ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอยพ่อหลวง (ท่าตอน-อ่างขาง)  (อ่าน 14769 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Tamroyporluang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
  • คะแนน: +0/-0
ปลูกต้นซากุระญี่ปุ่น...ตื่นตากับสวนดอกไม้
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 03:31:26 PM »
การเดินทางมา ณ ดอยอ่างขางยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้  รวมถึงการปลูกต้นซากุระญี่ปุ่น กิจกรรมช่วงบ่ายสำหรับวันนี้

                ต้นซากุระญี่ปุ่น  ต้องใช้เวลาเพาะเมล็ดถึง 10 ปีกว่าจะเจริญเติบโตเป็นต้นซากุระออกดอกสีสวยให้พวกเราได้ชมกัน  และในวันนี้พวกเราก็ได้มีโอกาสมาปลูกต้นซากุระญี่ปุ่นที่จะแบ่งบานในประเทศ ไทยแล้ว  ถึงแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลานานเสียหน่อย แต่มันก็คุ้มค่ากับการรอคอย ถ้าเราจะได้เห็นต้นซากุระที่ปลูกกับมือของเราเอง  กิจกรรมการปลูกต้นซากุระนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมต้นซากุระ และขุดหลุมให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว  เหลือแค่เอามันลงดินก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์  ต้นซากุระที่ออกดอกนั้นจะมีสีขาว ถึงชมพูอ่อน-เข้มแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ซึ่งฉันเคยไปเห็นที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วมันจะมีกลีบดอกขึ้นซ้อนกัน และมีความบอบบางมาก   กลิ่นของมันจะหอมอ่อนๆ มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่น และอีก 9 ปีข้างหน้า ฉันจะเดินทางกลับมาดูต้นซากุระที่ฉันปลูกกับมือนี้อีกครั้งหนึ่งว่ามันจะ เป็นอย่างไร
                หลังจากนั้นก็เดินทางไปเยี่ยมชมแปลงสาธิตการจัดสวน  บนพื้นที่ 1.5 ไร่จะเน้นคอนเซ็ปต์ของ ทุ่งลาเวนเดอร์  ซึ่งเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์อื่นนั้นจะไม่ค่อยออกดอกเท่ากับ 7 สายพันธุ์ที่ปลูกอยู่ ณ ดอยอ่างขางปัจจุบันนี้

                ดอกลาเวนเดอร์นั้นจะมีลักษณะเป็นช่อชูขึ้นมาและมีกลีบสีม่วงเข้ม สำหรับการขยายพันธุ์นั้นจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ การปักชำ และการเพาะเมล็ด

                 ต้นลาเวนเดอร์ที่เกิดจากการเพาะเมล็ดนั้น จะใช้เวลา 6 เดือนถึงจะออกดอก  แต่ถ้าเป็นการปักชำจะใช้เวลา 3 – 4 เดือน ซึ่งในแปลงลาเวนเดอร์ที่เห็นนั้นเพิ่งปลูกเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา  และจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม และเจ้าหน้ายังแนะนำอีกว่า การที่เราจะสัมผัสได้ว่าดอกลาเวนเดอร์จะหอมหรือไม่หอม ใช้วิธีการ ‘ต้นลูบแล้วหอม’ โดยการใช้มือรูดต้นและดม ซึ่งกลิ่นที่ได้ติดมือมาคือ กลิ่นหอมจากต้นลาเวนเดอร์  มันหอมเสียจนฉันอยากจะเด็ดต้นมาลูบไปตัวเลย  เจ้าหน้าที่บอกว่าต้นลาเวนเดอร์นำเข้ามาจากประเทศนิวซีแลนด์และ อังกฤษ                สำหรับในแปลงที่เห็นนี้มีทั้งหมดแปดพันกว่าต้น  นับว่าเป็นการปลูกต้นลาเวนเดอร์ที่เยอะมากที่สุดในประเทศไทยจริงๆ
                  บริเวณรอบๆแปลงสาธิตนี้ยังมีดอกไม้ชนิดอื่นที่ปลูกไว้ด้วย เช่น ดอกไอซ์แลนด์ป็อปปี้, ต้นเคอรี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าไว้ใช้สำหรับทำเป็นผงกะหรี่ไว้ปรุงอาหารได้, ,ดอกแคลิฟอร์เนียป็อปปี้ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรือนกุหลาบแปลงทดลองอีก ด้วย  ซึ่งมีกุหลาบมากมายหลายสายพันธุ์ ออกดอกสีสวยเต็มไปหมด นอกจากจะปลูกกุหลาบไว้ทดลองแล้ว ยังปลูกกุหลาบไว้ตัดขายอีกด้วย  ภายในโรงเรือนนั้นค่อนข้างมีความชื้นมากพอสมควร โดยการพ่นสเปรย์น้ำอัตโนมัติ ซึ่งจะมีเวลาติดไว้ด้านหน้าโรงเรือนว่าจะฉีดน้ำเวลาใดบ้าง
                 หลังจากนั้นก็เดินข้ามฝั่งไปยังโรงเรือนไม้ในร่ม ซึ่งภายในนอกจะรวบรวมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่สามารถปลูกในร่วมไว้จำนวนมาก  เช่น กล้วยไม้ , ต้นฟุกเชีย หรือโคมญี่ปุ่น มีทั้งหมด 23 ชนิด ,ดอกท้อ , ดอกเบิร์ดออฟพาราไดซ์ , ดอกไอวี่ , ดอกวินเอร์เชอรี่  ฯลฯ  เจ้าหน้าที่บอกว่า ถึงแม้ว่าในโรงเรือนและแปลงจัดสวนจะมีปัญหาเกี่ยวกับแมลงค่อนข้างมาก แต่จะไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง  เพราะ ถึงแม้ว่าจะต้นไม้ที่ปลูกจะออกดอกเพียงอย่างเดียว แต่ที่นี่ก็คำนึงถึงเรื่องการสูดดมก็อาจจะมีผลต่อร่างกายได้  และต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่ฉันรู้สึกชื่นชอบ คือ ต้นสนหอม ใช้ลักษณะการลูบต้นเหมือนต้นลาเวนเดอร์ กลิ่นที่ได้จะมีลักษณะคล้ายกลิ่นตะไคร้หอม

ภายในโรงเรือนนอกจากจะจัดตกแต่งแบบสวนแล้ว ยังตกแต่งสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกับจิบกาแฟดอยคำที่มีบริการไว้ข้างๆอีกด้วย  สำหรับโรงเรือนแห่งนี้ยังมีผลิตผลจากโครงการหลวงไว้จำหน่ายด้วย เช่น ผลสตรอเบอรี่สด  สตรอเบอรี่อบแห้ง  ไวน์ เป็นต้น ก่อนที่จะเดินทางกันต่อฉันเหลือบไปเห็นเจ้าผีเสื้อกลางคืน และอดที่จะตะลึงกับมันไม่ได้ เพราะมันมีขนาดใหญ่มาก ไม่เคยพบมาก่อน  มันนอนสงบนิ่งอยู่บนต้นไม้ และไม่พลาดที่จะเก็บรูปมันไว้เป็นที่ระลึก

                การได้มาเห็นธรรมชาติอันสวยงามที่มีอยู่จริงบนดอยอ่างขางแห่งนี้ นอกจากจะทำให้ฉันได้ใช้ประสาทสัมผัสทางการมองเห็น การสูดดม และการสัมผัสแล้ว ยังได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้ฉันตั้งใจไว้ว่าจะ ต้องกลับมาที่นี่ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง

ออฟไลน์ Tamroyporluang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
  • คะแนน: +0/-0
                เมื่อ ประตูเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์ จะเจอลานกลางบ้านที่ต้อนรับทุกคนเข้ามา เจ้าหน้าที่บอกว่าสังเกตพื้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้มีการขัดมันให้เงา งาม หรือปูกระเบื้อง เนื่องจากต้องการให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของชาวบ้าน โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้เป็นพื้นที่ที่มีชีวิต หรือ Living Sight Museum ซึ่ง ไม่เฉพาะในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น  เราก็สามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมในชุมชนได้ ภายในแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ห้อง ดังนี้
 

                1.ห้องเกริ่นนำ  บอกเล่านิยาม และความเฉพาะตัวของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้  ที่ต้องการให้การเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดไว้แค่ภายในตัวอาคาร

                ห้องแรก คือ ห้องชีวิตชายขอบ  ได้จำลองมาจากสถานทูตจีน  ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านยางแห่งนี้  ในระยะแรกชาวจีนยูนนานนิยมสร้างบ้านที่มีระเบียบของฝาผนัง ซึ่งเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวจีน ส่วนวัตถุที่จัดแสดงอยู่นั้นก็มาจากประเทศจีน เช่น อานม้า อานล่อ  ถูกนำเข้ามาเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว  , กา 4 ใบเป็นภาชนะสำหรับชาวมุสลิม ไว้สำหรับชำระร่างกายก่อนละหมาด รวมไปถึงไหไว้สำหรับหมักดอง และกระทะทองเหลืองโบราณด้วย

               2.ลานอเนกประสงค์  พื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม  การแสดง  หรือนิทรรศการกลางแจ้ง  ซึ่งจัดให้มีหมุนเวียนสลับกันไปตลอดทั้งปี

                3.กำเนิดโครงการหลวง  แสดงพระราชวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการพัฒนาภาคเหนืออย่างยั่งยืน และเรื่องราวของโครงการหลวง ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีที่นานาชาติยกย่อง

                ในส่วนนี้จะเริ่มบอกเล่าถึงความเป็นมาของโครงการหลวง  เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เสด็จเยือน ณ หมู่บ้านของชาวเขา พร้อมกับร่วมรับประทานอาหารกับชาวไทย – ภูเขา เพื่อให้พวกเขาวางใจในพระองค์ท่านเสียก่อน หลังจากนั้นมีผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งชวนพระองค์ไปเที่ยวที่บ้าน พร้อมกับรินเหล้าถวายพระองค์ แต่ใช้แก้วค่อนข้างจะมีคราบสกปรก หม่อมเจ้าภีศเดช รัศนีทรงเป็นห่วงและให้พระองค์ทรงแกล้งดื่ม แต่เหล้าจริงหม่อมเจ้าภีศเดชจะดื่มเอง  แต่สุดท้ายแล้วพระเจ้าอยู่หัวก็เสวยด้วยพระองค์เอง พร้อมกับตรัสกับหม่อมเจ้าภีศเดชว่า ไม่เป็นไร เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้เชื้อโรคตายหมด  ซึ่งเป็นเรื่องเล่าจากหม่อมเจ้าภีศเดช  หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงสำรวจพื้นที่ด้วยพระองค์เองจนไปเจอท้อพันธุ์พื้น เมือง และนำท้อจากต่างประเทศมาปลูก และทรงริเริ่มนำพืชเมืองหนาวมาปลูกแทนฝิ่น  รวมถึงการปลูกถั่วเหลืองด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพระราชทานสัตว์เลี้ยง เช่น หมู แกะ ไก่ ฯลฯ ซึ่งต้องพระราชทานเป็นคู่ เพื่อให้ขยายพันธุ์เป็นอาหารให้แก่ชาวไทย – ภูเขาต่อไป  ส่วนหมูนั้นมีความสำคัญกับชาวไทย – ภูเขาอย่างมากในยุคนั้น เพราะเขาใช้หมูสำหรับการเซ่นไหว้ และใช้สำหรับขอสาวในการแต่งงานด้วย  และนอกจากนี้ยังจัดแสดงถึงการพระราชทานความช่วยเหลือในด้านคุณภาพชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม และภายในนิทรรศการยังแสดงถึงพระราชวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาแบบรอบด้าน และยั่งยืนด้วย

              รวมถึงการสรุปความจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนีที่ว่า ‘ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก’ ช่วยชาวเขา หมายถึง ช่วยชาวเขาให้เลิกจากการปลูกฝิ่น และไม่ตัดไม้ทำลายป่า ช่วยชาวเรา หมายถึง เมื่อชาวเขาไม่ตัดไม้ทำลายป่า ชาวเราก็มีต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ ช่วยชาวโลก     หมาย ถึง เมื่อชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น ไม่มีปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากยาเสพติด  จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ที่ทรงเริ่มจาการช่วยชนกลุ่มน้อย และผลที่ได้รับ คือ ชาวเรา และชาวโลกนั่นเอง

                นอกจากนี้ภายในห้องจัดแสดงยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมชาวไทย – ภูเขาอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของโครงการหลวง

            4.กำเนิดโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ ๑ (ฝาง) แสดง วิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว  ในการต่อยอดโครงการหลวง  ด้วยการตั้งโรงงานหลวงฯ ที่ ๑ (ฝาง)  ทั้งทรงให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรและงานพัฒนาชุมชนในพื้นที่ไปพร้อมๆ กัน   

            ภาย ในห้องจัดแสดงนี้ได้จำลองโรงงานชั่วคราวผ่านกรรมวิธีการแปรรูป และกระบวนการผลิตโดยชาวจีนยูนนานผ่านการแสดงโปรเจ็คเตอร์ ซึ่งเป็นการแสดงเงาของตัวละคร ที่สร้างขึ้นภายในห้องจำลองโรงงานขนาดเล็กเพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นภาพการทำ งานอย่างชัดเจน
            นอกจากนี้มีการจัดแสดงรถโฟล์ค  รถยนต์พระราชทานเมื่อครั้งก่อตั้งโรงงานหลวงสำเร็จรูปที่๑ ซึ่งไว้ใช้ในการส่งของ ปัจจุบันรถคันนี้ก็ยังสามารถใช้ได้อยู่ แต่เก็บรักษาไว้เป็นอนุสรณ์

           จากนั้นเข้าสู่ห้องจำลองโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ ๑ การผลิตอาหารกระป๋องในยุคแรกนั้น คือ การผลิต ลูกท้อลอยแก้วบรรจุกระป๋อง ซึ่งมีรูปแบบผลิตภัณฑ์จัดแสดง รวมถึงเครื่องลำเลียงผลิตภัณฑ์จัดแสดงไว้ด้วย

             รวมทั้งมีการจัดแสดงภาพเหตุการณ์น้ำป่าเมื่อปี 2549  ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงงานอันนำมาสู่โรงงานในปัจจุบัน รวมถึงการจัดแสดงภาพถ่ายชุมชนบ้านยาง และชาวไทยภูเขาอีกด้วย และที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือ ภาพวาดสีน้ำฝีมือนายสือสง  แซ่ย่าง  ชาวจีนยูนนานวัย  94  ปี ซึ่ง ท่านรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรง ให้พวกเขาได้อาศัยอยู่บนพื้นที่แห่งนี้ จึงวาดภาพผ่านปลายพู่กันจีน มีความหมายถึง นกที่อยู่ในภาพ หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ส่วนขุนเขา หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  นกและขุนเขาคู่กัน  หมายถึง ความสงบสุขและความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน  ในวันเปิดพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ ๑ (ฝาง)  เมื่อวันที่  19  มกราคม  2552

           5.บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด  เล่า ประวัติและบทบาททางสังคมของบริษัทฯ  โดยจัดแสดงอยู่ภายในร้านจำหน่ายสินค้าดอยคำ  อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับผู้สนใจศึกษาข้อมูลและงานวิจัย  ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์ฯ โรงงานฯ และชุมชนโดยรอบ  ที่บริเวณชั้นลอยของห้องอีกด้วย

            ..เน้นช่วยเหลือเกษตรกรโดยไม่หวังผลกำไร ดังพระราชดำรัส

                                                                                 “ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา”
 

ออฟไลน์ Tamroyporluang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
  • คะแนน: +0/-0
อิ่มท้อง อิ่มใจ ณ คุ้มขันโตก
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 03:40:08 PM »
                เมื่อเดินทางออกจากดอยอ่างขางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ก็ได้เวลาอาหารค่ำ สำหรับวันนี้ฉันได้มีโอกาสมารับประทานขันโตก ณ คุ้มขันโตก ครั้งแรกในชีวิต

                หลังจากที่ลงรถเรียบร้อย ทางคุ้มขันโตกก็มีจัดการแสดงฟ้อนรำต้อนรับนักท่องเที่ยว  เมื่อเดินเข้ามาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับอารยธรรมล้านนาที่ถูกรังสรรค์ขึ้น พื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ถูกจำลองให้คล้ายเมืองๆหนึ่ง เมื่อเดินเข้ามาก็ได้กลิ่นไอของความเป็นชาวเหนือ  ไม่ว่าจะเป็นที่นั่ง พนักงาน บรรยากาศ และที่สำคัญคือ อาหาร

                  เมนูที่มาเสิร์ฟนั้นเป็นบุฟเฟ่ต์ขันโตกประกอบด้วย กล้วยทอด ซุปใส ข้าวเหนียว ไก่ทอด ผลไม้ตามฤดูกาล แคบหมู ผัดผักรวม หมี่กรอบ แกงฮังเลหมู  และ น้ำพริกหนุ่มพร้อมผักลวก ในตอนแรกฉันก็รู้สึกงงงวยกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า พูดตามความจริงแล้ว คือ รับประทานไม่เป็น แต่พี่ๆก็บอกว่าลองทานดูก็เหมือนกับอาหารทั่วไป ซึ่งสังเกตได้ว่าอาหารเหนือนั้นจะมีความมัน และมีรสชาติเผ็ดนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็อร่อย และสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ดีที่ครั้งหนึ่งก็ได้มีโอกาสมารับประทานขันโตก

                นอกจากเพลิดเพลินกับเมนูอาหารแล้ว ไฮไลท์ของที่นี่ คือ การแสดงฟ้อนรำของชาวเหนืออันตระการตาโดยจะแสดงผ่านการเล่าเรื่องราวประวัติ ความเป็นมาของชาวเหนือ พร้อมกับมีการแปลภาษาให้ชาวต่างชาติฟังอีกด้วย

                สำหรับกิจกรรมในวันนี้ รวมถึงมื้อค่ำในวันที่สอง ณ เชียงใหม่ นอกจากจะเปิดประสบการณ์ให้ฉันอย่างมากแล้ว ยังทำให้ฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆที่อยู่ที่เชียงใหม่แห่งนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ฉันยังไม่เคยรู้มาก่อน  และสำหรับวันพรุ่งนี้ฉันเชื่อว่ายังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องน่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน ... อิ่มท้อง อิ่มใจ หลับฝันดี

 
                                 

ออฟไลน์ Tamroyporluang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
  • คะแนน: +0/-0
กิจกรรมสุดท้าย ณ โครงการหลวง อ.ขุนวาง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 03:43:33 PM »
           ตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา ฉันได้เห็นสิ่งต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นจากโครงการหลวง และ ณ  โครงการหลวงขุนวางก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีการเข้าไปพัฒนาและดูแลจนสร้าง รายได้ให้แก่ชาวบ้านและชาวไทยภูเขา

           ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวางนี้ในหลวงเสด็จมาเมื่อปี 2525 โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกชาวกะเหรี่ยงและชาวม้ง โดยโครงการหลวงจะส่งเสริมอาชีพให้แก่พวกเขา เข่น

           ปลูกไม้ดอก เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกคาร์เนชั่น ดอกแคลล่าลี ดอกอะกาแนททัส

           ปลูกผัก เช่น หอมญี่ปุ่น ผักกาดหวาน บล็อคโคโลนี่ ถั่วลันเตาหวาน

           ปลูกไม้ผล เช่น องุ่นดำไร้เมล็ด กีวี่ฟรุ๊ท พลับ สตรอเบอรี่ พีช

             นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมโครงการอื่นๆ เช่น

       โครงการงานส่งเสริมชาจีน  คือ ชาอู่หลง  โดยเกษตรกรส่งใบชาสดมาให้โครงการหลวง แล้วเข้าสู่กระบวนการแปรรูปโดยไม่หยุดพักเป็นเวลา 2 วัน

       โครงการเพาะกล้าผัก  โครงการหลวงจะเข้าไปช่วยเพาะกล้าที่ไม่ค่อยแข็งแรงให้ก่อน แล้วจึงส่งให้เกษตรกรมารับไปปลูก ก็ช่วยลดต้นทุนได้
       โครงการวานิลลา  เป็นพืชตระกูลกล้วยไม้ ให้ผลในปีที่สาม โดยเกษตรกรจะต้องผสมให้ออกดอกเดือนก.พ.-มี.ค. ซึ่ง 1 ดอกบาน 30 วัน และต้องผสมเลย หลังจากนั้นใช้เวลาบ่ม 4-6 เดือน วานิลลานั้นมีคุณสมบัติช่วยหยุดการกระจายของเซลล์มะเร็งเต้านม ลอดความเครียดและความวิตกกังวล         
        สำหรับโครงการหลวงแล้วนั้นยังมีกิจกรรมเด่นอีกหลายอย่าง ไม่เฉพาะการปลูกพืชเท่านั้น  ยังมีโครงการเพาะเห็ด เช่น เพาะเห็ด Portobello เห็ดยานางิ  เห็ดนางรมหลวง รวมไปถึงงานท่องเที่ยว เช่น มีการบริการที่พักและแคมป์ไฟ ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมชนเผ่า  แบ่งออกเป็น  2 ประเภท คือ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น การตำข้าว การทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง และการล่องแพ และอีกประเภทหนึ่ง คือ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ชมการปลูกฟักทองพันธุ์ Big Moon ซึ่ง 1 ลูก หนัก 50 กก. รวมไปถึงการปลูกผัก ผลไม้ และดอกไม้ของชาวบ้านด้วย และยังมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวนิเวศในชุมชนเพื่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย
 
         และจากการเดินทางมายังศูนย์พัฒนาโครงการหลวง อ.ขุนวางครั้งนี้ ได้มีโอกาสเข้าชมโรงเพาะเห็ดPortobello   ชมผลวานิลลา  ชมการตำข้าวและการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง  พิธีการบายศรีสู่ขวัญของชาวกะเหรี่ยง และรับประทานอาหารพื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยงด้วย นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสชิมเห็ด Portobello ย่างเนย  ซุปเห็ด Portobello  ซุปฟักทองญี่ปุ่น  น้ำสตรอเบอรี่สด และไอศกรีมวานิลลา จะเห็นได้ว่าโครงการหลวงนั้นนอกจากจะช่วยสร้างอาชีพใหม่และยั่งยืนให้แก่ชาว เขาแล้ว ยังสร้างรายได้ให้แก่พวกเขาและสร้างรายได้ทางหนึ่งให้แก่ประเทศด้วย       การเดินทางมาเที่ยวโครงการหลวงครั้งนี้ นอกจากจะได้ประสบการณ์จากสิ่งที่ไม่เคยเห็นแล้ว ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเขา  รวมทั้งได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงามด้วยตัวเอง นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากๆจากการมาเที่ยวครั้งนี้ และทุกประสบการณ์นั้นยังคอยสอนและให้ข้อคิดแก่เราด้วย และหวังว่าประสบการณ์การเดินทางอันมีค่าครั้งนี้จะทำให้ผู้รักการเดินทางทุก ท่านชื่นชอบและรักโครงการหลวงเหมือนฉันนะคะ

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
Re: ทักทายกันก่อนนะคะ :)
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มีนาคม 27, 2011, 08:07:46 PM »
  สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาว Tour on Thai ค่ะ
    ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนนะคะ
 
ชื่อ พัชสนันท์  จีนะนัทธ์ ค่ะ หรือ เรียกสั้นๆว่า พัช ก็ได้นะคะ
กำลังศึกษาอยู่ ชั้นปีที่ 1 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ ค่ะ
และความภาคภูมิใจล่าสุด คือ เป็น
1 ใน 5 ผู้เข้ารอบสุดท้ายการประกวด
'ทีมประชาสัมพันธ์พิเศษโครงการหลวง' ค่ะ
 
เพื่อนๆหลายคนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร
การประกวดครั้งนี้ คือ การประกวดเพื่อค้นหาทีมประชาสัมพันธ์พิเศษเพื่อเผยแพร่และแบ่งปันประสบการณ์
จากการไปเที่ยวโครงการหลวงมาค่ะ
รับรองว่า ถ้าเพื่อนๆได้อ่านเรื่องราวจากบทความและรูปถ่ายที่พัชได้มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว
คงอยากไปกันอย่างแน่นอน เพราะธรรมชาติที่นั่นสวยงามมาก และมีสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนด้วย
 
แต่ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ถ้าเพื่อนๆไปเที่ยวกับพัชต้องเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเองให้เป็นอย่างดีค่ะ
เพราะสำหรับพัช การไปเที่ยวโครงการหลวงจะต้อง
เปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย
และที่สำคัญต้องเปิดประสาทสัมผัสทางใจ เพื่อเปิดรับสิ่งใหม่ๆด้วยค่ะ
เพราะการไปเที่ยวโครงการหลวงครั้งนี้เพื่อนๆจะได้ใช้ประสาทสัมผัสครบอย่างแน่นอน
 
ถ้าพร้อมแล้ว อย่ารอช้าค่ะ...ยินดีต้องรับเข้าสู่

โครงการหลวง อัศจรรย์ความสุขสุดขอบฟ้า
 ;)

ยินดีที่ได้รู้จักครับ สนใจเรื่องราวโครงการหลวงอยู่พอดีเหมือนกันเลย อยากจะหาข้อมูลและไปชมโครงการหลวงให้ทั่วเมืองไทยสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน แต่คงเป็นไปได้ยากเพราะโครงการหลวงมีมากเหลือเกิน คงได้ดูจากเรื่องของคุณพัชนี่ละมั้งครับ  ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 27, 2011, 09:23:38 PM โดย Tommy »
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
Re: ล่องแม่น้ำกก...เรียนรู้วิถีชีวิตชาวไทลื้อ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มีนาคม 27, 2011, 08:14:32 PM »
ว้าว  :o
น่าเสียดายจัง อุตส่าห์ได้ไปถึงท่าตอนมาแล้วแต่ไม่ได้ล่องเรือ เลยไม่รู้ว่าเสน่ห์การล่องเรือของท่าตอนเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าชาวต่างชาติจึงไปเที่ยวกันเยอะนัก แต่คนไทยแทบไม่มีคนรู้จักบ้านท่าตอนเลย

ภาพบางส่วนจากทริปท่าตอนของเราครับ





สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ วัดท่าตอนครับ


เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
Re: กระตุกกี่...ทอผ้าไหมแบบฉบับชาวไทใหญ่
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มีนาคม 27, 2011, 08:16:18 PM »
 :'( เห็นแล้วอยากไป  :'(
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน

ออฟไลน์ Tamroyporluang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 15
  • คะแนน: +0/-0
Re: ตามรอยพ่อหลวง (ท่าตอน-อ่างขาง)
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มีนาคม 29, 2011, 01:01:46 AM »
ขอบคุณที่ติดตามบทความค่ะ แล้วก็ฝากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยนะคะ :)