Touronthai Forum สนทนาประสาเที่ยว
หมวดหมู่ทั่วไป => แบกเป้เที่ยว AEC เรื่องราวท่องเที่ยวต่างแดน => ข้อความที่เริ่มโดย: Pui ที่ ธันวาคม 28, 2012, 02:48:33 PM
-
ลาวเหนือ คือจุดหมายที่เคยตั้งใจจะไปมาหลายปีแล้ว และแล้วก็มาสำฤทธิ์ผลเอาปีนี้ การเดินทางของเรา มีเวลา เพียง 5 วัน ทำให้ทริปนี้ค่อนข้างเหนื่อย เนื่องจาก เราต้องนอนในรถ ถึง 3 คืน คืนแรก พวกเราเลือกนั่งรถทัวร์ ไปลงที่หนองคาย และต่อรถจากสถานี บขส.หนองคาย ไปจุดหมายปลายทางแรกของเราก็ คือ วังเวียง ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม.
จริงๆแล้วเราสามารถมายังวังเวียงได้ โดย นั่งรถมาลงที่หนองคาย และต่อรถจาก บขส.หนองคายเข้าไปยัง สถานีขนส่งสายเหนือในเวียงจันทร์ เพื่อต่อรถไปยัง วังเวียง หรือ นั่งรถทัวร์มาลง ที่ บขส. อุดรธานี และ นั่งรถยาวไปวังเวียงได้เช่นกัน (แต่จริงๆคือรถสายเดียวกันที่มารับผู้โดยสาร ที่ บขส.หนองคาย)
เมื่อมาถึงวังเวียง เราก็จัดการซื้อตั๋วรถทัวร์สำหรับเดินทางไปหลวงพระบางในวันถัดไป เราเลือก รถ VIP (เหมือนรถบัส ป1. บ้านเรานั้นแหละ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชม นอกจากรถบัสแบบนี้การเดินทางไปหลวงพระบางมีรถ มินิแวน ซึ่งราคาจะแพงกว่านิดหน่อย และเดินทางได้เร็วขึ้นอีก 1 ชม
หลังจากจองรถทัวร์เรียบร้อยเราก็เดินหาที่พัก โดยเราได้เตรียมๆชื่อโรงแรมมาแล้วจาก internet แต่ก็กะลองไปเสี่ยงดวงว่าจะมีห้องว่างให้เราพักในคืนนี้ไหม
ริเวอร์วิว บังกะโล คือที่หมายของเรา ด้วยความโชคดีเราไปถึงที่พักค่อนข้างเร็วจึงทำให้เราได้ที่พักในคืนนั้น ในราคาเพียง 500 บาท
-
ที่พักของเราอยู่ติดริมแม่น้ำซอง กิจกรรมเด่นๆ ของที่นี้ คือการ ล่ิองห่วงยาง พายเรือแคนู เพราะฉะนั้นตลอดที่นั่งพักทานอาหาร ก็จะเห็นขบวนเรือแคนูของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ผ่านมาไม่ขาดสาย ถือเป็นสีสันของวังเวียงเลยทีเดียว
-
หลังจากนั่งชิวที่ริมน้ำซอง เราก็เดินเล่นๆกัน จะมีร้านอาหารติดๆกัน แล้วก็สลับกับบ้านเรือน ที่พักอาศัย ซึ่งตัวเมืองวังเวียงก็ถือว่าไม่ใหญ่มาก เดินประมาณ ครึ่ง ชม ก็น่าจะทั่ว
-
ตารางรถโดยสาร
-
ที่วังเวียงจะมีบริการนั่งบอลลูน ให้บริการ สองเวลา คือเช้า และ เย็น โดยราคาหัวละประมาณ 80 เหรียญ พวกเราก็ตั้งใจว่า จะตื่นขึ้นมาเพื่อไปดูเขาปล่อยบอลลูน แต่เอาเข้าจริงตื่นขึ้นมาประมาณ 7 โมง เห็นบอลลูนลอยอยู่ริบๆ กำลังจะลง แล้ว เลยถ่ายรูปไม่ทัน พลาดไปอย่างน่าเสียดาย
เรานั่งชิวๆกันเสพบรรยากาศกันอีกพักใหญ่ ก็เตรียมตัวเดินทางไปหลวงพระบาง ตอน 11.00 น.
อันนี้คือรถ VIP (ค่อนข้างแออัดทีเดียว)
-
เส้นทางการเดินทางจากวังเวียงไปหลวงพระบาง เป็นทางโค้งขึ้นเขาลง เส้นทางขรุขระ เป็นระยะ ด้วยระยะทางแค่ประมาณ 250 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทาง 7 ชม.เต็ม กับสภาพรถที่ไม่สบายเท่ารถทัวร์บ้านเราก็ทำให้เราออกอาการเมื่อยได้เหมือนกัน
หลังจากนั่งรถมา 7 ชม มาลงที่ บขส.เมืองหลวงพระบางเวลาประมาณ 6 โมง โดยเราสามารถจะซื้อตั๋วโดยสารกลับเวียงจันทร์ได้จากที่นี้เลยราคาจะถูกกว่า แต่เนื่องจากพวกเรากังวลกับการไม่มีที่พักแล้วก็หิวข้าวมากจึงตัดสินใจว่าจะไปซื้อตั๋วขากลับภายหลัง พวกเราจึงเรียกรถสามล้อที่พยายามหาลูกค้าอยู่มากมายบริเวณนั้นอยู่แล้ว โดยตอรองราคาแล้วคิดค่าหัวนั่งรถเข้าไปตัวเมืองประมาณคนละ 80 บาท โดยบอกชื่อที่พักที่เราเตรียมๆมาให้กับคนขับสามล้อไป
นั่งรถไปได้ ประมาณ 15 นาที รถสามล้อก็พาเราที่โรงแรมสายน้ำคาน (ดูดีทีเดียวแต่เต็ม :( :() พอสอบถามว่าเต็ม เราจึงต้องรีบหาที่พักแห่งใหม่แข่งกับเวลาที่มืดลงๆเรื่อยๆ แต่ในย่านที่เราเดินอยู่ที่นั้นค่อนข้างจะมีที่พักให้บริการเยอะอยู่ ดังนั้น เมื่อเราเดินแบกเป้ไปไม่ไกล เราก็สามารถหาที่พักสำหรับสองคืนได้
เรือโสภา คือที่พัก ของเรา นอน 3 คน
-
หลังจากเก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงไปเดินเล่น ถนนคนเดินหลวงพระบาง ซึ่งเดินไปไม่ไกลจากที่พัก
จากรูปเส้นนี้เป็นเส้นหลักของเมืองหลวงพระบาง จะมีบริษัททัวร์ ร้านอาหาร ที่พัก อยู่บนถนนเส้นนี้มากมาย ซึ่งเดินไปไม่ไกล
-
ตลาดคนเดินหลวงพระบาง เปิดทุกเย็น ประมาณ 5 โมง เย็น ถึง สี่ทุ่ม
-
เจ้าของกระทู้ขออนุญาตไปเที่ยวก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าต่อค่ะ
-
กลับมาแล้วจ้า
เรามาต่อกันเลยเช้าวันต่อมา เราตกลงกันว่าจะเที่ยววัดต่างๆในตัวหลวงพระบางกัน โดยพาหนะที่เราเล็งไว้คือจักรยาน เราเช่าจากที่พักของเราเลย โดยราคาค่าเช่าต่อวัน อยู่ที่ 50 บาท แต่ถ้าเป็นร้านให้เช่าจักรยานทั่วไปราคาค่าเช่าต่อวันจะอยู่ที่ 80 บาท เมื่อได้จักรยานคู่ใจกันคนละคันแล้ว เราก็ถีบมายังถนนสายหลักของหลวงพระบาง เพื่อจะไปซื้อตั๋วโดยสารกลับไปเวียงจันทร์ เราเขากันอยู่หลายเจ้า ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไม่มากแล้วแต่ต่อรอง ซึ่งรถจะมีให้เลือกเป็นรถ VIP นั่ง และ รถนอน (ย้ำเป็นรถนอนจริงๆควรเดินทางเป็นคู่ เนื่องจากถ้ามาเดี่ยวเราจะต้องไปนอนกับใครไม่รู้ซึ่งเนื้อชนเนื้อแน่นอน )
หลังจากจัดการธุระต่างๆเรียบร้อย เราก็จัดการกางแผนที่แล้วดูว่า วัดที่เราจะไปอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ปั่นๆ
ปั่นยังไม่ทันเมื่อยก็มาเจอ พิพิธภัณฑ์สถานหลวงพระบาง ค่าเข้า 120 บาท แต่พวกเราไม่ได้เข้าไป เพียงแต่วนถ่ายรูปอยู่ด้านนอกเท่านั้น
-
บริเวณพิพิธภัณฑ์
มีที่สำหรับจอดจักยานด้วย การจอดจักรยานที่นี้ต้องล็อคกุญแจด้วย คาดว่าคงจะมีผู้ไม่หวังดีมาถีบจักรยานหายไปได้ จึงต้องล็อคกุญแจทุกครั้งที่จอด ;D ;D
-
หลังจากวนรอบๆพิพิธภัณฑ์แล้ว เราก็ไปต่อที่วัดพระธาตพูสี ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์
วัดพระธาตุพูสีตั้งอยู่บนยอดเขา กว่าจะเดินขึ้นไปถึงก็เสียเหงื่อกันบ้างเล็กน้อย :o :o
-
เสียค่าเข้าวัด 80 บาท บนนั้นจะมีพระธาตุ และ โบสถ์ ซึ่งตั้งองค์พระประทานให้เราเข้าไปกราบสักการะ
-
บริเวณวัดไม่กว้างมากนัก แต่จุดเด่นคือ สามารถมองเห็นวิวเมืองหลวงพระบางได้ จะเห็นทั้งแม่น้ำคาน และแม่น้ำโขง
นอกจากนี้ สามารถมาชมพระอาทิตย์ตก ที่วัดนี้ได้เช่นกัน
-
แม่น้ำคาน มองจากวัดพระธาตุพูสี
-
หลังจากชมวิว (จริงๆอยากพักเหนื่อยที่ปีนเขาขึ้นมา :P :P) เราก็ ไป ต่อกันที่วัดใหม่ ซึ่งตั้งอยู่แยกถัดจาก พิพิธภัณฑ์ นั้นเอง
-
วัดใหม่ สุวรรณภูมาราม เสียค่าเข้าวัดเพื่อบำรุงวัด 40 บาท
-
ข้างๆวัดใหม่ เป็นตลาดเช้าของหลวงพระบาง เปิดตั้งแต่เช้าจนเกือบสิบเอ็ดโมง
พวกเราปั่นลุยเข้าไป รู้สึกได้บรรยากาศ ตลาดจริงๆ ;D ;D
-
ทริปนี้เราพลาดการมาใส่บาตรข้าวเหนียว เพราะว่า ต่างคนต่างไม่ยอมตื่น แต่ก็สอบถามว่าเขาใส่กันที่ไหน ก็คือใส่ประมาณ 6 โมงเช้า บนถนนสายหลักของหลวงพระบาง :o
ตลาดเช้าที่เราปั่นเข้าไปลุยมานั้นจะมาทะลุกับถนนอีกด้าน โดย ถนนเส้นนี้ จะเลาะแม่น้ำโขง จะมีท่าเรือ และ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ตั้งอยู่มากมายเช่นกัน
เราปั่นไปเรื่อยๆ ก็เจอท่าเรือ จึงเข้าไปสอบถามราคาเพื่อ ต้องการจะล่องเรือไปถ้ำติ่ง และ หมู่บ้านต้มเหล้า ได้ความว่า ค่าเรือไปถ้ำติ่งคิดคนละ 80 บาท แต่ต้องมาตอนเช้า เป็นเรือเมล์ ถ้าจะไปตอนนี้ต้องเหมา
ลำละ 1600 บาท สุดท้าย เราก็หาคนมาช่วยแชร์ค่าเรือได้ และนัดเวลา ลงเรือตอนบ่ายสอง
ท่าเรือที่เราลงเรือ
-
เรายังมีเวลาพอที่จะไปเที่ยววัดกันได้อีก เรา จึงปั่นๆ กัน ไปเจอวัด ระหว่างทางหลายวัด
-
นี้ก็อีกวัด
-
หลังจากเข้าวัดนู้นออกวัดนี้ ก็มาถึงจุดหมายของเรานั้น คือวัดเชียงทอง
เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบาง
-
ประตูโบสถ์ ลายสวยมาก
-
ค่าเข้าชมวัดเชียงทอง 80 บาท รู้สึกคุ้มค่าที่สุด กว่าทุกวัด เพราะมีอะไรให้เราดูมากกว่าทุกวัด ;D
หลังจากเที่ยววัดกันเสร็จแล้ว เราก็ไปหาอะไรทานก่อนจะต้องไปลงเรือ โดย เวลารวมทั้งหมด ใช้เวลา ประมาณ 4 ชม.
อาหารจานหลักของที่นี้ คือเฝอ ซึ่ง ราคาต่อชามก็จะอยู่ที่ประมาณ 80 บาท นอกจากเฝอ ก็จะมีร้านอาหารประเภท พิซซ่า สปาเก็ตตี้ ทำนองนี้เยอะอยู่
หลังจากอิ่มทองแล้วเราก็ปั่นมาที่ท่าเรือเพื่อลงเรือตามที่นัดกันไหว
เรือที่เราเหมานั้นลำค่อนข้างใหญ่ ถ้าเรามากัน สิบคน ก็สามารถไปได้หมด ซึ่งก็จะหารค่าเรือต่อหัวถูกลงไปอีก
เมื่อเรือออกจากท่า ระหว่างทางก็จะเห็น วิถีชิวิตของคน มีทั้งมาอาบน้ำ จับปลา กันตลอดเส้นทาง
-
จับปลา
-
บรรยากาศขณะที่นั่งในเรือชมวิว ไปเรื่อยๆ ลมเย็นๆ นั่งเพลินๆก็หลับกันได้ทีเดียวเพราะลมเย็นพัดตลอด
หลังจากนั่งเรือมาได้ประมาณ หนึ่ง ชม. เรือก็มาจอดที่ หมู่บ้านต้มเหล้า หรือหมู่บ้านซ่างไห
หมู่บ้านที่นี้เป็นหมู่บ้านที่ทำอาชีพต้มเหล้า และ ทอผ้า
ดังนั้นเมื่อเราขึ้นไปก็จะเจอร้านผ้าทอ ตลอดเส้นทาง ซึ่งผ้าทอที่นี้บางชนิดก็ไม่มีขายที่ตลาดคนเดินหลวงพระบาง พวกเราจึงได้ผ้ามาเป็นของฝากจากหมู่บ้านแห่งนี้
หลังจากเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อผ้า เป็นของฝากแล้ว จุดหมายต่อมา คือ การต้มเหล้า จึงได้สอบถามไปยังชาวบ้านว่าเขาต้มกันที่ไหน ได้คำตอบมาที่ทำให้เราผิดหวังเป็นอย่างมาก คือ เขาต้มกันตอนเช้าไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีบ้านไหนต้มแล้ว :'( :'(
-
หลังจากผิดหวังไม่ได้ดูการต้มเหล้า ก็มาลงเรือซึ่งต้องนั่งไปอีกประมาณ 20 นาที ถึงจะถึงจุดหมายของเราอีกหนึ่งที่ คือ ถ้ำติ่ง
ถ้ำติ่งเสียค่าเข้าชม 80 บาท (อีกแล้ว)
-
ถ้ำติ่ง 80 บาท มีแค่นี้แหละ :'( :'(
-
ถ้ำติ่ง ที่เราเห็นในภาพ เป็นถ้ำล่าง ยังมีถ้ำบน อีกถ้ำ ซึ่งเราเห็นว่า จะต้องปีนขึ้นไปดู ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นไปด้านข้าง พอหอบๆ นิดหน่อย แต่สิ่งที่เราไปเห็นก็คือปากถ้ำและถ้าต้องการจะเข้าไปก็ต้องจ่ายเงินค่าบำรุงสถานที่อีกเช่นเคย เราจึงด้อมๆมองๆจากด้านหน้าแล้วตัดสินใจไม่เข้าดีกว่าเพราะท่าทางจะไม่มีอะไร (อันนี้ความคิด ใครที่อยากรู้ว่ามีอะไรต้องลองไปดูค่ะ)
หลังจากผิดหวังเล็กน้อยจากถ้ำติ่งแล้ว เราก็นั่งเรือกลับ ซึ่งเป็นเวลาเย็นๆใกล้พระอาทิตย์จะตกพอดี เราจึงได้ชื่นชมกับวิวงามๆกลางแม่น้ำโขงของพระอาทิตย์ตกพอดี
-
พระอาทิตย์ตกไปแล้วเหลือแต่ฟ้าบลูๆ บรรยากาศ ดูเหงา ๆ
-
ขึ้นจากเรือ เราก็ ปั่นจักยาน จากท่าเรือไปตลาดคนเดิน ซึ่งห้ามรถผ่านแล้ว เราก็ต้องปั่นอ้อมไปอีกทาง
เราต้องเสียค่าฝากรถจักรยานตอนไปถ้ำติ่งอีกคันละ 20 บาท จากการที่เที่ยวในตัวเมืองหลวงพระบางมาแล้วทั้งวัน แล้วสรุปได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเช่าจักรยานก็ได้ เพราะ เราสามารถเดินเรื่อยๆเข้าวัดนู้นออกวัดนี้ ได้ในระยะทางไม่ไกลมาก เมื่อเราไปจอดรถเราก็ทำการสอบถามรถตุ๊กๆว่าถ้าจะเหมาไป เที่ยวน้ำตก ในวันพรุ่งนี้คิดอย่างไร ได้คำตอบมาว่า 1200 บาท ไปเที่ยวน้ำตกตาดทองและน้ำตกตาดแส ถ้า จะไปน้ำตกตาดกวางสีด้วย เพิ่มอีก 1000 บาท เราต่อรองราคากัน ได้ ที่ราคา 1000 บาท เที่ยวสองน้ำตก ถ้าเรามีเพื่อนมา 6 คน จะพอดีมากเพราะ สามารภหารกันต่อหัวแล้วจะไม่กี่บาท อยากไปน้ำตกตาดกวางสีด้วย แต่สู้ค่ารถไม่ไหวด้วยพวกเราไปแค่สามคนเท่านั้นจึงไปได้แค่นี้ :'( :'(
หลวงพระบางมีทัวร์เป็นวันเดย์ทริปไปสถานที่เหล่านี้ ด้วย โดยจากการสอบถาม จะตกประมาณ ทริปละ 400-700 ต่อคนต่อทริป ซึ่งถ้าเราไปกันหลายคน เราสามารถเหมารถไปเที่ยวได้เองในราคาที่ถูกกว่ามาก
ลืมบอกไปว่า เที่ยวถ้ำติ่ง กับหมู่บ้านซ่างไห สามารถไปทางรถได้เหมือนกันแต่ทางจะทุรกันดารเป็นฝุ่นแดงๆ ตลอดเส้นทาง แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าการนั่งเรือไป
-
เช้าวันถัดมา จากการพลาดการใส่บาตรข้าวเหนี่ยวอีกหนึ่งวัน :-X เรานัดรถให้มารับเราประมาณ 9 โมงเช้า ที่โรงแรม
รถมาตรงเวลาเปะ พาเราไปยังจุดหมายแรกของเราคือน้ำตกตาดทอง ระยะทางจากตัวเมืองหลวงพระบางประมาณ 6 กฺโลเมตร โดยที่ความตั้งใจแรกของเราอยากจะปั่นจักรยานมาเองมาก ด้วยเห็นว่าระยะทางไม่ไกลมาก แต่ทีมงานที่มาด้วยกันบอกว่าไม่ไหว เราจึงเหมารถมาเที่ยวกันแทน
รถมาถึงน้ำตกเลย เดินไม่กี่เมตร เราก็เห็นน้ำตกตาดทอง ชั้นแรก เบื้องหน้า
-
เดินเข้าไปๆ จากการสอบถามไม่ไกลมาก จะมีน้ำตกอีก หนึ่งชั้น ให้เราเห็น เราจึงเดินเข้าไปเรื่อย
-
เดินกันพอเหงื่อซึมๆเราก็มาถึงชั้นสุดท้ายของน้ำตกตาดทอง
ค่าเข้าชมน้ำตกตาดทอง คนละ 80 บาท
-
เสร็จจากน้ำตกตาดทองเราก็ไปต่อที่น้ำตก ตาดแส นั่งรถจากน้ำตกตาดทองมาประมาณ ครึ่ง ชม ก็มาถึงจุดหมายของเรา ซึ่งตอนแรกเราก็งง ว่าไหน คือทางไปลงน้ำตก เพราะว่า ไปถึงก็คือมีแม่น้ำคาน อยู่ตรงหน้า ซึ่งเราได้คำตอบจากนั้นคือเราต้องนั่งเรือเข้าไป โดยเสียค่าเรือคนละ 40 บาท นั่งไปประมาณ 5 นาที
-
เมื่อมาถึงเดินไปอีไม่ไกล ก็ถึงเวลาจ่ายค่าเข้าชม โดยน้ำตกตาดแสเสียค่า เข้า คนละ 60 บาท
จุดเด่นของน้ำตกที่นี้คือเราสามารถนั่งช้างไปลงน้ำตกได้โดยเสียค่านั่งช้างประมาณ 400 บาทต่อคน
-
เดินมาถึงตัวน้ำตก ภาพแรกที่เห็นรู้สึกเลยว่าน้ำตกที่นี้ สวยมาก มีกิจกรรมให้ นักท่องเที่ยว นั่งช้างลงน้ำตก มีกิจกรรมโรยตัวผ่านน้ำตก ซึ่งชาวต่างชาติค่อนข้างให้ความนิยม
ลักษณะน้ำตกที่นี้น่าจะเป็นน้ำตกหินปูน คล้ายๆกับน้ำตกเอราวัณบ้าน เราเหมือนกันนะ
-
เท่าที่นั่งดูเพลินๆ ช้างที่นี้ค่อนข้างขี้เล่น เพราะมักจะฉีดน้ำพ่นใส่นักท่องเที่ยวที่เดินอยู่หรือนักท่องเที่ยวที่นั่งบนหลังช้างด้วย ดูแล้วก็ตลกดี เห็นถึงความน่ารักของช้าง
น้ำตกตาดแสเป็นน้ำตกที่ไม่สูงแต่มีอาณาเขตที่ค่อนข้างกว้าง
-
น้ำตกตาดแส
-
ตาดแส อีกหนึ่งชั้น
-
เราอยู่ที่นี้เป็นเวลานาน จนสมควรแก่เวลากลับ เราจึงเดินออกมาทางเดิม แวะให้อาหารช้าง 40 บาท แล้วก็นั่งเรือกลับ ไปยังรถจ้างที่เราเหมามา
-
เรานั่งรถกลับมาที่โรงแรมเป็นเวลบ่ายกว่าแล้ว จึงตัดสินใจ เดินชมเมืองหลวงพระบางอีกรอบก่อนจะต้องนั่งรถโดยสารกลับไปเวียงจันทร์ตอนหัวค่ำวันนี้
เราเดินไปเรื่อยๆเลาะริมแม่น้ำโขง แวะเติมพลังกันที่ร้านอาหารริมโขง เราใช้เวลาที่ร้านนี้ค่อนข้างนานเพราะ ร้านอาหารบริเวณนี้จะมีwifi ให้เราเล่นฟรี หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็เดินดูนู้นดูนี้ ไปจนใกล้เวลาเย็นแล้วจึงตัดสินใจเดินกลับโรงแรม เพื่อขอทางโรงแรมอาบน้ำ ซึ่งทางโรงแรมก็ใจดีมาก ให้เราอาบน้ำ เล่นอินเตอร์เน็ต กันตลอด อีกทั้งยังยิ้มแย้มแจ่มใสไม่แสดงอาการไม่พอใจให้เรารู้สึกไม่ดีด้วย เราจึงทริปให้น้องเขาไป 50 บาท น้องเขาดีใจมาก
หลังจากทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ก็มีรถสองแถวมารับเราไปส่งเพื่อไปยังสถานีขนส่งเมื่อวันที่เรามาถึงหลวงพระบาง โดยเที่ยวรถที่เราเดินทาง คือเที่ยวสองทุ่ม
เมื่อมาถึงเห็นรถจอดรออยู่แล้ว ดูจากสภาพรถแล้วถือว่าดูดีพอสมควร
-
ภายในรถนอน มาคนเดียวอาจจะได้เพื่อนกลับไป :o :o
-
รถนอน นี้มีสองชั้น ค่อนข้างแออัดเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี พอถึง สองทุ่มตรง รถก็ยังไม่ออก แชคดีที่ไม่เลทไปมากนัก
เราใช้เวลาอยู่บนรถนอนคันนี้ ถึง เจ็ดโมงเช้าอีกหนึ่งวันซึ่งก็พาเรามาถึงเวียงจันทร์ เมืองหลวงของประเทศลาว
เมื่อรถมาถึงสถานีขนส่งของเวียงจันทร์ เราก็เข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตา หลังจากนั้นเราก็ตกลงเหมารถเที่ยว เวียงจันทร์ โดยสถานที่เราจะไปมี สามที่ด้วยกัน ตกลงราคากันได้ที่ 800 บาท
โดยจุดแรกเราไปวัดพระธาตุหลวง
-
วัดพระธาตุหลวงเสียค่าเข้า คนละ 20 บาท (ถูกกว่าที่หลวงพระบางมาก)
บริเวณรอบๆพระธาตหลวง
-
หลังจากเดินรอบพระธาตุแล้ว เราก็นั่งรถไปต่อที่ประตูชัย
จริงๆแล้วเราสามารถ เดินจากวัดพระธาตุหลวงมาที่ประตุชัยได้ แต่ก็จะไกลนิดหนึ่ง แต่ก็สามารถเดินได้สำหรับใครที่ไม่อยากนั่งรถ
-
ประตูชัย จะเสียค่าขึ้นไปดูวิวเมืองเวียงจันทร์ได้จากด้านบนของ ประตูชัย 20 บาท แต่พวกเรา ไม่ขึ้นเนื่องจากไม่อยากเหนื่อย อิอิ
-
จุดต่อไปที่เราจะไปคือพิพิธภัณฑ์ ของที่นี้ ซึ่งเสียค่าเข้าชมเช่นกัน
ลักษณะภายนอกของที่นี้คล้ายเป็นวัด แต่ด้านในมีของเก่าตั้งอยู่ในตู้ และห้ามถ่ายรูปด้านใน เราจึงเก็บรูปมาได้เพียงรอบๆเท่านั้น
-
หลังจากเดินดูภายในพิพิธภัณฑ์แล้วนั้น เราก็ข้ามถนน ไปยัง วัดพระเขี้ยวแก้ว
ซึ่งเขาบอกว่าเป็นวัดประจำเมือง ของที่นี้ ซึ่งลักษณะวัดก็จะคล้ายๆกันหมด เสียค่าเข้าชมเหมือนเดิม จำราคาไม่ได้ แต่ราคาเข้าชมสถานที่จะไม่แพงเหมือนที่หลวงพระบาง
-
วัดนี้ถือเป็นจุดสุดท้ายที่เราจะเที่ยวในเวียงจันทร์แล้ว จริงๆถ้ามีเวลามากกว่านี้ ในเวียงจันทร์ยังมีจุดน่าสนใจอีกสองที่ แต่ด้วยเวลา ที่เรามีนั้นไม่สามารถจะไปได้เนื่องจากอยู่ไกลออกไปจากตัวเมือง
ดังนั้นเราจึงให้รถที่เหมาไปส่งที่สะพานมิตรภาพไทยลาว ซึ่งเราก็ไม่ลืมที่จะรวบรวมเงินกีบที่เหลืออยู่มาใช้ซื้อของที่ดิวตีฟรี เมืองวาวกันก่อนจะข้ามกลับไปเมืองไทย หลังจากช๊อปปิ้งกันเรียบร้อยแล้วเราก็โดยสารรถเมล์ ข้ามไปยังฝั่งไทย โดยค่าโดยสารคนละ 20 บาท
เป็นอันว่าจบทริปวังเวียงหลวงพระบาง เวียงจันทร์เมื่อเรามาถึงฝั่งไทยเรียบร้อย โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่า ค่าที่พัก ค่ารถ ราคาไม่สูง แต่ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆนั้นถือว่าค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้ดู แล้วก็คิดว่า เมืองไทยของเรามีสถานที่ที่สวยงามให้ชมมากมาย นอกจากนี้อาหารการกินก็ดูเหมือนว่าบ้านเราจะอร่อยกว่ากันเยอะ เมื่อคิดได้ดังนั้น เราจึงไปหาของอร่อยมีชื่อของเมืองหนองคายกินกันก่อนจะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพ ในคืนนั้น
ขอบขอบพระคุณที่ติดตามกันนะค่ะ ;D ;D
-
เรายังมีเวลาพอที่จะไปเที่ยววัดกันได้อีก เรา จึงปั่นๆ กัน ไปเจอวัด ระหว่างทางหลายวัด
เที่ยวได้เยอะมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จะได้ไปเที่ยวแบบนี้บ้าง
-
สุดยอดเรื่องเล่าจากต่างแดน ข้อมูลและภาพครบเครื่องสะใจคนอ่าน ยินดีด้วยที่ได้เลื่อนเป็น jr member ต่อไปเขียนกระทู้ไม่ต้องรออนุมัติแล้วจ้า :D