1 ชั่วโมง ครึ่งทาง เนินถอดใจแห่งเชียงดาว เราถ่ายรูปหมู่ที่ป้ายจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว 6,500 เวลา 10.54 น. เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ตอนนี้เรามาอยู่ที่ครึ่งทางของเนินแรก ดอยหลวงเชียงดาวไม่มีการตั้งชื่อเนินต่างๆ เหมือนภูกระดึง หรือภูสอยดาว ที่จะมีชื่ออย่างเช่น
ซำแฮก แห่งภูกระดึง หรือ
เนินส่งญาติ แห่งภูสอยดาว ดังนั้นผมจึงแรียกเนินแรกของดอยหลวงเชียงดาวว่า
เนินถอดใจ เพราะเนินนี้ยาวมากๆ น่าจะมีระยะทางไม่น้อยกว่า 1200 เมตร และเป็นเนินแรกที่เราจะต้องเจอ คนที่เดินมาถึงตรงนี้ได้แล้วอาจจะมีบ้างที่ถอดใจเดินกลับถ้าหากรู้ว่านี่เพิ่งจะได้เพียงครึ่งเนินเท่านั้น และยังมีทางลาดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อีกเท่าตัวกับที่เดินขึ้นมา ทีแรกผมเองก็ไม่รู้ว่าจุดนี้เป็นจุดประมาณกึ่งกลางของเนิน และหลายๆ คนที่เดินมาครั้งแรกก็คงเหมือนผม ทุกๆ ก้าวที่เดินขึ้นมาอย่างยากลำบากบนดินที่มีรอยขุดให้เป็นขั้นๆ เหมือนบันไดเนื่องมาจากความชัน หากไม่ขุดเป็นขั้นๆ คงมีคนไถลถอยหลังลงมาเรื่อยๆ แทนที่จะก้าวไปข้างหน้า เราหยุดพักตรงนี้อีกครั้งเพราะมีหินหลายขนาดให้เราเลือกนั่งพัก การพักครั้งนี้ของเรากินเวลานานพอสมควรกว่าหัวใจจะกลับมาเต้นในจังหวะปกติ การเดินทางบนเส้นทางชันเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเวลานานๆ สำหรับเราแล้วก็เหมือนการเร่งจังหวะหัวใจให้ทำงานในความเร็วที่สูงที่สุดที่จะทำได้ ก่อนออกเดินทางผมเอาน้ำขวดเล็กใส่กระเป๋าข้างของกางเกง 2 ข้าง สำหรับเดินจิบไปเรื่อยๆ ทดแทนเหงื้อที่เสียไประหว่างทาง ปกติจะเดินระยะทาง 6500 เมตร เท่ากับดอยหลวงเชียงดาวก็มีบ้างที่หมดน้ำไป 1 ขวด แต่ที่ดอยหลวงเชียงดาวนี้แค่ครึ่งเนินแรกน้ำในขวดก็พร่องไปมากแล้ว
สำหรับคนที่เดินป่ามาหลายแห่งแล้วก็มีบ้างที่จะสามารถคาดเดาระยะทางของตัวเองที่เดินได้เทียบกับเวลาที่เสียไป อย่างหลายคนจะเดิน 6 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง พอเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็น่าจะเดินได้ไม่ต่ำกว่า 1.5 กิโลเมตร แต่จุดที่เรานั่งอยู่นี้ถามคนนำทางในตอนขากลับ พี่แกละบอกว่าประมาณ 900 เมตร เอง โห แล้วแบบนี้ เมื่อไหร่จะถึงละเนี่ย
หลังจากที่นั่งพักกันนานพอแล้วเราออกเดินกันต่อ เวลา 12.33 น. ผมก็มาถึงบริเวณที่เป็นสันของเนินเขา เป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ผมมองหามาตลอดทาง การเดินขึ้นเนินเรื่อยๆ แบบนี้มันทำให้กำลังใจของเราลดลงๆ เรื่อยๆ เหมือนกันแฮะ สิ่งเดียวที่เราอยากจะให้ถึงเร็วๆ ก็คือสันเขา เพราะหลังจากสันเขาแล้วนั่นหมายความว่า
ทางข้างหน้าต่อจากนั้นจะเป็นทางลาดลงบ้าง เพราะเราเดินขึ้นๆๆๆๆ มาตลอด มานานมากแล้ว ความท้อก็เริ่มเข้ามาอยู่ในหัวอยากจะหยุดพักเสียที เมื่อถึงสันเขาของเนินแรกสิ่งที่ผมทำก็คือถอดเสื้อพักครับ อากาศที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกจนมองไม่เห็นวิว และต้นไม้ที่อยู่รอบๆ เราก็มีหมอกปกคลุมขาวโพลนไปหมด อากาศก็น่าจะอยู่ที่ 20 องศา แต่ผมมีเหงื่อออกเต็มตัวจนเสื้อเปียก สายสะพายกระเป๋ากล้องเปียกชุ่มไปหมด การถอดเสื้อรับลมหนาวไม่ทำให้รู้สึกหนาวเลยในเวลานั้น คิดดูเองละกันว่ามันชันขนาดไหน
ระหว่างที่นั่งพักอยู่นั้นก็มีนักท่องเที่ยวอีกหลายคนทยอยเดินตามหลังผมขึ้นมาและก็แซงผมไปเรื่อยๆ พอดีพี่เค้าเป็นผู้หญิงเลยบอกว่าอิจฉาจังที่เห็นผมถอดเสื้อนั่งพักได้
ในระหว่างนี้เอาเสบียงที่พี่แกละเตรียมมาให้ เป็นข้าวเหนียวหมูชุบใข่ทอด ไส้อั่ว แล้วก็น้ำพริกตาแดง (ดีนะที่ใช้บริการพี่แกละ เค้าเตรียมให้เสร็จสรรพทุกสิ่งอย่าง อาหารทุกมื้อ และลูกหาบ เราเอาตัวเองขึ้นดอยให้ได้ก็พอ)
กินข้าวเหนียวไป 2-3 คำ หมูทอด 1 ชิ้น ไส้อั่ว 1 ชิ้น ส่วนที่เรียกพลังงานของเราได้มากที่สุดคือน้ำพริกตาแดงรสเด็ดจากร้านลุงแกละ แปดริ้ว (แกเป็นคนแปดริ้ว มาแต่งงานกับชาวเชียงดาว เลยปักหลักหากินที่นี่มา 20 ปี แล้ว ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นพี่แกรู้หมด) กินไปไม่ถึงครึ่งพอมีแรงแล้วออกเดินต่อ (กล้วว่ากินเยอะแลัวจะจุก)