พาเที่ยวภูเขาไฟ Ijen&Bromo

[juneing]

          อินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Indonesia) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Republik Indonesia) เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนกับทวีปออสเตรเลียและระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน
(Kalimantan), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีเรียน (Irian) และประเทศติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ (Timor)

           เราเดินทางออกจากประเทศไทยช่วงหัวค่ำ และไปถึงสนามบินสุราบายา อินโดนีเซียเกือบๆตี1 แล้วก็หลับในรถมาตลอด ตื่นมาอีกที6โมงกว่าๆ บรรยากาศรอบๆตัว
สองข้างทางมีแต่ป่าและภูเขา

[jai]

เจ้าของกระทู้ไปทำธุระ เดี่ยวตอนเย็นๆ มาเล่าต่อนะคะ ติดตามชมค่ะ
ภาพสวย แจ่มนะ ขอบอก

[admin]

สวยจริงตั้งตารอเลย

[juneing]

          จากนั้นเราก็เข้าพักที่ Catimor Homestay  เพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นภูเขาไฟ Ijen ในเวลาตี1  การเดินเท้าเพื่อขึ้น Ijen นั้นระยะทางในการเดินราวๆ 3กิโลเมตร ทางเดินค่อนข้างชันมาก บางจุดเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ต้องยืนพักหอบตลอดเวลา แนะนำว่าถ้าใครจะมา ให้เตรียมซื้อน้ำดื่มจากมินิมาร์ทในเมืองเตรียมไว้ด้วยก็ดี เพราะเราเริ่มเดินขึ้นตั้งแต่ตี1 ร้านค้าแถว Ijen ยังไม่เปิดเลยสักร้าน

             เราเดินขึ้น Ijen กันตั้งแต่ตี1 ประมาณตี4กว่าๆก็ถึงจุดหมาย กลิ่นกำมะถันคลุ้งเลยทีเดียว จากนั้นเราลงไปดู Blue Flame กันก่อน เพราะถ้าเลยตี5ไปแล้ว เราจะไม่ได้เห็นเปลวไฟสีน้ำเงินนี้แล้ว

[juneing]

          พอเดินขึ้นมาจากจุดชม Blue Flame ฟ้าเริ่มสว่าง พอลองมองรอบๆตัวที่เดินมาก็จะเห็นทะเลสาปสีเขียวสดใส และเหวลึกที่ที่ผ่านมามองไม่เห็นเพราะความมืด จากนั้นเราจึงเดินลงจาก Ijen
เพื่อเดินทางไปภูเขาไฟ Bromo ต่อไป

          ระหว่างทางลงวิวสวยมาก อาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นตอนขามาแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เมฆ หมอก ภูเขา กำมะถัน ทุกอย่างสวยงามจริงๆ

[juneing]

          อากาศตอนเช้าที่ Ijen ไม่ร้อนเลย ทั้งๆที่เราเดินมาตลอดตั้ง เกือบ 6ชม. ทำให้ไม่ยากลำบากมากนักเวลาเดินลง แต่เนื่องจากทางเดินมันค่อนข้างชัน
ดังนั้นเราเลยต้องเกร็งขาแทนเวลาเดินลง เพราะไม่งั้นเราจะไถลแล้วหกล้มได้

          เราเดินลงมาจาก Ijen แล้วแวะกินข้าวระหว่างทาง บังเอิญร้านที่เราแวะกินข้าวด้านหลังติดกับทะเลพอดี เลยได้ไปเก็บภาพทะเลมาให้ดูด้วย

[juneing]

          ก่อนถึง Bromo ระหว่างทางเราแวะเที่ยวที่น้ำตก Madakaripura ซึ่งนับว่าเป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของที่นี่ น้ำตกใหญ่แล้วก็แรงมาก เรียกว่าไปยืนตรงนั้นนี่เราต้องใส่เสื้อกันฝน
กันเลยทีเดียว ระยะทางจากทางเข้าจนถึงตัวน้ำตกประมาณ 1 กิโล แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติ เขาจะบังคับให้เราจ้างไกด์ท้องถิ่นเพื่อนำทางเข้าสู่น้ำตกด้วย

          อย่างที่บอกว่าน้ำตกแรงมาก ทำให้เวลาเดินเข้าไปใกล้ตัวน้ำตกแล้ว ไม่กล้าหยิบกล้องขึ้นมาเลย กลัวกล้องจะพัง แหะๆๆ เลยเก็บรูปมาให้ดูกันได้เท่านี้ 

[juneing]

          หลังจากถึงที่พักความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินขึ้นเขาที่ Ijen ทำให้หลังจากกินข้าวเย็นแล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะว่าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกจากโรงแรมที่พักตอนตี3
เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่ยอดเขา Penanjakan

          ภาพนี้ถ่ายบริเวณที่พัก ซึ่งมองออกไปเห็นภูเขาไฟ Bromo ชัดเจนเลยทีเดียว

[juneing]

          เรามาถึงยอดเขา Penanjakan โดยรถจิ๊ป ซึ่งจุดชมวิวนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมมาก ทำให้เราต้องเดินหาทำเลที่นั่งและมุมดีๆ ที่พอจะสามารถถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นได้ง่ายๆอยู่นาน
อากาศที่นี่ค่อนข้างหนาวกว่า Ijen ดังนั้นถ้าจะขึ้นมาที่ยอดจุดชมวิวนี้ ควรจะเตรียมเสื้อหนาวหนาๆมาด้วย

[juneing]

          จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของจุดชมวิวนี้ก็คือ สามารถมองเห็นภูเขาไฟ 5 ลูกเรียงกันได้อย่างสวยงามทีเดียว จำได้ว่าตอนนั้นนี่กดชัตเตอร์รัวเลย ได้ภาพภูเขาไฟแบบนี้มาเพียบ

[juneing]

          ไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหน ควันจากเถ้าภูเขาไฟของ Bromo ก็ทำให้ Bromo โดดเด่นเหนือภูเขาลูกอื่นๆ

[juneing]

          จากจุดชมวิวนี้ พอก้มลงมองด้านล่าง เมืองและโรงแรมที่เราพัก ดูเล็กลงเหมือนของเล่นเลย 

[juneing]

          8โมงกว่า เราจึงออกจากจุดชมวิวเพื่อไปขึ้นภูเขาไฟ Bromo โดยเรานั่งรถจิ๊ปลงจากยอดเขา Penanjakan แล้วขี่ม้าเพื่อไปยังภูเขาไฟ Bromo

[juneing]

          การจะขึ้น Bromo ไม่ได้เหนื่อยเท่า Ijen ดังนั้นไม่เกินครึ่งชม. เราก็เดินขึ้นมาถึงปากปล่องภูเขาไฟ Bromo

[juneing]

          จากบนยอด Bromo เราสามารถมองเห็น Batok ได้ชัดเจน เนื่องจากอยู่ใกล้กัน บริเวณดินรอบๆนั้นเป็นดินเถ้าภูเขาไฟ ให้ความรู้สึกแห้งแล้งมาก

[juneing]

          จากภาพที่เราเห็นเมื่อกี้ ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลัง Bromo จะมีทุ่งหญ้าสะวันนาอยู่ด้วย จากทะลทรายสีดำๆที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงของดินภูเขาไฟ พอนั่งรถจิ๊ปเลี้ยวไปด้านหลัง Bromo
ประมาณ10กว่านาที ก็กลายเป็นภาพแบบนี้

[juneing]

          ตอนที่มาถึงที่ทุ่งหญ้าด้านหลังนี้ครั้งแรก รู้สึกประหลาดใจมาก จากที่เราเดินขึ้น Bromo เมื่อกี้นี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นและควันของกำมะถัน มาตอนนี้เบื้องหน้าเรากลายเป็นทุ่งหญ้าและ
ภูเขาสีเขียวทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่แบบนี้มันจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้   

[juneing]

          สุดท้ายลากันไปด้วย2รูปสุดท้าย ก่อนลาจาก Bromo กลับสู่ที่พัก เพื่อไปกินข้าวเช้าตอนเกือบๆเที่ยง  และเก็บของเตรียมตัวกลับไทย

          เดี๋ยวยังไงจะมาอัพเดท รายละเอียดและค่าใช้จ่ายสำหรับ Trip นี้ทั้งหมด เผื่อคนที่สนใจจะไปปีนภูเขาไฟกัน 

[juneing]

          เรามาอัพเดทรายละเอียดค่าใช้จ่ายกัน อันนี้จะขออธิบายแบบรวมๆเลยแล้วกัน เราวางแผนเดินทางกันตามนี้

วันแรก
- 20.40 น. ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง
- 00.45 น. ถึง Surabaya ออกเดินทางไป Kawah Ijen

วันที่2
- 07.00 น. ถึง Kawah Ijen เข้าที่พัก Catimor Homestay
- 09.00 น. เดินไปน้ำตก Blawan เที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้าน นอนพักผ่อน เตรียมเดินขึ้น Ijen ตอน 01.00 น.

วันที่3
- 01.00 น. ตื่นเพื่อไปเดินขึ้น Ijen
- 02.00 น. เริ่มเดิน
- 04.00 น. ถึงปากปล่อง Ijen ดู Blue Flame
- 07.30 น. เดินลง
- 09.00 น. เดินทางไปยัง Bromo
- 14.00 น. ไปน้ำตก Madakaripura Waterfall
- 18.00 น. ถึง Bromo เข้าที่พัก Cemara Indah Hotel

วันที่4
- 03.00 น. ตื่นไปขึ้นรถ Jeep ขึ้นยอด Penanjakan
- 07.00 น. ลงจากยอด
- 07.30 น. เดินขึ้นปากปล่อง Bromo
- 10.30 น. ไปทุ่งหญ้าสะวันน่า
- 12.00 น. เช็คเอาท์ เดินทางกลับไปยัง Surabaya
- 14.00 น. ถึงสนามบิน
- 15.10 น. ขึ้นเครื่องเดินทางกลับไทย
- 19.00 น. ถึงดอนเมือง
 
          เรามาเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินก่อนเลย ตอนไปเราจองตั๋วของแอร์เอเชีย บินตรงจากดอนเมือง-สุราบายา ซึ่งตอนนี้ได้ยินว่าทางแอร์เอเชียยกเลิกเที่ยวบิน
จากดอนเมืองมาสุราบายาทั้งหมด ดังนั้นถ้าคนที่จะมาคงต้องมาแบบ transit เอา โดยมี 2 ตัวเลือก คือจะไป transit ที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียหรือไปลงที่จากาต้าร์
แล้วต่อมาที่สุราบายาอีกทีหนึ่ง ตอนที่จองเราไม่ได้จองล่วงหน้านานนัก เลยได้ตั๋วที่ค่อนข้างแพงสักหน่อย ที่ราคา 6650 บาท (ราคานี้รวมแค่ภาษีสนามบินขาไป
ขากลับต้องไปจ่ายที่สนามบินสุราบายาตอนโหลดกระเป๋า 500บาท)

[juneing]

          เรื่องต่อมาคือเรื่องรถเช่า เนื่องจากเราต้องเดินทางไปหลายที่ ทีมที่ไปกันทั้งหมด 4 คน เราติดต่อว่าจ้างคนขับพร้อมรถ ราคารวมค่าน้ำมันและค่าเข้า
สถานที่ต่างๆ รวมทั้งค่าไกด์ที่น้ำตก Madakaripura คือพูดง่ายๆว่าตั้งแต่มารับที่สนามบินยันส่งกลับและพาเที่ยว แต่ไม่รวมค่ากินและทิปไกด์ ตกคนละ 3900 บาท

          ค่ากินส่วนมากเราสั่งมากินรวมๆกัน จ่ายเงินก็หาร4 (ทีมงานที่ไปกันทั้งหมด 4 ชีวิต) หมดค่ากินไปต่อคนๆละประมาณ 3000 บาท สรุปคร่าวๆเราจ่ายเงินสำหรับ
trip นี้ไปทั้งหมด 13050 บาท ไม่รวมค่าทิปไกด์

          ดังนั้นตามที่บอกข้างต้น ถ้าเราสามารถหาตั๋วเครื่องบินได้ราคาถูกกว่านี้ ก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะมาก เพราะที่อินโดนีเซียราคาของกินถูกกว่าบ้านเรา (จริงๆ
เคยเห็นคนจองตั๋วแอร์เอเชียไป-กลับสุราบายา ช่วงโปรได้ในราคา 2990บาทเท่านั้นเอง)