอย่างอื่นก็มีไม่เยอะ และก็เย็นๆชืดๆ โดยรวมคือไม่อร่อยไม่แนะนำให้มาทาน
วันนี้เราต้องขึ้นเครื่องกลับแล้ว แต่กว่าจะกลับก็ห้าทุ่ม เราจึงตัดสินใจฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์เพื่อจะได้ไปเดินเที่ยวต่อแบบตัวเบาๆ ซึ่งล็อกเกอร์ฝากของจะมีอยู่ทั่วไปทุกเมือง มีหลายขนาดให้เราเลือกใช้ กระเป๋าของเราใบใหญ่ ค่าเช่า เป้นรายวัน ตก 500 เยน หยอดเหรียญแล้ว ก็ชักกุญแจ ล็อคได้เลย หลังจากนั้นเรานั่งรถไฟไปย่านฮาราจุกุ ถ้าเทียบกับบ้านเราคงคล้ายๆกับสยาม จะมีแต่เด็กวัยรุ่น คนแต่งตัวสวยๆสะเยอะ ย่านนี้จะมีสินค้าแบรนด์เนมอยู่เยอะ เราสนใจร้านรองเท็ าโอนิสึกะ ราคาที่นี้จะถูกว่าบ้านเราครึ่งหนึ่ง ถือว่าถูกมาก เราช๊อปปิ้งจนได้เวลาที่พอควรก็กลับไปเอากระเป๋า และนั่งรถไฟไปสนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับ
ทริปนี้ประทับใจสุดๆ เหนื่อยไปนิดเพราะตื่นเช้าทุกวัน และย้ายที่นอนทุกสองคืน ค่าใช้จ่ายทั้งทริปไม่รวมช๊อปปิ้งอยู่ที่ประมาณ ห้าหมื่นสามพันบาท เที่ยวเต็มๆสิบวัน อิอิจบแล้ว ถ้ามีทริปดีดีจะมาเล่าประสบการณือีกนะจ้า C:-)
-
สวยเนอะ ภาพสวยๆ ทั้งนั้นเลย ข้อมูลจัดเต็มอ่ะ อ่านแล้วอยากตามรอยบ้างจังค่ะ...สักวัน :-*