หลังจากลงมาถึงพื้นราบผมไปถามให้มั่นใจอีกครั้งว่าถ้ำค้างคาวไปทางไหนกันแน่ (ที่จริงพื้นที่ของวัดเล็กนิดเดียวเดินไปหน่อยก็เห็น
) แล้วก็เดินไปตามทางที่ได้สอบถามมา เจอบ้านพักของนักปฏิบัติธรรมซึ่งแยกให้ห่างออกจากกุฎิสงฆ์ เป็นบันไดทางเดินขึ้นไปยังปากถ้ำใหญ่ คำว่าถ้ำใหญ่ เป็นคำเรียกของที่นี่ เพราะว่ามีถ้ำอยู่ 2 แห่ง ถ้ำใหญ่มีขนาดใหญ่กว่า มีค้างคาวสีดำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ได้สนทนากับนักปฏิบัติธรรมที่นี่ได้ความว่า ประวัติของวัดเขาไม้รวกมีค้างคาวเกี่ยวข้องอยู่อย่างมีความสำคัญมาก ในอดีตมีพ่อค้าชาวญี่ปุ่นนำเรือมาขนมูลค้างคาวที่นี่เพื่อเอาไปขายต่อ แต่ละเที่ยวจะมอบเงินให้วัดเสมอๆ เที่ยวสุดท้ายพ่อค้าชาวญี่ปุ่นมาขนเอามูลค้างคาวไป แล้วไม่มอบเงินให้ทางวัด เกิดอุบัติเหตุเรือล่ม ระหว่างทาง มูลค้างคาวในถ้ำใหญ่ในวัดเขาไม้รวกนี้เองที่เจ้าอาวาสวัดได้อธิษฐานขอนำมาขายเพื่อสร้างอุโบสถ และทำให้ผมหายข้องใจว่าเหตุใดจึงมีการสร้างอุโบสถที่งดงามขนาดนี้ในกันดารได้ มูลค่าของมูลค้างคาวที่ขายได้นั้นเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท
ที่เล่ามานี้เพื่อให้จินตนาการออกว่ามีค้างคาวมากขนาดไหนในถ้ำนี้ แต่ค้างคาวที่นี่ออกหากินไม่พร้อมเพรียงกันเหมือนที่ราชบุรีที่จะบินออกมาพร้อมกันนับล้านตัวเป็นสายยาว
นอกจากนี้แล้วยังมีถ้ำอีกแห่งอยู่ใกล้ๆ กัน ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เข้าไปชม มีค้างคาวอีกชนิดหนึ่งตัวสีน้ำตาลอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกันกับถ้ำใหญ่ แต่แปลกที่มีค้างคาว 2 ชนิดมีที่อาศัยใกล้ๆ กันแต่ไม่ปนกัน