คราวนี้มาเดินลงเขาตอนขากลับ ตอนที่ถ่ายรูปน้ำตกชั้นที่ 5 ความกังวลใจหลายๆ อย่างมันได้หมดไป ผมยืนชมวิวบนผาน้ำตกชั้นที่ 4 ที่มองเห็นผืนป่าสีเขียวได้กว้างไกล เทือกเขาสลับซับซ้อนที่เห็นอยู่ไกลๆ แบตเตอรี่ก้อนหลักใช้หมดไปแล้ว ผมต้องเอาก้อนสำรองมาใส่ ปัญหามันก็อยู่ที่ว่า แบตเตอรี่สำรองมันเสื่อมไปแล้วเพราะมันเป็นก้อนแรกที่ติดมากับกล้องตั้งแต่แรก ชั่วโมงการใช้งานที่ยาวนานของมันทำให้มันเสื่อมต่อจากนี้ไปจะถ่ายรูปได้อีก ไม่ถึง 1 วัน ดังนั้นต้องถ่ายรูปที่สำคัญๆ เท่านั้น การถ่ายรูปน้ำตกที่ต้องใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำกว่าการถ่ายรูปทั่วไปทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น แถมยังต้องถ่ายแบบเผื่อเลือกกันเบลอหลายๆ รูปอีกต่างหาก แต่เอาเถอะคิดไปก็เท่านั้นแล้วแต่โชคชะตาแล้วกัน
ผมเดินลงมาจากน้ำตกชั้นที่ 4 หลังจากข้ามหน้าผาใส่รองเท้าเก็บร่มมาด้วยภาพที่คิดว่าจะถ่ายมาให้ดูกันภาพหนึ่งคือการถางป่าข้างทางเดินของเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลเป็นอย่างดี บางแห่งที่ผมไปมันก็ทั้งรกทั้งมีหนาม เดินลำบาก แต่ที่นี่โล่งสบาย คิดได้ 2 อย่าง อย่างแรกถ้าไม่ถางมันก็ได้รสชาตการเดินป่าดี แต่ถ้าถางออกมันก็เดินสบายดี
ตอนเดินขาลงไม่ต้องทำอะไรมาก ก้าวขายาวๆ แล้วปล่อยให้แรงดึงดูดของโลกมันทำงานเอง น้ำหนักตัวจะพาผมลงเขาได้อย่างรวดเร็วขอแค่ก้าวให้ทันเท่านั้น ไม่กี่นาทีผมก็มาถึงลานหินตรงกระท่อมที่พักตอนขาขึ้น ผมวางของลงทำเหมือนตอนขึ้นมา เปลี่ยนเป็นเลนส์เทเลเพื่อเก็บภาพน้ำตกบนผาให้ได้ชัดๆ มากขึ้น แต่ภาพที่ออกมามันดูไม่ต่างกับตอนขึ้นไปเท่าไหร่ เลยไม่โพสต์ดีกว่า จากนั้นก็เดินลงมาจนถึงน้ำตกที่ผมคิดว่ามันเป็นชั้นที่ 2 มีทางแยกอีกทางไม่ต้องเดินข้ามลานหินลื่นๆ กลับไปทางน้ำตกชั้นที่ 1 ผมเลือกเดินตรงไปตามทางเดินดีกว่าจะไปเสี่ยงกับลานหินลื่นๆ กว้างๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินสวนทางขึ้นมา เห็นท่าทางจะลงซะแล้วคงเป็นเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ค่อนข้างมีอายุกันแล้ว จะเดินขึ้นชั้น 4 เจ้าหน้าที่คงไม่แนะนำแน่
การเลือกเดินลงมาตามทางเดินแทนการข้ามลานหินกลับไปยังทางที่ขึ้นมาของผม เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้ผมได้เห็นน้ำตกชั้นที่ 2 จึงได้ถึงบางอ้อว่าน้ำตกชั้นที่ 3 มันหายไปไหน ที่จริงผมถ่ายรูปชั้นที่ 1 แล้วก็ 3 เลยต่างหาก ก้อนหินขนาดใหญ่บังน้ำตกชั้นที่ 2 มิด เวลาเดินขึ้นมามันเลยไม่เห็น แต่พอเดินลงอีกทางมันถึงจะมองเห็น