ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.สำนักงานอุดรธานี 0 4232 5406-7
http://www.tourismthailand.org/udonthani
การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก
ถ้ำชัยมงคล เป็นสถานที่แรกที่ผู้มาเยือนวัดเจติยาคีรีหรือวัดภูทอกจะแวะเข้ามาสักการะพระพุทธรูปขอพรเป็นสิริมงคล อยู่ห่างจากลานจอดรถประมาณ 100 เมตร ถัดจากศาลาริมน้ำ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนภูทอกจะกราบพระที่นี่ก่อน
ถ้ำชัยมงคลภูทอก
สระน้ำวัดภูทอก ริมสระน้ำมีศาลาสำหรับพักผ่อน และลานจอดรถ เป็นมุมนิยมมุมหนึ่งที่จะถ่ายเจดีย์กับเงาที่สะท้อนบนผิวน้ำ เจดีย์ที่เห็นอยู่นี้คือ เจดีย์พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
จุดเริ่มต้นทางเดินขึ้นสู่ภูทอก ก่อนเดินขึ้นไปจะมีป้ายเตือนเรื่องข้อห้ามต่างๆ สำหรับผู้ที่จะขึ้นไปดังนี้
ข้อปฏิบัติก่อนขึ้นเขา
เนื่องจากวัดไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งทัศนาจรหากแต่เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจของชาวพุทธเป็นสำคัญผู้เข้าเยี่ยมชม-กราบไหว้ควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด
ห้ามนำสุรา-อาหารขึ้นไปรับประทานบนเขาโดยเด็ดขาด และห้ามส่งเสียงดังรบกวนพระ-เณรที่กำลังภาวนา ห้ามขีดเขียนหรือสลักข้อความลงบนหินหรือทำลามกอนาจารฉันท์ชู้สาวและควรแต่งกายให้สุภาพ
(สุภาพสตรีนุ่งน้อย-ห่มน้อย-เสื้อ-กระโปรง-กางเกงสั้น ห้ามขึ้นโดยเด็ดขาด)
ภูทอกชั้น 4-5-6 จากทางเดินชั้นแรกมองขึ้นไปจะเห็นระเบียงไม้ทางเดินคือชั้น 4 5 และชั้น 6 ตามลำดับ หลายคนที่เห็นแบบนี้ก็ตั้งใจว่าจะเดินขึ้นถึงเพียงชั้น 4 ก็พอก็มีเหมือนกัน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ก็จะเดินถึงชั้น 3 หรือ ชั้น 4 เท่านั้น แต่หลายคนก็พยายามจะมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
ทางเดินชั้น 1-3 จะเป็นบันไดเป็นส่วนใหญ่ บางช่วงเป็นบันไดไม้บางช่วงเป็นบันไดดิน มีทางแยกซ้ายกับขวา กับป้ายบอกทางว่าสามารถเดินขึ้นสู่ชั้นที่ 5 ได้ทั้งสองทาง ทางซ้ายมือเป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางชันมาก ผ่านหลืบหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4
ภูทอกชั้น 4 สำหรับวันนี้จะพาชมทีละชั้นถึงทางแยกทางลัดสู่ชั้น 5 ผมเลือกทางขวาผ่านชั้น 4 เมื่อก้าวพ้นชั้น 3 มายังชั้น 4 เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับชี ก็จะเห็นป้ายคำเตือนเรื่องการส่งเสียงรบกวน เดินตามทางไม้นี้ไปเรื่อยๆ จะมีบันไดสู่ชั้นที่ 5 แต่หลายคนมาถึงจุดนี้จะขอลงเพราะทนความน่ากลัวของความสูงกับทางเดินไม้ที่มองเห็นเบื้องล่างอยู่ตลอดเวลาไม่ไหว
วิวภูทอกชั้น 4 เนื่องจากชั้น 4 ไม่มีทางเดินวนรอบเขาได้ วิวที่เห็นจึงยังคงเป็นด้านเดียวกับบริเวณวัดอยู่
ทางโค้งเตี้ยๆ บางช่วงเป็นทางโค้งตามแนวเขา ด้านบนมีหินยื่นออกมาเหมือนหลังคาแต่ไม่สูงมากนัก
บันไดสู่ภูทอกชั้น 5 สุดทางตรงนี้จะต่อด้วยบันไดชันและยาวสู่ชั้นที่ 5 ผมใช้เวลาพักอยู่ตรงนี้ค่อนข้างนานเพราะขาจะมีอาการตึงๆ รวมทั้งไม่ได้กินข้าวเช้ามาเลยเกิดหิวจัดกลางทาง แต่วิวก็สวยคุ้มค่า ลมพัดเย็นสบายอยู่ด้านที่เป็นเงาของภูเขาจึงไม่โดนแดด
วัดเจติยาคีรีหรือวัดภูทอก เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 4 แล้วก็ถ่ายภาพบริเวณวัดเห็นสระน้ำที่จอดรถไว้ กับหลังคาแหลมๆ เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับถ้ำชัยมงคลและจุดเริ่มต้นการเดินชมภูทอก
ทางตันบนภูทอก ประวัติการสร้างสะพานไม้ สะพานไม้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากเหล่าพระ เณร และชาวบ้าน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2512 ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปี บันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกียะสู่โลกแห่งโลกุตระหรือโลกแห่งการหลุดพ้นด้วยความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอกยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน ดังนั้นผู้ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในความสงบและเคารพสถานที่ ด้วยอายุของสะพานไม้ก็ย่อมมีการผุพังไปตามกาลเวลา เห็นภาพนี้แล้วบางทีก็คิดเหมือนกันว่าส่วนที่เราเดินอยู่จะยังแข็งแรงแค่ไหน
มองย้อนหลังสะพานไม้ภูทอก เมื่อเดินมาได้สักระยะบางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าที่เราเดินผ่านมานั้นมันเป็นยังไง ภูทอกไม่ใช่เพียงร่างกายแข็งแรงก็จะขึ้นได้แต่ต้องมีกำลังใจความกล้าอย่างสูงสละแล้วซึ่งความกลัวจึงจะเดินขึ้นมาได้
ถึงภูทอกชั้น 5 เอาละเดินขึ้นบันไดที่สูงชันยาวเหยียดมายังชั้น 5 ได้ สิ่งแรกที่ทำคือวางกระเป๋ารอให้เหงื่อแห้งค่อยเดินต่อไป ป้ายที่เห็นอยู่ลิบๆ คือป้ายบอกชื่อวิวลังกา เป็นจุดชมวิวที่มีการสร้างระเบียงกว้างเป็นพิเศษ ทิวทัศน์สวยงามมาก ด้านหลังเดินไปยังทางขึ้นอีกทางที่แยกกันช่วงชั้นที่ 3 โดยไม่ผ่านชั้น 4
วิวลังกา ฤดูฝนที่กำลังมาถึงทำให้ทิวทัศน์บริเวณนี้เขียวขจีสุดสายตาจรดเส้นขอบฟ้าสวยงามมากจริงๆ
ผาเทพนิมิต ทางเดินช่วงนี้มีชื่อว่าผาเทพนิมิตบางช่วงสะพานเริ่มจะแคบลงเพิ่มความน่าหวาดเสียว เลยจากจุดนี้ไปก็จะมีเหลี่ยมเสาประดง และทางเดินที่เป็นสะพานไม้จะไปเชื่อมกับทางดินที่เกิดตามธรรมชาติที่เขามีส่วนที่เป็นพักของชั้นผา
วิวลังกา ภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามด้านหนึ่งของภูทอกในวัดเจติยาคีรีหรือวัดภูทอกซึ่งอยู่บนชั้นที่ 5 มีระเบียงยื่นออกมา กว้างใหญ่เป็นพิเศษสำหรับให้ชมวิว ในช่วงต้นฤดูฝนต้นไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสวยงามสุดสายตา มองเห็นอ่างเก็บน้ำห้วยสหายที่กว้างใหญ่เหลือเล็กนิดเดียว ถัดจากวิวลังกามาเล็กน้อยจะมีกุฏิที่พักสงฆ์มีประตูไม้กั้นทางอยู่ ซึ่งจะปิดตามเวลาที่วัดกำหนด
สะพานไม้ทางเดินบนภูทอก ทางเดินที่ทำจากไม้ดูน่าหวาดเสียวทุกย่างก้าวนี้อยู่ถัดจากบริเวณผาเทพนิมิต และ เหลี่ยมเสาประดง ที่จะมุ่งหน้าไปสู่บันไดขึ้นชั้นที่ 6 ทางเดินช่วงนี้สร้างอยู่บนผาหินลาดชันไม่มีอะไรรองรับ นอกจากเสาไม้ที่สร้างมานานมากแล้วเหล่านี้
เส้นทางเดินชมรอบภูทอกชั้น 5 ถึงตรงนี้จะเป็นสะพานไม้ยาวๆ พาดจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อข้ามหุบลึก ยาวประมาณ 30 เมตร ด้านซ้ายมีบันไดขึ้นสู่ชั้น 6 มีกุฏิ ที่พักสงฆ์และสามเณร ซึ่งจะมีอยู่เป็นระยะๆ ห่างกันพอสมควรเพื่อความสงบ มีป้ายเตือนว่า "เป็นที่ปฏิบัติธรรมของสงฆ์-สามเณร ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว ห้ามส่งเสียงดัง" ให้เห็นอยู่เป็นระยะ
ทางขึ้นชั้น 6 แดนสวรรค์ เป็นบันไดทอดยาวสูงชันมากพอๆ กันกับบันไดจากชั้น 4 มายังชั้น 5 หากมองด้านหน้าตรงๆ จะเห็นเป็นบันไดสูงๆ เห็นแล้วน่ากลัวว่าจะเดินขึ้นไม่ไหว
จุดชมทิวทัศน์แดนสวรรค์ ภูทอกชั้นที่ 6 ช่วงนี้เป็นทางเดินเลียบผาที่มีหินด้านบนลาดเอียงออกมาทำให้คนเดินผ่านต้องก้มหัวบ้างเป็นบางช่วง ทำให้เหลือบไปเห็นเบื้องล่างอยู่บ่อยๆ ทั้งที่หลายครั้งก็ไม่อยากจะมอง ส่วนแนวไม้กั้นรอบทางเดินดูไม่น่าไม่เกาะไปยึกสักเท่าไหร่ ยิ่งเรื่องพิงคงไม่มีใครกล้าทำแน่ๆทางเดินในลักษณะนี้บนชั้น 6 ค่อนข้างยาว สามารถเดินได้รอบเป็นวงกลมจนมาบรรจบที่เดิมได้
ทิวทัศน์ที่แดนสวรรค์นี้ได้รับการบอกเล่าจากคนในพื้นที่ว่าควรมาชมในฤดูหนาวซึ่งจะมีหมอกหรือทะเลหมอกทำให้เหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่สำหรับวันนี้วิวที่เห็นจะเหมือนกับวิวลังกา เพราะอยู่ด้านเดียวกันแต่มุมที่มองออกไปยังอ่างเก็บน้ำจะต่างกันเล็กน้อยคือมองเห็นอ่างเก็บน้ำได้ชัดเจนกว่า
ทางเดินชมภูทอกชั้น 6 ระเบียงทางเดินบางช่วงมีการสร้างหลังคาคลุมไว้ให้ บางจุดมีที่นั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนที่จะเดินกันต่อไป เดินมาเรื่อยๆ จะเห็นศาลาบนผาหินรูปร่างประหลาด คล้ายหัวสุนัขใส่หมวก มีทางเดินเชื่อมออกไปยังศาลาได้
ศาลาหลังนี้คือ พุทธวิหาร แปลว่า สถานที่พักผ่อนของท่านผู้ตรัสรู้แล้ว เป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่พระอริยหลายองค์มาพักผ่อนและละสังขารที่นี่ มีลักษณะที่แปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร
ในอดีตก่อนที่จะมีการสร้างสะพานไม้เชื่อมต่อ บุคคลธรรมดาไม่อาจข้ามมาที่พุทธวิหารได้ เพราะมีหุบเหวขวางกั้น แต่มีบุคคลอยู่ประเภทหนึ่งที่สามารถปรากฎตัวที่พุทธวิหารได้ คือพระอรหันต์และท่านผู้ทรงอภิญญา ท่านเหล่านี้จะมาพักผ่อนที่พุทธวิหารเองโดยการเดินบนอากาศหรือเหาะข้ามมา เพราะต้องการปลีกวิเวกและไม่ให้ใครมารบกวนได้ ดังนั้น หินประหลาดก้อนนี้จึงถูกเรียกว่า พุทธวิหาร ซึ่งแปลว่า สถานที่พักผ่อนของท่านผู้บรรลุแล้ว
ในปัจจุบันแม้ว่าจะมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหารแล้วก็ตาม แต่นักแสวงบุญทั่วไปก็ไม่อาจเข้าไปสัมผัสพุทธวิหารใกล้ชิดกว่านี้ได้ เพราะทางวัดปิดประตูไว้ เนื่องจากเทวดาที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุทนเหม็นกลิ่นสาบมนุษย์ไม่ไหว ทางวัดจึงอนุญาตให้นักแสวงบุญมาได้แค่ปากประตูเท่านั้น (แค่นี้ก็ดีแล้ว)
ความอัศจรรย์ของพุทธวิหาร คือ หินก้อนนี้แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่แล้ว แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ข้อนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้ เพราะไม่ค่อยสังเกต หากอยากเห็นชัดๆ ให้เดินมาที่ฐานของพุทธวิหาร จะเห็นได้ชัด หรือสังเกตุดูที่ภาพถ่ายก็ได้ การที่พุทธวิหารตั้งอยู่ได้โดยไม่ตกลงมาถือได้ว่าน่าอัศจรรย์พอๆ กันกับพระธาตุอินทร์แขวน
สะพานหิน ยาวทอดตัวออกมาจากภูทอก ยื่นออกมาทางพุทธวิหาร เมื่อยืนบนสะพานหินจะสามารถมองเห็นภูทอกใหญ่และมองเห็นทัศนียภาพสองฟากฝั่งได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสูดอากาศที่บริสุทธิ์ด้วย คล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็มิปาน
สะพานไม้ มีความยาวประมาณ 10 เมตร เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินและพุทธวิหาร เป็นดุจสิ่งที่เชื่อมต่อโลกสวรรค์และแดนนิพพานเข้าด้วยกัน เมื่อยืนอยู่บนสะพานไม้แล้วมองลงไปด้านล่าง จะเห็นแต่ต้นไม้และหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง(คนขวัญอ่อนมิควรมองลงไป) จะทำให้ทราบว่า บุคคลที่สามารถข้ามจากสะพานหินเพื่อไปบำเพ็ญเพียรหรือพักผ่อนที่พุทธวิหารได้ ต้องมิใช่บุคคลธรรมดา
สำหรับบริเวณที่ยืนอยู่นี้เป็นจุดชมวิวที่ชื่อว่าวิวภูวัว ก็เป็นวิวคล้ายๆ กันกับวิวลังกาและวิวแดนสวรรค์
พุทธวิหารภูทอก เดินเข้ามาใกล้ๆ พุทธวิหารอีกหน่อยจะเห็นว่าอยู่ในลักษณะที่สวยมาก หากมีหมอกเกิดขึ้นคงจะสวยกว่านี้อีกมากแน่นอน การเดินทางมาเยือนภูทอก ทำได้ทั้ง 3 ฤดู หากมาเพียงฤดูเดียวจะไม่ได้ชมทัศนียภาพที่สวยงามที่แตกต่างกันตามฤดูกาลของภูทอก ที่สำคัญ การเดินทางมาควรมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ก่อเสียงรบกวนแก่ผู้ปฏิบัติธรรมในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
รอยแยกที่ทางเดินพุทธวิหาร หลายๆ คนคงอยากที่จะไปเดินชมรอบๆ พุทธวิหารนี้เมื่อแรกเห็นแต่เมื่อได้เห็นรอยแยกตัวขนาดใหญ่จนเหมือนกับว่ากำลังจะขาดออกจากกันของผานี้อาจจะเปลี่ยนใจเหมือนผมก็ได้ถ่ายมาเพียงวิวเท่านี้ก็พอแล้ว ยังไม่กล้าเสี่ยงเดินข้ามไปบริเวณนั้น ทางข้ามไปยังพุทธวิหารมีทั้งสะพานไม้และสะพานหิน ปกติทางวัดจะปิดไว้ไม่ให้เข้าชมด้วยครับ เดินต่อไปอีกหน่อยจะมีบันไดขึ้นชั้น 7 สำหรับบนชั้น 7 เป็นยอดเขาต้นไม้มาก ชมวิวได้เหมือนกับชั้น 6 และชั้น 5 แต่อาจจะมีต้นไม้บังบ้าง
เดินย้อนกลับหลังไปยังบันไดชั้น 6 ลงจากชั้น 7 เมื่อมาถึงผารูปร่างแปลกๆ แล้ว ก็คงต้องเดินย้อนกลับ เพราะหากเดินต่อไปจะสามารถเดินได้รอบก็ตามแต่เวลาช่วงบ่ายจะทำให้อีกด้านหนึ่่งของภูทอกเป็นด้านที่ย้อนแสงหมดทั้งซีก (เพราะด้านนี้เป็นส่วนเงาของภูเขา) คงไม่ได้ภาพดีๆ มาแน่เลยเลือกเดินกลับทางเดิม
เอียงตัวตามหิน ช่วงนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันเพราะจะต้องเดินตัวเอียงไปด้านนอกระเบียงนิดๆ ตามแนวเอียงของหิน เดินย้อนกลับหลังมาจนถึงบันไดชั้นที่ 6 ที่เป็นทางลงไปยังชั้น 5 ทางเดิมที่ขึ้นมา ก็ยังมีทางเดินให้เดินต่อไปได้ (เพราะรอบเป็นวงรอบเขา)
ก่อปราสาทหิน ด้านหนี่งของชั้นที่ 6 ของภูทอก มีลานกว้างพอประมาณ มีคนเอาก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยมาซ้อนกันเป็นปราสาทหินตามความเชื่อมีอยู่หลายสิบจุด
ผาชมวิวภูทอก ที่ด้านหนึ่งของชั้น 6 มีผาหินขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากทางเดิน เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากจุดหนึ่งมองเห็นวัดเจติยาคีรีได้ทั่วบริเวณ รวมไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงด้วย อยู่ใกล้ๆ กันกับจุดที่คนก่อปราสาทหิน
ภูทอก ยอดเขาบนสุดคือชั้น 7 ทางเดินไม้สีขาวคือทางเดินชั้น 6 ที่จะกลับไปยังบันไดลงชั้น 5
เดินทางกลับ เอาละครับพาชมภูทอกกันแบบรอบด้าน ละเอียดมากพอแล้วขอกลับแล้วละครับ จากนี้ก็เดินลงอย่างเดียวเก็บกล้องเข้ากระเป๋าเพื่อความปลอดภัย
"ไม่ได้มาตั้งหลายปีแต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมนะครับสะพานยังคงแข็งแรงเดินได้คนมาเที่ยวก็ยังเยอะเหมือนเดิม "
Akkasid Tom Wisesklin
2019-05-07 18:07:44
""
Sakda Law
2017-12-17 12:45:00
5/5 จาก 1 รีวิว |
*หมายเหตุ ระยะทางเป็นระยะโดยประมาณ