ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบเที่ยวไทย :: ลพบุรี One day Trip  (อ่าน 5524 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
ชอบเที่ยวไทย :: ลพบุรี One day Trip
« เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 09:20:02 AM »
Posted by ผีเสื้อพเนจร

ลพบุรี

9.40 น. เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา ผมก้าวลงรถไฟแผ่นดินละโว้เมืองลพบุรี

เห่อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ มาทดสอบกล้องไกลถึง ลพบุรี

One day trip วันนี้พาเที่ยวง่ายๆเดินสบายๆในตัวเมืองลพบุรี เยี่ยมชมโบราณสถานในยุคสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

เริ่มต้นเที่ยวสถานที่แรก อยู่ไม่ไกลตรงข้ามกับสถานีรถไฟ ลพบุรี   วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แค่มาถึงลพบุรีก็มีโบราณสถานให้เข้าชมแล้ว

เดินต่อมาอีกไม่ไกล ถ้าใครจะทำเท่ เดินมาตามทางรถไฟ ประมาณ 1กิโลเมตรจากหน้าสถานีรถไฟลพบุรี ก็จะถึง ศาลพระกาฬ หรือเดินมาตาม ถนน หน้าพระกาฬ ครับ สิ่งแรกๆที่คนจะคิดถึงเมื่อมา จ.ลพบุรี ก็คงหนีไม่พ้น ศาลพระกาฬและลิงจำนวนมาก

ศาลพระกาฬเป็นเทวสถานเก่าแก่สมัยขอมครับ สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูงในอดีตจะเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ศาลสูง” ที่ทับหลังซึ่งทำด้วยศิลาทรายสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน ณ ที่นี้ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณด้วย

ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยสร้างทับบนรากฐานเดิมที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารประดิษฐานพระนารายณ์ยืน ทำด้วยศิลา 2 องค์ องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปเก่าในประเทศไทย องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรี แต่พระเศียรเดิมหายไป ภายหลังมีผู้นำพระเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมต่อไว้ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป

ในบริเวณรอบศาลพระกาฬร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ จึงเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงกว่า 300 ตัว ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของจังหวัดลพบุรี กล่าวกันว่าเดิมบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นกร่างขนาดใหญ่ มีลิงอาศัยอยู่ เมื่อมีคนนำอาหารและผลไม้มาแก้บนที่ศาลพระกาฬ ลิงป่าเหล่านั้นได้เข้ามากินอาหาร จึงเชื่องและคุ้นเคยกับคนมากขึ้น

บนศาลพระกาฬจะมีผู้คนนำอาหารมากราบไว้บูชา บริเวณหน้าต่างของศาลพระกาฬจึงมีตาข่ายลวดไว้เพื่อป้องกันบรรดาลิงต่างๆเข้าไปขโมย และจะมีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมคอยดูแลอยู่ข้างหน้าศาลพระกาฬไม่ให้เข้าไปข้างในและระวังไม่เข้าลิงพวกนี้เข้ามาทำร้ายหรือขโมยของจากนักท่องเที่ยวด้วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ถือผลไม้และขนมมาก็ต้องระวังให้ดีๆครับ

      บริเวณศาลพระกาฬจะมีบริเวณที่นักท่องเที่ยวไปซื้ออาหารหรือนำผลไม้ไปให้บรรดาเจ้าจ๋อนี้เป็นที่เป็นทางนะครับ ครั้งหนึ่งที่ผมนั่งลงถ่ายรูปเจ้าจ๋ออยู่ตรงที่มีนักท่องเที่ยวกำลังให้อาหาร

มีเจ้าจ๋อซนๆอีกตัวหนึ่งขึ้นมาเกาะหลังเหยียบอยู่บนบ่าของผมซะอย่างนั้น ตั้งนานกว่าจะลงมาต้องให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆหาขนมมาล่อออกไป ดูมันทำเข้าซิ ...ขึ้นมาขี่ไม่ว่าอย่ามาปล่อยของเสียออกมาแล้วกัน โกรธยันลูกบวชเลยนะ ...

       http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/706/12706/images/Lopburi1.jpg

      จากนั้นฝั่งตรงข้าม ศาลพระกาฬ คือ พระปรางค์สามยอด ครับ พระปรางค์สามยอดมีลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน 3 องค์ มีฉนวนทางเดินเชื่อมติดต่อกัน พระปรางค์สามยอดเป็นศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 สร้างด้วยศิลาแลง และตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม เสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤๅษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นแบบเฉพาะของเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมรแบบบายน ปรางค์องค์กลางมีฐาน แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและมีเพดานไม้เขียนลวดลายเป็นดอกจันสีแดงด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีวิหารสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ปางสมาธิที่สมบูรณ์ดี เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 ปรางค์สามยอดนี้แต่เดิมคงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถานโดยมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์ปรางค์ทั้งสามปรางค์ จนกระทั่งถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงได้บูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์สามยอดเป็นวัดในพุทธศาสนา แล้วสร้างพระวิหารก่อด้วยอิฐ ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมแบบยุโรปในส่วนของประตูและหน้าต่าง ภายในวิหารประดิษฐานพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้งเปิดให้เข้าชม

     พระปรางค์สามยอด เปิดให้เข้าชม เวลา07.00-17.00 น. เว้นวันจันทร์-อังคาร ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท ครับ บริเวณนี้แน่นอนมีลิงเยอะเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยจะมีอาหารให้เจ้าจ๋อพวกนี้นัก บ่อยๆเราจึงเห็นพวกมันจับกลุ่มทยอยเดินกันไปที่ศาลพระกาฬข้ามถนนข้ามทางรถไฟเป็นที่น่าหวาดเสียวกลัวรถชนจริงๆครับ

        http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/706/12706/images/Lopburi2.jpg

       จากถนนหน้าพระกาฬเดินย้อนกลับมาเล็กน้อยเข้าถนนพระยากำจัด ไม่ไกลเราจะมาถึงหน้าพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์เมื่อเข้ามาในที่แห่งนี้แล้วบอกได้เลยว่า ชอบเอามากๆครับ สวยงาม และมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น

        สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2209 เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรี แบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน กำแพงพระราชวังก่ออิฐถือปูนมีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพงมีซุ้มประตูทั้งหมด 11 ประตู ประตูทางเข้าเป็นทรงจตุรมุขมีช่องทางเข้าโค้งแหลม ตรงจั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัว ที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นในมีช่องเล็ก ๆ เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถวสำหรับวางตะเกียง ประมาณ 2,000 ช่อง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2399 เพื่อให้เป็นราชธานีชั้นใน และพระราชทานชื่อว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”

      พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์เป็นสถานที่สวยงามมากๆครับ ในพระราชวังจะมีสถานที่สำคัญๆหลายที่ เช่น พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ,พระที่นั่งจันทรพิศาล ,พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ,ตึกพระเจ้าเหา , ตึกรับรองแขกเมือง , พระคลังศุภรัตน์ (หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง) ,อ่างเก็บน้ำหรือถังเก็บน้ำประปา , โรงช้างหลวง แต่ในที่นี้ผมขอกล่าวถึงที่สำคัญๆนะครับ

       http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/706/12706/images/Lopburi3.jpg

หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏและอาคารต่างๆ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนารายณ์

หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2405 เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์ เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือพระที่นั่งพิมานมงกุฏ เป็นที่ประทับ พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน พระที่นั่งไชยศาสตรากรเป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งอักษรศาสตราคม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่ใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์

      พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่างๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่ มีสระน้ำใหญ่สี่สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน” สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231

     ผมอยู่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่คนรุ่นเราไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวของสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมากนักแต่เมื่อมาอยู่หน้าที่ประทับส่วนพระองค์แล้วได้รับรู้ว่าพระองค์สวรรคต ณ ที่แห่งนี้ก็อดนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณมิได้

     พระที่นั่งสุทธาสวรรค์เป็นส่วนของพระราชวังที่ผมชื่นชอบมากที่สุด เราเรียกตรงนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “ลานดอกปีป” เนื่องด้วยหน้าพระที่นั่งฯนี้มีต้นดอกปีปอยู่มากมายหลายต้น และบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่มเต็มไปด้วยดอกปีปที่ล่วงหล่นจำนวนมาก พระที่นั่งฯ แห่งนี้จึงหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกปีป ตลอดเวลา

     http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/706/12706/images/Lopburi4.jpg

    ตกเย็น เสียงประกาศจากนายสถานีรถไฟบอกกล่าวถึงเวลาออกรถ ลพบุรีเมืองเก่าและคงความยิ่งใหญ่ในอดีตยังคงมีเรื่องราวให้เราหวนนึกถึง

:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจาก  ชอบเที่ยวไทย

GM5.jpg

:: สวัสดีตอนเช้าๆ กับเมลดีๆ มีทั้งสาระและความบันเทิง ที่รอคุณอยู่แล้ว ในเมลบ๊อกซ์ของคุณ

:: สมัครรับเมล ส่งเมลเปล่าไปที่ goodmorningmail+subscribe@googlegroups.com

(ไม่แนะนำ hotmail นะครับ มีปัญหาเยอะมาก อาจจะสมัครไม่ผ่าน)
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน