ผู้เขียน หัวข้อ: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53  (อ่าน 45002 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« เมื่อ: สิงหาคม 08, 2010, 05:59:32 AM »
ไหว้พระ 9 วัด กทม ทริปนี้โดนชวน ก็เลยว่าจะลองเป็นลูกทริปดูสักครั้ง เริ่มเดินทางเช้าวันนี้เดี๋ยวเอารูปมาลง  :D
เจอกันที่ อนุสาวรีย์ ป้ายรถเมล์ฝั่ง รพ.ราชวิถี เวลา 08.00 น.
นั่งรถเมล์ ไปลง
1. วัดสระเกศ ขึ้นไปเคาะระฆังบนภูเขาทอง จากนั้น (แวะสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 3)
2. วัดราชนัดดา (อยู่หลังพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.3)
3. วัดเทพธิดาราม ศิลปะสมัย ร.3
4. นั่งตุ๊กๆไปวัดสุทัศน์เทพวราราม พร้อมชมเสาชิงช้า ถ้ามีแรง ก็ข้ามไปสักการะเทวดาอินเดียในโบสถ์พราหมณ์ด้วยเลย
-- แวะทานข้าวแถวๆนั้น เห็นเขาว่าอร่อยหลายร้านอยู่ --
5. เดินลัดเลาะไปวัดราชบพิตร
6. ข้ามถนนอีกนิดไปไหว้พระวัดราชประดิษฐ์
7. ไปกราบพระนอนวัดโพธิ์
8. เดินเลียบกำแพงวังเข้าไปนมัสการพระแก้วมรกต
9. นั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้าง วัดพระแก้วไปท่าวัดระฆัง นมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์โต (พรหมรังสี)
 FINISH นั่ง TAXI ไปวงเวียนใหญ่ ให้คุณขนุนสักการะพระเจ้าตากสิน ..นั่งรถไฟฟ้า BTS ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อกลับบ้าน

1. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

          คติ : เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก
          ประวัติ/ความเป็นมา
          วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพมหานคร เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสระแรัชกาลที่ 1 ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โปรดให้ขุดคลองรอบพระอารามและพรราชทานนามว่า วัดสระเกศ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง
          สิ่งสำคัญภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้แก่ พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ซึ่งสร้างเป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดทังลง รัชกาลที่ 4 โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมับรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถที่ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝีมือช่าง สมัยรัชกาลที่ 3 และหอไตร ศิลปะสมัยอยุธยาบานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ
          การเดินทาง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณปากคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

2. วัดราชนัดดารามวรวิหาร
   ประวัติ/ความเป็นมา
   วัดราชนัดดารามเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นเกียรติแก่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี โดยโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยายมราช ( บุนนาค ) เป็นผู้จัดหาสถานที่และออกแบบในการสร้าง
นับตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบัน โลหะปราสาทและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างดีมาโดยตลอด จึงทำให้อยู่ในสภาพที่ดีและสวยงาม เรามาเดินชมกันใกล้ ๆ ดีกว่าว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้สวยงามมากน้อยเพียงใด
สถานที่แรกที่จะพาไปชมก็คือ โลหะปราสาท ซึ่งเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวที่มีอยู่ในประเทศไทย และยังเป็นโลหะปราสาทองค์ที่ ๓ ของโลกอีกด้วย ( ๒ องค์แรกสร้างในประเทศอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น ) โลหะปราสาทนี้สร้างตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
          เนื่องด้วยพระองค์มีพระราชศรัทธาที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น จึงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างโลหะปราสาทไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้จักและเป็นเกียรติแก่พระนคร จึงโปรดให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างพระเจดีย์ดังพระอารามอื่น ๆ ซึ่งเริ่มสร้างในปี พ .ศ. ๒๓๘๙ เป็นปราสาท ๓ ชั้น ก่ออิฐถือปูน มียอดทั้งหมด ๓๗ ยอด ลักษณะโลหะปราสาทเป็นรูปแบบของศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่งดงามอย่างสมบูรณ์
บริเวณด้านข้างของโลหะปราสาทเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถวัด สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นอาคารทรงโรง หลังคามุงกระเบื้อง ประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทองประดับกระจกพระประธานคือ พระเสฏฐตมมุนี ซึ่งรัชกาลที่ ๓ โปรดให้หล่อด้วยทองแดงที่ขุดได้จากตำบลจันทึกจังหวัดนครราชสีมา
          ส่วนพระวิหารของวัดตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระอุโบสถ เป็นอาคารทรงโรง หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทองประดับกระจก บริเวณซุ้มประตูและหน้าต่างลงรักปิดทอง ที่บนเพดานเขียนลายฉลุปิดทอง ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรพระนามว่า “ พระพุทธชุติธรรมนราสพ ” เป็นพระประธาน



3. วัดเทพธิดาราม
   ประวัติ/ความเป็นมา
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพธิดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ และสร้างเสร็จ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ คำว่า เทพธิดา หมายถึง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองศ์เจ้าวิลาส พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๓ ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงาม ทรงได้รับใช้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระราชบิดา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อร่วมในการก่อสร้างวัดเทพธิดารามด้วย
        สุนทรภู่เคยมาจำพรรษาที่นี่ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๘๕ และได้เขียนบทกลอนเรื่องรำพันพิลาปขึ้น มีบทพรรณนาลักษณะปูชนียสถานปูชนียวัตถุของวัดอย่างละเอียด บรรยายถึงความงามของพระอารามไว้ และเรียกว่า "กุฏิสุนทรภู่" มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงกวีเอกผู้นี้ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน เป็นประจำทุกปี
น่าสนใจ
 วัดเทพธิดารามมีสถาปัตยกรรมเป็นแบบจีน ในวัดมีตุ๊กตาจีนจำหลักทั้งรูปสัตว์และรูปคน ที่น่าสนใจ คือ บางตัวสลักเป็นรูปหญิงไทยไว้ผมปีกแบบโบราณนั่งอุ้มลูก
        พระอุโบสถ เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 3 ได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ หน้าบันประดับเครื่องกระเบื้องจีน ภายในมี “พระพุทธเทววิลาศหรือหลวงพ่อขาว” ประดิษฐานเป็นพระประธาน
        พระวิหาร มีลักษณะเช่นเดียวกับพระอุโบสถ ภายในมีรูปหมู่อริยสาวิกา ( ภิกษุณี ) ซึ่งได้รับเอตทัคคะหล่อด้วยดีบุกประดิษฐาน 52 องค์
        พระปรางค์ มี 4 องค์ตั้งอยู่ประจำทิศทั้ง 4 ของมุมพระอุโบสถ ฐานพระปรางค์แต่ละองค์มีรูปท้าวจตุโลกบาล
        บริเวณสังฆาวาส ช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้จัดระเบียบหมู่กุฏิสงฆ์ไว้งดงามมาก โดยทำกุฏิทรงแปลกไม่ซ้ำแบบกัน
        เครื่องประดับพระอาราม เป็นตุ๊กตาจีนสลักหินมีทั้งรูปคนและสัตว์ เช่น ตุ๊กตาชาววังนั่งพับเพียบเท้าแขน ฯลฯ
        กุฏิสุนทรภู่ เป็นกุฏิที่สุนทรภู่กวีเอกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เคยจำพรรษาขณะบวชเป็นพระภิกษุ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ยกย่องท่านเป็น“ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม” ในปี 2529

4. วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร
          คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม

          ประวัติ/ความเป็นมา
          วัดสุทัศเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นพระอามามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ "วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศเทพวราราม"
          ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี" เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์ มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์อื่น ๆ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นกัน
          การเดินทาง
          วัดสุทัศเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 42 รถปรับอากาส สาย ปอ. 10, 12, 42

5.วัดราชบพิตร
ประวัติ/ความเป็นมา
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเป็นวัดแรก หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 1 ปี เพื่อให้เป็นวัดประจำรัชกาลตามโบราณราชประเพณี เป็นวัดธรรมยุกติกนิกาย ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทรงคำนึงถึงว่า วัดเป็นศาสนสถานที่มีการสร้างขึ้นมากแล้ว จึงทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงเรียนวชิราวุธเป็นสถานศึกษาของกุลบุตร แทนการสร้างวัด ด้วยแนวทางพระราชดำรินี้ รัชกาลที่ 7 ก็มิได้ทรงสร้างวัด หากทรงรับพระราชภาระทำนุบำรุงปฏิสังขรณ์พระอารามนี้แทนการสร้างวัดประจำรัชกาล
นอกจากนี้วัดราชบพิตร ยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าและสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 11 และองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และยังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก เมื่อทรงผนวชเป็ยสามเณร
   น่าสนใจ
พระมหาเจดีย์ เป็นแบบทรงกลมตั้งอยู่บนฐานทักษิณ ประดับกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์อัดพิมพ์นูนทั้งองค์ ฐานทักษิณเจาะเป็นซุ้ม 16 ซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ 14 ซุ้ม และพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมเด็จพระสังฆราช ในด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออก อีก 2 ซุ้ม เป็นประตูเข้าออกภายในพระเจดีย์ ภายในพระเจดีย์มีชุกชี ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาปางนาคปรกอยู่ เป็นศิลปะแบบลพบุรี เล่ากันว่า มีการขุดพบใต้ต้นตะเคียนริมคลองหลอด ซึ่งเชื่อกันว่าคนที่อยากมีลูกมาขอพรก็จะมีลูกสมใจ
พระอุโบสถที่สูงโปร่ง การจัดวางผังที่ลงตัว ใครที่เคยไปที่วัดนี้คงยอมรับว่าเป็นพระอุโบสถที่สวยทั้งภายนอกและภายใน ขณะที่ภายนอกใช้ศิลปะไทยประดับกระเบื้องเคลือบที่งามวิจิตรแห่งเดียวในประเทศไทย
ทั้งพระอุโบสถ วิหาร และเจดีย์ ระเบียงแก้ว ล้วนตกแต่งด้วยลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งสิ้น ทุกแผ่นเขียนด้วยมือ และออกแบบรูปทรงกระเบื้องขนาดต่างๆอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์ ระเบียง พระอุโบสถ และจากการที่มีศิลปกรรมกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ที่งามวิจิตรเป็นเอกลักษณ์แห่งเดียวในประเทศไทยนี่เอง จึงได้รับการขนานนามว่า “พระอารามเครื่องเบญจรงค์”
ภายในตกแต่งเป็นแบบฝรั่ง ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์ของความลงตัวระหว่างตะวันตก และตะวันออก … สะท้อนจุดเปลี่ยนของไทย ที่เริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ และการรับเอาศิลปะตะวันตกเข้ามาแสดงให้เห็นผ่านเพดานโบสถ์ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคของยุโรป
พระพุทธนิรันตราย ประดิษฐานบนฐานชุกชีเบญจาหน้าพระพุทธอังคีรส ฐานชุกชีเบญจาซีกเล็กนี้เคยเป็นฐานประกอบแท่นที่ทรงพระโกศพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเพชร มีเรือนแก้วเป็นพุ่มมหาโพธิ์ ยอดพระมหามงกุฎมีอักษรขอมจารึกพระนามแสดงพระพุทธคุณบนกลีบบัว ด้านหน้า 9 ด้านหลัง 9 ที่ฐานล่างสุดมีที่รองรับน้ำสรงพระ มีท่อทำเป็นรูปศีรษะโต หมายความว่า โคตมโคตร รัชกาลที่ 4 มีพระราชดำริพระราชทานแก่วัดในในคณะธรรมยุกติกนิกาย


6.วัดราชประดิษฐ์
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม อยู่ติดกับด้านเหนือสวนสราญรมย์ มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา นับว่าเป็นวัดที่มีเนื้อที่เล็กมาก วัดนี้สร้างขึ้น สมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นวัดธรรมยุติและเป็ฯไปตามโบราณประเพณีว่า ในราชธานีต้องมีวัดสำคัญ 3 วัดเสมอ จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อสวนกาแฟหลวงในรัชกาลที่ 3 สร้างวัดเล็ก ๆ ขึ้นวัดหนึ่ง พระ ราชทานนามว่า วัดราชประดิษฐ์สถิตธรรมยุติการาม แล้วต่อมาทรงเปลี่ยนชื่อว่า วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม สิ่งที่ น่าสนใจภายในวัดนี้ คือ พระวิหารหลวงซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธีสิบสองเดือน ภาพสุริยุปราคาใน สมัยรัชกาลที่ 4 เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-22.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2223 8215, 0 2622 0744

7. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

          คติ : ร่มเย็นเป็นสุข
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น
          ประวัติ/ความเป็นมา
          วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน" เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน" จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้

          ที่วัดโพธิ์มี "พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์ ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล คือ รัชการที่ 1- 4 แห่งกรุงรัตรโกสินทร์
          ในปัจจุบันวัดโพธิ์เปิดอบรมเผยแพร่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์จากกระทรวงสาธารณสุข
          การเดินทาง
          วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 12, 44, 82, 91 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 12, 32, 44, 91, 51

8. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

          คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้
          ประวัติ/ความเป็นมา
          วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8
          มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง
          การเดินทาง
          วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 25, 32, 33, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203, 512

9. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
               คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว
          ประวัติ/ความเป็นมา
          วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม วัดระฆัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่” เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา

          วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
           การเดินทาง
          วัดระฆังโฆสิตารามมรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 ส่วนทางเรือ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วลงที่ท่ารถไฟ หรือท่าวังหลัง หรือข้ามฝากที่ท่าช้างแล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 07:35:27 AM »
พอจะเริ่มมีเวลามาเล่า ก็ต้องออกไปทำมาหากินอีกแล้ว เอารูปแรกแสดงคอนเซปต์ของทริปเดินทั่วกรุงมาก่อน แล้วค่อยๆ โพสต์เข้ามาทีละรูป สำหรับสมาชิกร่วมทริปรีบส่งผลงานเข้ามาอวดกันด่วนด้วยจ้า
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:24:34 AM »
วัดแรกค่ะ วัดสระเกศ เลนส์คิทธรรมดาเก็บอุโบสถมาได้เท่านี้ค่ะ

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:26:03 AM »
เมื่อมองขึ้นไปที่พระบรมบรรพต

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:27:48 AM »
ทางขึ้น เจอองค์จำลอง และระฆังหลายจุดมากๆ (เป็นกุศโลบายให้หยุดพักมั้งเนี่ย)

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:29:05 AM »
ถึงแล้ว ภูเขาทอง และเมื่อมองลงไปข้างล่าง

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:30:31 AM »
ระหว่างนั่งรอสมาชิก ก็เก็บรูปไปเรื่อยเปื่อย

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:32:52 AM »
เดินข้ามมาที่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ค่ะ

ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ทรงเป็นพระโอรสพระองค์แรกของรัชกาลที่ ๒ (แต่พระโอรสพระองค์แรกที่ประสูติภายใต้ร่มเศวตฉัตรคือรัชกาลที่ ๔)
ทรงมีพระนามเดิมว่า "ทับ" มีพระประชาสามารถมาก ในรัชสมัยของพระองค์มีเรื่องเด่นอยู่ ๒ เรื่อง
คือการสร้างวัดและการค้ากับเมืองจีน

การค้ากับจีนในช่วงนั้นเฟื่องฟูมาก เงินคงคลังเราเพียบแปล้ ทั้งพระคลังมหาสมบัติ(คลังหลวง) และพระคลังข้างที่ (คลังส่วนพระองค์)
ในบางครั้งเรียกพระคลังข้างที่ว่า "เงินถุงแดง" และทรงมีพระราชสมัญญานามว่า "เจ้าสัว"

เงินถุงแดงนี้พระองค์ไม่ได้เอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่ทรงเก็บไว้เพื่อบูรณะวัดวาอารามต่างๆ และทรงมีพระราชดำรัสว่า
"ให้เอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง"

ในวิกฤตการณ์ รศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา และเราแพ้ (เจ็บใจจริงวุ้ย)
ฝรั่งเศสลงโทษปรับสยาม ๓ ล้านบาท สยามก็ได้นำเงินถุงแดงของ ร.๓ นี่แหละที่ช่วย "ไถ่บ้านไถ่เมือง" ตามพระราชดำรัสของพระองค์ (ขนลุก - อันนี้ลุกเป็นการส่วนตัว)

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:35:19 AM »
วัดราชนัดดาปิดซ่อมค่ะ จึงขึ้นไปสักการะโลหะปราสาทอย่างเดียวค่ะ

ออฟไลน์ little_jar

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
  • คะแนน: +0/-0
Re: ไหว้พระ 9 วัด กทม 8 สิงหาคม 53
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 11:37:50 AM »
วัดต่อไป... วัดเทพธิดารามค่ะ
หลวงพ่อขว พระประธานในพระอุโบสถ และพระประธาน+กลุ่มพระภิกษุณีในวิหารค่ะ