ผู้เขียน หัวข้อ: กฎ 10,000 ชั่วโมง (สู่ความสำเร็จ) ของมัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell)  (อ่าน 5280 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Tommy

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,577
  • คะแนน: +3/-1
  • รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย
    • ทัวร์ออนไทยดอทคอม
กฎ 10,000 ชั่วโมง ของมัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell)

มัล คอล์ม แกลดเวลล์ไม่เชื่อว่าการมีพรสวรรค์จะนำไปสู่ความสำเร็จ สิ่งที่สำคัญจริงๆคือ กฎ 10,000 ชั่วโมง เขากล่าวว่า " เราทุกคนสามารถที่จะมีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งได้ หากเราใช้เวลากับมันอย่างต่ำ 10,000 ชั่วโมง" นั่นหมายความว่าคนทีเก่งขั้นเทพในเรื่องใดๆนั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก กว่า หนึ่งหมื่น ชั่วโมง ในสาขาเฉพาะเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ภาษา คอมพิวเตอร์ การวาดรูป คณิตศาสตร์ การเงิน การลงทุน

บิล เกตส์ ก่อนที่บิลเกตส์ จะกบฏต่อชีวิตมหาวิทยาลัย เขามี “ โอกาส – ความพยายาม – การฝึกฝน” ในเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่อายุ 15-16 ปี เป็นระดับหนักหน่วง 8 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ความรู้ความชำนาญในเรื่องคอมพิวเตอร์ของเขาสูงกว่านักศึกษาระดับปริญญาตรี หลายสิบหลายร้อยเท่า เขาจึงสามารถทิ้งใบรับปริญญาอย่างไม่ใยดีได้ ใครก็ตามที่คิดจะเอาอย่างเพียงแค่เดินออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อแสวงหาความ สำเร็จด้วยตนเอง ขณะที่ข้างในกลวง หรือไม่เจ๋งจริง ก็อย่าหวังว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนบิลเกตส์

เดอะบีตเทิลส์ ก่อนที่พวกเขาจะโด่งดังก็ต้องผ่านกฎ 10,000 ชั่วโมงเช่นกัน ไม่เพียงแต่การเล่น หรือซ้อมในเมืองลิเวอร์พูลเท่านั้น แต่มีช่วงหนึ่งที่พวกเขาไปเล่นที่คลับระบำเปลื้องผ้าแห่งหนึ่งในฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมัน ชื่อ “อินทรา” ที่นั่นเขาเล่นดนตรีสัปดาห์ละ 7 วัน แต่ละคืนมากกว่า 5 ชั่วโมงขึ้นไป ชั่วโมงบินของบีทเทิลส์จึงสูงลิ่ว ว่ากันว่า ตอนที่พวกเขาประสบความสำเร็จใน พ.ศ. 2507 เดอะบีทเทิลส์แสดงสดไปแล้ว 1,000 ครั้ง ขณะที่วงดนตรีปัจจุบันส่วนใหญ่แสดงกันไม่ถึง 1,200 ครั้งตลอดชีวิตนักดนตรีของพวกเขา

สตีฟ จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของสามีภรรยาชนชั้นแรงงานใยย่าน “ซิลิคอล วัลเลย์”แหล่งอุตสาหกรรมซอฟแวร์และบริษัทไอทีชั้นนำของประเทศอเมริกา จึงไม่ต้องแปลกใจว่าสาเหตุที่ สตีฟ จ๊อบส์ผู้โด่งดังในด้านไอทีเช่นทุกวันนี้ส่วนหนึ่งย่อมเกิดจากเบ้าหลอม จากสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตขึ้นมาในแหล่งนี้ ครอบครัวจ๊อบส์เลี้ยงลูกบุญธรรมของพวกเขาให้เรียนรู้การทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ พอล จ๊อบส์ พ่อบุญธรรมยังสอนให้สตีฟตัวน้อยเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในโรงงาน เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆถึงแม้ว่าตัวพ่อบุญธรรมเองจะมีความรู้ จำกัดเพราะเขาเป็นเพียงช่างเครื่องให้กับบริษัทผลิตเลเซอร์เท่านั้นก็ตาม กล่าวได้ว่าพ่อบุญธรรมเป็นผู้จุดประกายความสนใจเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ สตีฟ จ๊อบส์ ส่วนแม่บุญธรรมจะสอนให้เขาหัดอ่านเขียนได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน ครอบครับจ๊อบส์มีเพื่อนบ้านเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ทำงาน ที่ Hewlett Packard ชื่อว่า แลร์รี่ แลง( Larry Lang ) เขาสอนความรู้เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ให้สตีฟ จ๊อบส์ มากมายมหาศาล และด้วยความฉายแววความเก่งออกมาตั้งแต่เด็กๆตอนที่อยู่เกรดสี่ ทำให้ครูที่โรงเรียนเสนอให้เขาข้ามไปเรียนชั้นมัธยมได้เลย เขามักจะไปฟังบรรยายที่บริษัท Hewlett Packard หลังเลิกเรียนบ่อยๆ ต่อมาสตีฟวัย 15 ปีถูกจ้างให้ทำงานบริษัทนี้ในช่วงฤดูร้อน โดยทำงานร่วมกับ สตีฟ วอซเนียก ( Steve Wozniak ) เพื่อนรุ่นพี่ที่โรงเรียน Homestead High School เหมือนกัน หลังจากจบชั้นมัธยมเขาเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด ซึ่งค่าเทอมที่นี่แพงมาก พ่อแม่บุญธรรมของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเรียนให้จบได้ เขาจึงตัดสินใจดร็อปเรียนหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียง 6 เดือน แม้จะดร็อปเรียนแล้ว เขาก็ยังต้องเตร็ดเตร่อยู่แถวมหาลัยอีก 18 เดือนด้วยการสิงอยู่ตามห้องเพื่อนเพราะไม่มีหอพักให้อยู่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัดฝืดเคือง เขาต้องเก็บกระป๋องโค้กไปขายได้เงินกระป๋องละ 5 เซนต์และนำเงินที่ได้ไปซื้อข้าวประทังชีวิตกิน พอถึงทุกๆวันอาทิตย์เขาต้องเดินข้ามเมืองเป็นระยะทาง 7 ไมล์เพื่อที่จะได้กินอาหารดีๆที่โบสถ์ฟรีเพียง 1 มื้อ
ในปี 1974 สตีฟ จ๊อบส์ เข้าสมาคมที่ชื่อว่า “ Homebrew Computer Club ” เป็นสมาคมอย่างไม่เป็นทางการของเหล่าผู้มีงานอดิเรกที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งสมาชิกชมรมนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่จะกลายเป็นแฮกเกอร์ฝีมือฉกาจและผู้ ประกอบการด้านไอที หลังจากนั้น สตีฟ จ๊อบส์ เริ่มต้นหางานทำโดยได้งานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคที่อาตาริ ผู้ผลิตวีดีโอเกมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เขาได้รับมอบหมายงานให้สร้างแผ่นลายวงจรพิมพ์ ( Circuit board ) โดยบริษัทเสนอจะมอบเงินให้ 100 ดอลลาร์ต่อชิพแต่ละตัวที่ถูกลดลงไปในเครื่อง เขาจึงได้ร่วมกับสตีฟ วอซเนียกซึ่งตอนนั้นวอซเนียกทำงานประจำอยู่ที่ Hewlett Packard พวกเขาสามารถลดจำนวนการใช้ชิพลงได้ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นการออกแบบที่แน่นหนามากจนเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการถอดแบบเพื่อทำซ้ำใน แนวประกอบชิ้นส่วนของเครื่องในโรงงาน หลังจากนั้นในปี 1976 สตีฟ จ๊อบส์ มีอายุได้ 20 ปี ชีวิตเขาก็มาถึงกาลจุดเปลี่ยนเพราะสตีฟ จ๊อบส์ และเพื่อนคือสตีฟ วอซเนียก ทั้งสองร่วมมือกันผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลออกมาขาย เขาต้องขายสมบัติทุกอย่างที่มี อันประกอบด้วยรถแวนเก่าๆ 1 คัน เครื่องคิดเลข 2 เครื่อง เพื่อเป็นทุนในการทำธุรกิจ โดยรวบรวมทุนได้ 1,300 เหรียญ แต่ละวันเขานั่งวุ่นอยู่กับทรานซิสเตอร์ ขลุกอยู่กับสายไฟ ทำงานหามรุ่งหามค่ำกับวงจรไฟฟ้า จัดการนำชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่ไม่มียี่ห้อมาประกอบเข้ากันภายในกล่อง พลาสติกและสถานที่ผลิตของพวกเขาคือโรงรถของพ่อบุญธรรมของสตีฟ จ๊อบส์นั่นเอง เขาไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้นอนตื่นสายและเอ้อระเหยลอยชายทั้ง วันแล้วนั่งรอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เขาทั้งสองรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ดีมาก เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่พวกเขาได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I ซึ่งตั้งราคาขายไว้ที่ 666.66 ดอลล่าร์สหรัฐ แน่นอน สตีฟ จ๊อบส์ ผ่านกระบวนการฝึกฝนกว่า 10,000 ชั่วโมงอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมเชื่อ ว่ามนุษย์คนหนึ่ง หากพื่้นฐานเป็นคนที่มีสุขภาพและมันสมองดี ประกอบกับได้รับการฝึกฝนจากการที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเหมือนคนจนตรอก แล้ว จะทำให้คนผู้นั้นมีภูมิคุ้มกันและมีพลังแฝง รวมไปถึงความทะเยอทะยานที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาร้ายแรงอย่างไรก็ตาม คนผู้นี้จะสามารถล้มและลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ และเขาจะสามารถยืนหยัดและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างลำพังได้อย่างมาดมั่นด้วย ตัวของเขาเอง
" You've got to find what you love " Jobs says.
เรา ควรหาสิ่งที่เรารักให้เจอและจงทำมัน แต่หากเรายังหาสิ่งที่รักไม่เจอจงอย่าหยุดที่จะหามัน และเราจะรู้ได้เองเมื่อเราพบในสิ่งที่เรารักจริงๆ


ไทเกอร์ วูดด์ นักกอล์ฟระดับโลก มีคนเคยถามเขาว่า คุณใช้เวลาในการซ้อมกอล์ฟมากขนาดไหนต่อวัน? ไทเกอร์ วูดด์ ตอบว่า ตลอดเวลา


วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นมหาเศรษฐีระดับ 2 ของโลก เขาเป็นตัวอย่างของนักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของหุ้นที่เขาลงทุน (Value Investor) ปรัชญาการลงทุนของนายบัฟเฟตต์ คือ “กฎข้อที่หนึ่ง: อย่ายอมเสียเงิน และกฎข้อที่สอง: อย่าลืมกฎข้อ 1″ เขายึดถือและใช้กฎนี้ในการลงทุนอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 50 ปี


ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ส่วนตัวผมเชื่อว่า ดร.นิเวศน์ มีประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 10,000 ชั่วโมงเป็นแน่แท้


“ความ สำเร็จ” ที่เราเห็นในชีวิตของคนระดับโลกอย่าง บิล เกตส์, สตีฟ จ็อบส์, วงเดอะบีทเทิลส์ หรือจะเป็นกรณีสายการบินเกาหลีที่ทำเครื่องบินตกซ้ำซากจนเป็นที่เข็ดขยาด แต่กลับปฏิรูปตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดใน โลก เรื่องของเด็กจีนที่เรียนเลขเก่งมากกว่าเด็กตะวันตก เพราะมาจากครอบครัวทำนาปลูกข้าว รวมถึงเรื่องบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์ก ที่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวช่างตัดเย็บเสื้อผ้า แม้แต่เหตุการณ์เด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ แต่กลับโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอะไรแอบแฝงมากกว่า “ความฉลาด” “ความเก่ง” “ความทุ่มเท” และ “พันธุกรรม” ตามความเชื่อของคนทั่วไป ปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้จะมีระดับสติปัญญาและความพยายามเท่าๆ กัน คือ ”โอกาส” ในการเข้าถึง “การฝึกซ้อม” ในทักษะที่ตัวเองรักและถนัดไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย และต้องมีผู้ให้การสนับสนุนการฝึกซ้อมเป็นไปอย่างต่อเนื่องกรณีของบิลเกตส์ และวงเดอะบีเทิลส์ ถือว่าเขาได้โอกาสในการเข้าถึงสิ่งที่รักได้เร็ว และมีเวลาอยู่กับสิ่งๆ นั้นวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แม้ว่าบางเหตุการณ์จะเป็นการบังคับในตัวกลายๆ กับการต้องเล่นดนตรีหามรุ่งหามค่ำแบบไม่มีวันหยุดเลยในหนึ่งสัปดาห์ จนช่วงเวลาแห่งความสำเร็จมาถึงในปี 1964 ที่ประชาชนเริ่มรู้จักวงเต่าทอง ปรากฏว่าเดอะบีทเทิลส์ แสดงสดไปแล้วกว่า 1,200 ครั้ง หรือความฉลาดล้ำเกินหน้าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน จนเกิดอาการเบื่อหน่ายที่ต้องเรียนหนังสือ และต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชมรมคอมพิวเตอร์ และนำพาให้บิล เกตส์ ได้มีโอกาสเขียนโปรแกรมด้วยระบบที่มีการตอบสนองแบบฉับพลัน ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ชั้นเกรดแปดในปี 1968 และเขาได้คลุกกับเรื่องจักรกลด้วยการเขียนโปรแกรมแบบไม่พักตลอด 7 ปี จนประสบความสำเร็จเป็นไมโครซอฟต์ในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่เรื่องโอกาสเพียง อย่างเดียว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการปลูกฝังของคนที่เป็นพ่อแม่ ที่พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้ฝึกฝนในสิ่งที่รักถึง 10,000 ชั่วโมง ด้วยความรัก เห็นได้จากกรณีของคริส แลงแกน ที่มีความเป็นอัจฉริยะสูงได้ A ทุกวิชา แต่พื้นฐานครอบครัวไม่ดี ผู้เป็นมารดาไม่ได้สนใจมากพอต่อเรื่องการเรียนของลูก ทำให้แลงแกนต้องถูกตัดสิทธิ์จากทุกการศึกษา เพราะมารดาไม่ได้กรอกเอกสารทางการเงินของครอบครัว เพื่อขอรับทุน จนต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และมีชีวิตที่ตกต่ำเรื่อยมา ทั้งๆ ที่เขามีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ด้วยซ้ำ

มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) เป็นนักประพันธ์หนังสือแนวสารคดี (non-fiction) อย่าง The Tipping Point และ Blink โดยหนังสือแต่ละเล่มที่เขียนขึ้นจะอัดแน่นไปด้วยความรู้แปลกใหม่ และมักปิดท้ายด้วยข้อสรุปที่สวนทางกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในสังคม จนจุดประกายให้เกิดการอภิปรายโต้เถียงกันอย่างกว้างตามมา อีกทั้งยังมีเสน่ห์เล่าเรื่องได้สนุกสนาน กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนอ่านได้ตลอดเวลา

เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ถ้า คุณทำสิ่งที่คุณรักวันละ 1 ชั่วโมง ใน 1 ปี มี 365 วัน ก็แค่ 365 ชั่วโมง ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ถึงจะได้ 3,650 ชั่วโมง ต้องใช้เวลาถึง 30 ปีถึงจะมีชั่วโมงบินถึง 10,000 ชั่วโมง ดังนั้นคาถาย่อย่นหนทาง จึงควรกล่าวได้ว่า ทำมันและอยู่กับสิ่งที่คุณรักให้มากขึ้น
Luck is where opportunity meets preparation. โชค(โอกาส) เราอาจควบคุมไม่ได้
แต่การเตรียมพร้อม เราเป็นเจ้าของที่รับผิดชอบมัน หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจาก: Jerry Maguire

GM5.jpg

:: อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ขอให้สมาชิกทุกคนมีความสุข สดชื่น สดใส ตลอดทั้งวันนะครับ

:: สมัครรับเมล ส่งเมลเปล่าไปที่ goodmorningmail+subscribe@googlegroups.com

(ไม่แนะนำ hotmail นะครับ มีปัญหาเยอะมาก อาจจะสมัครไม่ผ่าน)
เที่ยวเมืองไทยกระจายรายได้สู่ชุมชน